ฉีฉียิ้มที่มุมปากเบาๆ รอยยิ้มฝืนใจเล็กน้อย พูดว่า”เธอวางใจเถอะ ฉันเข้าใจความพยายามของเธอ”
ถึงแม้ว่าปากจะพูดอย่างนั้น แต่ท่าทีอย่างนั้นของฉีฉี ดูอย่างนั้นแล้วรู้สึกไม่ถูกใจ
เย่ชูวเสวียไม่รู้ว่าฉีฉีได้รับความรุนแรงมาจากมหาวิทยาลัยยังคิดว่าตัวเองพูดแรงเกินไปแล้ว ทำให้เด็กน้อยคนนี้รู้สึกไม่สบายใจ เพราะฉะนั้นเธอพยายามที่จะระวังคำพูด หวังว่าจะไม่ทำให้ฉีฉีอึดอัด
“อย่างนั้น ฉีฉี ไม่ใช่ว่าฉันกดดันให้เธอเลือกนะ เพียงแค่หวังว่าเธอจะดีขึ้น”
“ฉันรู้ ก็ขอบคุณมากที่เธอทำให้ฉันมองเห็นความจริงได้ชัดเจน มีบางเวลาที่ฉันมองโลกในแง่ดีเกินไป แบบนี้ง่ายต่อการเสียเปรียบ”
“ฉีฉี…….”
คำพูดที่ควรจะพูด ก็พูดแล้ว ฉีฉีก็เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง แต่ว่าทำไม เย่ชูวเสวียยังรู้สึกว่าไม่สบายใจ?
คิ้วของเย่ชูวเสวียขมวดขึ้นไม่เท่ากัน ท่าทางของฉีฉีก็ผ่อนคลายลงมาก
“อย่างนั้น ฉันทำงานก่อนนะ”
“อืม โอเค”
ฉีฉีหมุนตัวเดินไปที่หลังเคาน์เตอร์ และเย่ชูวเสวียอดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจ
เหมือนกับทำให้เรื่องเปลี่ยนเป็นวุ่นวายแล้ว
ในตอนที่ไม่มีคนเห็น ใบหน้าเล็กของฉีฉีเศร้า เครื่องจักรก็ล้างจานอยู่
ทุกข์ของเธอ ไม่ใช่เพียงเพราะว่ารู้สึกไม่สบายร่างกาย ในใจยิ่งหงุดหงิด
ฉีฉีคิดไม่เข้าใจ เห็นๆอยู่ว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไร ระหว่างมู่ยู่วฉีนั้นไม่ได้มีอะไร ทำไมรู้สึกว่าเหมือนทำผิด ถูกคนคอยจับผิดอยู่ห่างๆ?
ความรู้สึกแบบนี้ ไม่สบายใจจริงๆ
นึกถึงจุดที่ลำบากใจ ฉีฉีก็อดไม่ได้ที่จะดวงตาแดงก่ำขึ้นมา
แต่ยังไม่ได้ปลอบใจตัวเอง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นสองครั้ง
ฉีฉีกระพริบตาปริบๆ ก้มศีรษะมองดู หลังจากนั้นก็ชะงักงัน
นั่นคือข้อความที่มู่ยู่วฉีส่งมาให้ฉีฉี
เดิมทีมู่ยู่วฉีอยากจะโทรหาฉีฉี แต่ก็กังวลใจว่าจะรบกวนการพักผ่อนของเธอ จึงส่งข้อความ
ฉีฉีจ้องมองข้อความนั้นอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้กดเข้าไปอ่าน อีกทั้งหักใจลบข้อความนั้นทิ้ง
เดิมทีคิดว่า แบบนี้จะสามารถสงบลงได้ แต่หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไปมู่ยู่วฉีก็โทรศัพท์มา
มู่ยู่วฉีเห็นฉีฉีไม่ตอบกลับข้อความนานมาก เป็นห่วงเธอจนอดใจไม่ไหว ทั้งกินของมั่วๆ ทำร้ายร่างกายตัวเอง ก็โทรศัพท์มาถามทุกข์สุข
ฉีฉีพยายามอยู่นาน ก็รับโทรศัพท์ของเขา
“ฮัลโหล คุณมู่”
ได้ยินเสียงของฉีฉีที่เรียบเฉยปกติ มู่ยู่วฉีก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เวลานี้มู่ยู่วฉีก็ไม่รู้สึกตัวว่าเขาถูกผู้หญิงคนหนึ่งทำให้มีผลกระทบต่อความรู้สึก เขาเพียงรู้สึกว่าเป็นห่วงฉีฉีเป็นเพียงเรื่องที่ถือโอกาสถาม ใครใช้ให้เธอเป็นเพื่อนของอันน่าล่ะ
ผ่อนคลายลงมา เสียงของมู่ยู่วฉีก็เปล่งออกมา
“เธอสบายดีไหม ทำไมไม่ตอบกลับข้อความฉัน?”
มองดูร้านเบเกอรี่ที่ว่างเปล่า ฉีฉีแสร้งพูดว่า”อ้อ งานยุ่งมากเลย ไม่ได้ยิน”
“ทำงาน?ไม่ใช่ว่าเธอไปทำงานนอกเวลาหรอกนะ”
“อืม ใช่”
“เด็กโง่ อาการเธอเพิ่งจะดีขึ้น ยังต้องพักฟื้นอีก อย่าฝืนตัวเอง”
ฉีฉีก้มศีรษะลง เสียงเล็กพูดพึมพำว่า”ไม่หรอก งานในร้านไม่เหนื่อย”
“แต่ว่าเธอยุ่งจนไม่มีเวลาตอบกลับข้อความฉัน”
เอ่อ…….
ฉีฉีขุดหลุมฝังตัวเอง นี่ทำให้เธอหงุดหงิดใจมาก
ยังดีที่มู่ยู่วฉีไม่ได้สงสัยฉีฉี คิดเพียงว่าเธอไม่กล้าพูดออกมา ยิ่งพูดว่า”เธอไม่กล้าที่จะพูดกับเย่ชูวเสวียใช่ไหม?เอาอย่างนี้เถอะ ฉันจะขอลากับเย่ชูวเสวียแทนเธอเอง พักผ่อนอีกไม่กี่วัน”
“อ้อ ไม่ต้องๆ ตอนนี้ฉันโอเคดีค่ะ”
“ฉันดูว่าเธอไม่ค่อยโอเคเลยนะ ฉีฉี นี่เป็นแค่งานพาร์ทไทม์ เธอไม่จำเป็นต้องสู้ขนาดนั้น เย่ชูวเสวียไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผล บอกอาการของเธอกับเย่ชูวเสวีย เธอก็ให้ลาพักแล้ว”
มู่ยู่วฉียิ่งพูดยิ่งจริงจัง คล้ายกับต้องการลาพักกับเย่ชูวเสวียจริงๆ นี่ทำให้ฉีฉีร้อนใจ
เดิมทีเย่ชูวเสวียไม่สนับสนุนให้ตัวเองติดต่อกับมู่ยู่วฉี ถ้าหากเขาขอลาพักแทนเธอล่ะก็ เย่ชูวเสวียต้องคิดว่าตัวเองหน้าไหว้หลังหลอก ไม่ได้เอาคำเตือนของเธอมาใส่ใจ
ความสัมพันธ์กับกลุ่มคนในโรงเรียนแย่แล้ว ฉีฉีไม่อยากเป็นคู่แค้นอาฆาตกับเย่ชูวเสวียอีก เพราะฉะนั้น เธอต้องหยุดไม่ให้มู่ยู่วฉีมายุ่งเรื่องนี้
แต่ฉีฉียังไม่ได้เอ่ยพูด มู่ยู่วฉียิ่งพูดขึ้นอีก “รอฉันเสร็จธุระก่อน ฉันจะไปหาเธอ”
ฉีฉีรู่ม่านตาหดลง เหมือนกับได้ยินเรื่องน่ากลัว
“ไม่ต้องๆ คุณยุ่งขนาดนั้น อย่ามาเลยนะ”
คำพูดของฉีฉีพูดอย่างตื่นตัว ทำให้มู่ยู่วฉีสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
“เด็กโง่วันนี้เธอเป็นอะไร แปลกมากเลย”
“ไม่…..ไม่มีอะไร”
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว อย่างนั้นก็เอาอย่างนี้เถอะ ประชุมเสร็จฉันจะไปที่ร้านเบเกอรี่”
“อย่า……”
ฉีฉียังพูดไม่จบ มู่ยู่วฉีก็ตัดสายวางไป
ฉีฉีกุมที่โทรศัพท์แรงจะร้องไห้ออกมาก็ไม่มี
คว่ำหน้าหมดแรงอยู่บนโต๊ะ ในสมองของฉีฉีสับสนวุ่นวาย เธอคิดวิธีไม่ออกที่จะแก้ไขทำให้ได้ดีทั้งสองฝ่าย เพียงแค่คิดว่าใครจะสามารถเอามีดมาให้ตัวเองหนึ่งเล่มเพื่อความสบายใจ
ความผิดปกติของฉีฉีทำให้เย่ชูวเสวียสัมผัสได้
“ฉีฉี เธอเป็นอะไร?”
เดิมทีฉีฉียังคิดถึงเรื่องราวที่สวยงามอยู่สักพัก
แต่ว่าตอนนี้เธอหงุดหงิดใจ จนกระทั่งสามารถพูดด้วยความฉุนเฉียวออกไปตรงๆว่า”ทำอย่างไรดี คุณมู่จะมาที่นี่”
เย่ชูวเสวียหรี่ตาลง ยิ้มอย่างเยือกเย็นพูดว่า”กลัวอะไร มีฉันรับมือกับเขาอยู่ อีกสักครู่เธอก็เลิกงานก่อนเวลาไป”
“อ้อ”
มองเห็นเย่ชูวเสวียเป็นอย่างนี้ ฉีฉีรู้สึกกลัวเล็กน้อย รู้สึกว่าสงครามใหญ่ใกล้จะเกิดขึ้น
รู้สึกกระวนกระวายใจ มีลูกค้าอยู่ในร้านหนึ่งโต๊ะ ฉีฉีรอพวกเขากินเสร็จแล้วออกไป ก็รับเตรียมตัวเก็บของกลับ
แต่ว่า ใครจะไปรู้จะออกไปอยู่แล้วก็บังเอิญพบเข้ากับมู่ยู่วฉี!
ไอ๋หยา ตัวเองยังจะโชคร้ายอีกนิดอยู่ไหม!?
ฉีฉีเงยหน้าขึ้น ร้องไห้ไม่มีน้ำตามองหน้ามู่ยู่วฉี
“คุณมู่”
มองใบหน้ากลมเรียวของฉีฉี สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าใจอีกทั้งยังผิดหวัง มู่ยู่วฉีอดขำไม่ได้ ตบเบาๆที่หน้าผากของเธอแล้วพูดว่า”นี่ท่าทางของเธอคืออะไร เห็นผีเหรอ?”
ฉีฉีไม่อยากแสดงท่าทีสนิทสนมกับมู่ยู่วฉี ก็ถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว ดึงห่างความใกล้ชิดของทั้งสองคน ก้มศรีษะพูดว่า”ไม่นะ แค่คาดไม่ถึงว่าคุณจะมาเร็วอย่างนี้”
“ประชุมเสร็จก่อนเวลา ฉันก็เลยมาเร็ว เห็นเธอแบบนี้ คือเลิกงานแล้ว กำลังดีฉันยังไม่ได้กินข้าว ไปกัน ไปกินข้าวเป็นเพื่อนฉัน”
“ใครบอกว่าฉีฉีเลิกงานแล้ว เธอเพียงแค่ไปซื้อของภายในร้านที่จำเป็นต้องรีบใช้”
มู่ยู่วฉีกำลังจะฉกชิงฉีฉีไปในเวลานั้นเย่ชูวเสวียก็ได้เอ่ยปากพูด
เมื่อกี้เธอยืนอยู่ด้านหลัง จ้องมองการกระทำของมู่ยู่วฉี
ที่แท้ เขาก็ยังไม่เปลี่ยนนิสัยเดิม เห็นหน้าฉีฉีก็ลงไม้ลงมือ
สาวน้อยที่อ่อนประสบการณ์ จะรับความปลุกปั่นอย่างนี้ของเขาได้ที่ไหนกัน?คำพูดของตัวเอง เขาก็ไม่ได้เอามาใส่ใจสักคำ น่าเกลียดจริงๆ!
มองเห็นสายตาโหดร้ายของเย่ชูวเสวีย มู่ยู่วฉีรู้สึกสถานการณ์ไม่ดี ก็กำลังเตรียมตัวจะเดินไป พูดว่า”อย่างนั้นฉันก็จะไปกับเธอ กำลังดีจะได้ช่วยด้วยเลย”
เย่ชูวเสวียดึงชายเสื้อของมู่ยู่วฉี ป้องกันไม่ให้มู่ยู่วฉีเดินไป พูดว่า”นายยังมีงานของนายที่ต้องทำ ในร้านมีหลอดไฟเสีย นายช่วยเปลี่ยนหน่อยนะ”
หันกลับมา สายตาของมู่ยู่วฉีกับเย่ชูวเสวียประสานกัน หลังจากนั้น มองเห็นสายตาอึมครึมนั้น
อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น มุมปากกระตุกขึ้น
หันหันศีรษะกลับมา เย่ชูวเสวียเปลี่ยนท่าทีเป็นเพลิดเพลินพูดกับฉีฉีว่า”ฉีฉี เธอไปเถอะ ซื้อเสร็จไม่ต้องกลับมาแล้ว พรุ่งนี้ทำงานก็ถือมาด้วยเลย”
“อืม ได้ค่ะ”
เห็นท่าทีไม่ดี ฉีฉีรีบเร่งฝีเท้าเดินอย่างไว
ฉีฉีไม่อยู่แล้ว มู่ยู่วฉีก็ขี้เกียจที่จะแกล้งเป็นสุภาพบุรุษ นั่งลงบนโซฟาถามว่า”เย่ชูวเสวีย เธอจงใจสินะ”
เย่ชูวเสวียก็ไม่ได้ปฏิเสธ พูดว่า”ใช่ ฉันจงใจ”
“ไม่ใช่ว่าเธอโกรธเรื่องโทรศัพท์ครั้งก่อนหรอกนะ?ไอ๋หยา เธอยังไม่เข้าใจฉันก็ชอบล้อเล่นแค่นั้นเอง”
“ล้อเล่นแค่นั้นเอง ? มู่ยู่วฉี นายยังสามารถที่จะแก้ตัวให้ตัวเองจริงๆ เห็นอยู่ชัดเจนว่านายพูดไม่น่าเชื่อถือ !มู่ยู่วฉี ฉันสั่งให้นายอยู่ห่างๆฉีฉีไว้หน่อยนะ นายกับฉีฉีเป็นใช่คนประเภทเดียวกัน นายล้อเล่นอย่างนี้กับเธอ ก็คือการทำร้ายเธอนะ!
คำพูดนี้ มู่ยู่วฉีไม่ชอบฟัง
“ฉีฉีกับอันน่าเป็นเพื่อนกัน อันน่าสามารถแต่งงานกับเสี่ยวอวี้หลิน แล้วฉีฉีล่ะ ความสัมพันธ์ของฉันกับฉีฉีก็เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม?”
“นั่นไม่เหมือนกัน เสี่ยวอวี้หลินกับอันน่ารักกันจริงๆ นายล่ะ นายไม่ใช่แค่คิดว่าฉีฉีน่ารักน่าสนใจเหรอ เหมือนกับนายล้อเล่นกับสัตว์เลี้ยง อย่างนั้นแล้วสองคนจะมีบทสรุปที่ดีอะไร”
มู่ยู่วฉีอยากอธิบาย เขาไม่ได้เห็นฉีฉีเป็นสัตว์เลี้ยง เขาเพียงแค่รู้สึกว่าเวลาอยู่ด้วยกันกับฉีฉีแล้วผ่อนคลายก็เท่านั้น
แต่คำพูดเหล่านี้ ยิ่งพูดไป เย่ชูวเสวียยิ่งไม่เชื่อ
มู่ยู่วฉีไม่อยากอึดอัดใจ เอียงศีรษะถามว่า”เธอกำหนดชัดเจนแล้ว ว่าฉันจะไม่รู้สึกอะไรกับฉีฉี ใช่ไหม?”
“ใครจะรู้ว่านายจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก แต่ฉันกล้ายืนยัน นายสามารถที่จะทำให้ฉีฉีวุ่นวายได้”
ยักไหล่เบาๆ ก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า”โอเค ฉันรู้แล้ว”
ปฏิกิริยาของมู่ยู่วฉีทำให้เย่ชูวเสวียกลอกตาขาวมองบน
“ฉันว่านะ ปฏิกิริยาของนายเหมือนกับฉันรังแกนายอย่างนั้นแหละ”
มู่ยู่วฉีเสียงเข้ม ตอบว่า”หรือว่าไม่ใช่? ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็รู้จักกันมายี่สิบกว่าปีแล้ว นึกไม่ถึงว่าเธอจะมองฉันอย่างนั้น ฉันก็เป็นคนมีเลือดมีเนื้อ ฉันก็สามารถที่จะรู้สึกกับคนคนหนึ่งได้ ก็สามารถที่อยากจะกอบกุมหัวใจคนคนหนึ่ง ฉัน…….”
“พอแล้วๆ เลิกน้ำเน่าได้แล้ว!”ไม่รอให้มู่ยู่วฉีพูดจบ เย่ชูวเสวียใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจตัดบทเขา “ฉันก็เคยถูกหลอกมาหนึ่งครั้ง ไม่มีทางให้นายหลอกอีกหรอก มู่ยู่วฉี อย่ามาแกล้งทำตัวหน้าสงสารต่อหน้าฉัน!”
“เธอนี่นะ ยิ่งนานวันยิ่งไม่น่าสนใจ มีเวลาฉันจะไปคุยกับหนานกง ดูว่าเขาจะทำอย่างไร ทำให้สาวน้อยน่ารักของบ้านพวกเราเปลี่ยนเป็นหญิงชราไปแล้ว”
“ไปๆๆ ความสัมพันธ์ของพวกเรายังดีอยู่นะ พอเห็นนายหรอกนะถึงเปลี่ยนเป็นอย่างนี้”
“อย่างนั้นเพื่อความสาววัยรุ่นอย่างนิรันด์ของเธอ ดูเหมือนว่าฉันจะต้องมาเจอเธอให้น้อยลง ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ฉันไปก่อนนะ เธอน่ะ ก็รีบเปลี่ยนมาเป็นสาววัยรุ่นเถอะ!”
พูดแล้ว มู่ยู่วฉีก็หมุนตัวออกไปจากร้านเบเกอรี่ และเย่ชูวเสวียก็ไม่ลืมที่จะกำชับตามหลังว่า”จำไว้นะ อย่าข้องแวะกับฉีฉีอีก!”
มู่ยู่วฉีที่หันหลังให้เย่ชูวเสวีย โบกมือพัลวัน หลังจากนั้นก็ยกมือขึ้นทำท่าโอเค
มองมู่วยู่ฉีจากทางด้านหลัง เย่ชูวเสวียขมวดคิ้วขึ้น
ทำไมรู้สึกว่าเด็กคนนี้ผิดปกตินะ ?
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ผิดปกติมาก!
………………………..
เดิมทีฉีฉีคิดว่าเรื่องซุบซิบจะต้องผ่านไป คนที่เข้าใจนิสัยของตัวเอง ก็จะสามารถกลับมาอยู่ข้างกาย เป็นเพื่อนที่จริงใจของตัวเองต่อไป
แต่น่าเสียดาย ฉีฉีมองโลกในแง่ดีเกินไป ตั้งแต่วันนั้นถึงตอนนี้ แม้แต่คนในคณะอื่นก็มองมาที่เธอ การพูดในForumของมหาวิทยาลัยก็ต่อกันไปเรื่อยจนไม่น่าฟัง
ไม่ต้องพูดก็รู้ ที่แปะอยู่ที่Forumนั้น ใครเป็นคนทำ
ฉีฉีจะรับไม่ไหวแล้ว เธอไปหาชายใส่แว่นให้หยุดก่อเรื่องวุ่นวาย แล้วไปอธิบายกับทุกคนให้เข้าใจชัดเจน
แต่ฉีฉีกับชายใส่แว่นยังไม่ได้พูดถึงสองคำ หัวหน้าห้องก็เข้ามา ยืนอยู่ข้างกายของชายใส่แว่นด้วยสีหน้ายั่วยุมองที่ฉีฉี
ช่วงนี้ ชายใส่แว่นได้รับความระทมทุกข์”เสียความรู้สึก” หัวหน้าก็อยู่ข้างกายเขามาตลอด อีกด้านก็ทำให้ฉีฉีแปดเปื้อน พูดเรื่องที่ไม่เป็นความจริงเหล่านั้น อีกด้านก็ปลอบประโลมชายใส่แว่นทำให้ตัวเองปรากฎเห็นอีกด้านที่อบอุ่น
เดิมชายใส่แว่นก็เกลียดเธอมากอย่างกับผู้หญิงไม่ดี ตอนนี้มีหน้าหัวห้องร่วมด้วย เป็นธรรมดาที่ไม่รู้สึกตัวว่าเอาทั้งสองคนมาเปรียบเทียบกัน หัวหน้าห้องเป็นคนละเอียดกับดูแลเอาใจใส่ ยิ่งอยู่ในสายตาของเขา ทั้งสองคนก็มองจนโง่งม ยิ่งมองยิ่งถูกในตา สุดท้ายก็ยินยอมพร้อมใจอยู่ด้วยกัน
หัวหน้าเปลี่ยนมาที่แขนอีกข้างของชายใส่แว่น ทำตัวน่ารักออดอ้อน แต่คำพูดที่พูดออกมาไม่ได้มีความเกรงใจเลย
“พวกคุณสองคนเลิกกันไปแล้ว ทำไมถึงยังมากวนแฟนของฉันอยู่อีก!?”
ฉีฉีหมดคำจะพูดแล้ว
“ฉันกับเขาไม่เคยคบกันมาก่อนเลยนะ จะเลิกกันได้อย่างไร?ในเมื่อพวกคุณสองคนคบกันก็ดีแล้ว อย่ามาทำให้ฉันแปดเปื้อนอีก ได้ไหม?”
หัวหน้าห้องขมวดคิ้วขึ้น พูด”เรื่องเป็นเธอนะที่ทำให้เกิดขึ้นมา ทำให้เธอแปดเปื้อนตรงไหน? ในเวลานี้ยังไม่รู้สึกสำนึกผิดแล้วแก้ไข ดูเหมือนว่าจะสั่งสอนเธอน้อยไป!”
หัวหน้าห้องทำให้ฉีฉีโกรธ เธอไม่พอใจแล้วพูดว่า “รับผิดแล้วแก้ไข? ฉันมีอะไรที่ต้องรับผิดแล้วแก้ไข การเป็นแฟนทั้งที่ไม่ได้ร้องขอ เธอยินยอมที่จะเป็นแฟน อย่างนั้นมอบให้เธอก็โอเคแล้ว คนที่บริสุทธิ์ไม่ได้ทำอะไร ไม่ช้าไม่นานก็จะมีความจริงเปิดเผย แต่พวกคุณสองคนพยายามทำเรื่องที่ไม่ดีเหล่านั้น ยังไงก็ไม่เหมาะสม อย่างนั้นก็ขอให้พวกคุณทั้งสองคนเหมาะสมกันอย่างกับหมา เหมาะที่จะอยู่กับหมาไปตลอดชีวิต! ”
พูดจบ ฉีฉีก็หมุนตัวออกไป
หัวหน้าห้องโมโหหน้าแดงก่ำ เธอมองตามแผ่นหลังของฉีฉี ตะคอกด้วยความโมโห”คาดไม่ถึงว่าคนเลวต่ำช้าจะพูดกับพวกเราอย่างนี้ ฉันอยากจะไปแหกปากของมัน!”
หัวหน้าห้องต้องการที่จะตามฉีฉีไป แต่ทว่าถูกชายใส่แว่นรั้งไว้
หันศีรษะกลับมามองชายใส่แว่น หัวหน้าห้องพูดอย่างไม่พอใจ”ทำไมไม่ให้ฉันไป คุณตัดใจไม่ลงเหรอ?”
ชายใส่แว่นหัวเราะเยือกเย็น พูด”ตัดใจไม่ลงอะไรกัน ฉันบริสุทธิ์ใจ ทั้งหมดเป็นเพราะฉีฉีทำให้ชีวิตฉันมีจุดบกพร่อง โดยธรรมดาต้องสั่งสอนเธอ แต่ว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้เธอลงมือ หลีกเลี่ยงการที่มือเธอจะสกปรกแปดเปื้อน”
ที่แท้ชายใส่แว่นก็ห่วงใยตัวเอง
หัวหน้าห้องก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนนุ่มนวลราวกับน้ำ พิงที่ไหล่ของชายใส่แว่น ปรากฎให้เห็นใบหน้าของสาวน้อย
และชายใส่แว่น ถึงแม้ว่าจะอยู่กับหัวหน้าห้องแต่สายตายังเย็นชา
แยกกับชายใส่แว่นออกมาอย่างไม่ราบรื่น ฉีฉีอารมณ์ไม่ดีมาก เตรียมตัวจะออกไปผ่อนคลายให้ตัวเองสงบลงสักหน่อย
ฉีฉีในเวลานี้มีปมอยู่ในใจ มองเห็นสถานที่ที่ผู้คนมากมายก็รู้สึกว่ามีคนกำลังพูดเรื่องของตัวเองอยู่
เป็นอย่างนี้ต่อไปอีก เธออาจจะมีปัญหาทางสภาพจิตใจ เพราะฉะนั้นฉีฉีตัดสินใจที่จะไปนั่งในสวนสาธารณะ ปรับเปลี่ยนอารมณ์ ไม่ต้องมักที่จะจมอยู่กับพลังงานด้านลบ
ฉีฉียิ้มที่มุมปากเบาๆ รอยยิ้มฝืนใจเล็กน้อย พูดว่า”เธอวางใจเถอะ ฉันเข้าใจความพยายามของเธอ”
ถึงแม้ว่าปากจะพูดอย่างนั้น แต่ท่าทีอย่างนั้นของฉีฉี ดูอย่างนั้นแล้วรู้สึกไม่ถูกใจ
เย่ชูวเสวียไม่รู้ว่าฉีฉีได้รับความรุนแรงมาจากมหาวิทยาลัยยังคิดว่าตัวเองพูดแรงเกินไปแล้ว ทำให้เด็กน้อยคนนี้รู้สึกไม่สบายใจ เพราะฉะนั้นเธอพยายามที่จะระวังคำพูด หวังว่าจะไม่ทำให้ฉีฉีอึดอัด
“อย่างนั้น ฉีฉี ไม่ใช่ว่าฉันกดดันให้เธอเลือกนะ เพียงแค่หวังว่าเธอจะดีขึ้น”
“ฉันรู้ ก็ขอบคุณมากที่เธอทำให้ฉันมองเห็นความจริงได้ชัดเจน มีบางเวลาที่ฉันมองโลกในแง่ดีเกินไป แบบนี้ง่ายต่อการเสียเปรียบ”
“ฉีฉี…….”
คำพูดที่ควรจะพูด ก็พูดแล้ว ฉีฉีก็เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง แต่ว่าทำไม เย่ชูวเสวียยังรู้สึกว่าไม่สบายใจ?
คิ้วของเย่ชูวเสวียขมวดขึ้นไม่เท่ากัน ท่าทางของฉีฉีก็ผ่อนคลายลงมาก
“อย่างนั้น ฉันทำงานก่อนนะ”
“อืม โอเค”
ฉีฉีหมุนตัวเดินไปที่หลังเคาน์เตอร์ และเย่ชูวเสวียอดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจ
เหมือนกับทำให้เรื่องเปลี่ยนเป็นวุ่นวายแล้ว
ในตอนที่ไม่มีคนเห็น ใบหน้าเล็กของฉีฉีเศร้า เครื่องจักรก็ล้างจานอยู่
ทุกข์ของเธอ ไม่ใช่เพียงเพราะว่ารู้สึกไม่สบายร่างกาย ในใจยิ่งหงุดหงิด
ฉีฉีคิดไม่เข้าใจ เห็นๆอยู่ว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไร ระหว่างมู่ยู่วฉีนั้นไม่ได้มีอะไร ทำไมรู้สึกว่าเหมือนทำผิด ถูกคนคอยจับผิดอยู่ห่างๆ?
ความรู้สึกแบบนี้ ไม่สบายใจจริงๆ
นึกถึงจุดที่ลำบากใจ ฉีฉีก็อดไม่ได้ที่จะดวงตาแดงก่ำขึ้นมา
แต่ยังไม่ได้ปลอบใจตัวเอง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นสองครั้ง
ฉีฉีกระพริบตาปริบๆ ก้มศีรษะมองดู หลังจากนั้นก็ชะงักงัน
นั่นคือข้อความที่มู่ยู่วฉีส่งมาให้ฉีฉี
เดิมทีมู่ยู่วฉีอยากจะโทรหาฉีฉี แต่ก็กังวลใจว่าจะรบกวนการพักผ่อนของเธอ จึงส่งข้อความ
ฉีฉีจ้องมองข้อความนั้นอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้กดเข้าไปอ่าน อีกทั้งหักใจลบข้อความนั้นทิ้ง
เดิมทีคิดว่า แบบนี้จะสามารถสงบลงได้ แต่หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไปมู่ยู่วฉีก็โทรศัพท์มา
มู่ยู่วฉีเห็นฉีฉีไม่ตอบกลับข้อความนานมาก เป็นห่วงเธอจนอดใจไม่ไหว ทั้งกินของมั่วๆ ทำร้ายร่างกายตัวเอง ก็โทรศัพท์มาถามทุกข์สุข
ฉีฉีพยายามอยู่นาน ก็รับโทรศัพท์ของเขา
“ฮัลโหล คุณมู่”
ได้ยินเสียงของฉีฉีที่เรียบเฉยปกติ มู่ยู่วฉีก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เวลานี้มู่ยู่วฉีก็ไม่รู้สึกตัวว่าเขาถูกผู้หญิงคนหนึ่งทำให้มีผลกระทบต่อความรู้สึก เขาเพียงรู้สึกว่าเป็นห่วงฉีฉีเป็นเพียงเรื่องที่ถือโอกาสถาม ใครใช้ให้เธอเป็นเพื่อนของอันน่าล่ะ
ผ่อนคลายลงมา เสียงของมู่ยู่วฉีก็เปล่งออกมา
“เธอสบายดีไหม ทำไมไม่ตอบกลับข้อความฉัน?”
มองดูร้านเบเกอรี่ที่ว่างเปล่า ฉีฉีแสร้งพูดว่า”อ้อ งานยุ่งมากเลย ไม่ได้ยิน”
“ทำงาน?ไม่ใช่ว่าเธอไปทำงานนอกเวลาหรอกนะ”
“อืม ใช่”
“เด็กโง่ อาการเธอเพิ่งจะดีขึ้น ยังต้องพักฟื้นอีก อย่าฝืนตัวเอง”
ฉีฉีก้มศีรษะลง เสียงเล็กพูดพึมพำว่า”ไม่หรอก งานในร้านไม่เหนื่อย”
“แต่ว่าเธอยุ่งจนไม่มีเวลาตอบกลับข้อความฉัน”
เอ่อ…….
ฉีฉีขุดหลุมฝังตัวเอง นี่ทำให้เธอหงุดหงิดใจมาก
ยังดีที่มู่ยู่วฉีไม่ได้สงสัยฉีฉี คิดเพียงว่าเธอไม่กล้าพูดออกมา ยิ่งพูดว่า”เธอไม่กล้าที่จะพูดกับเย่ชูวเสวียใช่ไหม?เอาอย่างนี้เถอะ ฉันจะขอลากับเย่ชูวเสวียแทนเธอเอง พักผ่อนอีกไม่กี่วัน”
“อ้อ ไม่ต้องๆ ตอนนี้ฉันโอเคดีค่ะ”
“ฉันดูว่าเธอไม่ค่อยโอเคเลยนะ ฉีฉี นี่เป็นแค่งานพาร์ทไทม์ เธอไม่จำเป็นต้องสู้ขนาดนั้น เย่ชูวเสวียไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผล บอกอาการของเธอกับเย่ชูวเสวีย เธอก็ให้ลาพักแล้ว”
มู่ยู่วฉียิ่งพูดยิ่งจริงจัง คล้ายกับต้องการลาพักกับเย่ชูวเสวียจริงๆ นี่ทำให้ฉีฉีร้อนใจ
เดิมทีเย่ชูวเสวียไม่สนับสนุนให้ตัวเองติดต่อกับมู่ยู่วฉี ถ้าหากเขาขอลาพักแทนเธอล่ะก็ เย่ชูวเสวียต้องคิดว่าตัวเองหน้าไหว้หลังหลอก ไม่ได้เอาคำเตือนของเธอมาใส่ใจ
ความสัมพันธ์กับกลุ่มคนในโรงเรียนแย่แล้ว ฉีฉีไม่อยากเป็นคู่แค้นอาฆาตกับเย่ชูวเสวียอีก เพราะฉะนั้น เธอต้องหยุดไม่ให้มู่ยู่วฉีมายุ่งเรื่องนี้
แต่ฉีฉียังไม่ได้เอ่ยพูด มู่ยู่วฉียิ่งพูดขึ้นอีก “รอฉันเสร็จธุระก่อน ฉันจะไปหาเธอ”
ฉีฉีรู่ม่านตาหดลง เหมือนกับได้ยินเรื่องน่ากลัว
“ไม่ต้องๆ คุณยุ่งขนาดนั้น อย่ามาเลยนะ”
คำพูดของฉีฉีพูดอย่างตื่นตัว ทำให้มู่ยู่วฉีสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
“เด็กโง่วันนี้เธอเป็นอะไร แปลกมากเลย”
“ไม่…..ไม่มีอะไร”
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว อย่างนั้นก็เอาอย่างนี้เถอะ ประชุมเสร็จฉันจะไปที่ร้านเบเกอรี่”
“อย่า……”
ฉีฉียังพูดไม่จบ มู่ยู่วฉีก็ตัดสายวางไป
ฉีฉีกุมที่โทรศัพท์แรงจะร้องไห้ออกมาก็ไม่มี
คว่ำหน้าหมดแรงอยู่บนโต๊ะ ในสมองของฉีฉีสับสนวุ่นวาย เธอคิดวิธีไม่ออกที่จะแก้ไขทำให้ได้ดีทั้งสองฝ่าย เพียงแค่คิดว่าใครจะสามารถเอามีดมาให้ตัวเองหนึ่งเล่มเพื่อความสบายใจ
ความผิดปกติของฉีฉีทำให้เย่ชูวเสวียสัมผัสได้
“ฉีฉี เธอเป็นอะไร?”
เดิมทีฉีฉียังคิดถึงเรื่องราวที่สวยงามอยู่สักพัก
แต่ว่าตอนนี้เธอหงุดหงิดใจ จนกระทั่งสามารถพูดด้วยความฉุนเฉียวออกไปตรงๆว่า”ทำอย่างไรดี คุณมู่จะมาที่นี่”
เย่ชูวเสวียหรี่ตาลง ยิ้มอย่างเยือกเย็นพูดว่า”กลัวอะไร มีฉันรับมือกับเขาอยู่ อีกสักครู่เธอก็เลิกงานก่อนเวลาไป”
“อ้อ”
มองเห็นเย่ชูวเสวียเป็นอย่างนี้ ฉีฉีรู้สึกกลัวเล็กน้อย รู้สึกว่าสงครามใหญ่ใกล้จะเกิดขึ้น
รู้สึกกระวนกระวายใจ มีลูกค้าอยู่ในร้านหนึ่งโต๊ะ ฉีฉีรอพวกเขากินเสร็จแล้วออกไป ก็รับเตรียมตัวเก็บของกลับ
แต่ว่า ใครจะไปรู้จะออกไปอยู่แล้วก็บังเอิญพบเข้ากับมู่ยู่วฉี!
ไอ๋หยา ตัวเองยังจะโชคร้ายอีกนิดอยู่ไหม!?
ฉีฉีเงยหน้าขึ้น ร้องไห้ไม่มีน้ำตามองหน้ามู่ยู่วฉี
“คุณมู่”
มองใบหน้ากลมเรียวของฉีฉี สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าใจอีกทั้งยังผิดหวัง มู่ยู่วฉีอดขำไม่ได้ ตบเบาๆที่หน้าผากของเธอแล้วพูดว่า”นี่ท่าทางของเธอคืออะไร เห็นผีเหรอ?”
ฉีฉีไม่อยากแสดงท่าทีสนิทสนมกับมู่ยู่วฉี ก็ถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว ดึงห่างความใกล้ชิดของทั้งสองคน ก้มศรีษะพูดว่า”ไม่นะ แค่คาดไม่ถึงว่าคุณจะมาเร็วอย่างนี้”
“ประชุมเสร็จก่อนเวลา ฉันก็เลยมาเร็ว เห็นเธอแบบนี้ คือเลิกงานแล้ว กำลังดีฉันยังไม่ได้กินข้าว ไปกัน ไปกินข้าวเป็นเพื่อนฉัน”
“ใครบอกว่าฉีฉีเลิกงานแล้ว เธอเพียงแค่ไปซื้อของภายในร้านที่จำเป็นต้องรีบใช้”
มู่ยู่วฉีกำลังจะฉกชิงฉีฉีไปในเวลานั้นเย่ชูวเสวียก็ได้เอ่ยปากพูด
เมื่อกี้เธอยืนอยู่ด้านหลัง จ้องมองการกระทำของมู่ยู่วฉี
ที่แท้ เขาก็ยังไม่เปลี่ยนนิสัยเดิม เห็นหน้าฉีฉีก็ลงไม้ลงมือ
สาวน้อยที่อ่อนประสบการณ์ จะรับความปลุกปั่นอย่างนี้ของเขาได้ที่ไหนกัน?คำพูดของตัวเอง เขาก็ไม่ได้เอามาใส่ใจสักคำ น่าเกลียดจริงๆ!
มองเห็นสายตาโหดร้ายของเย่ชูวเสวีย มู่ยู่วฉีรู้สึกสถานการณ์ไม่ดี ก็กำลังเตรียมตัวจะเดินไป พูดว่า”อย่างนั้นฉันก็จะไปกับเธอ กำลังดีจะได้ช่วยด้วยเลย”
เย่ชูวเสวียดึงชายเสื้อของมู่ยู่วฉี ป้องกันไม่ให้มู่ยู่วฉีเดินไป พูดว่า”นายยังมีงานของนายที่ต้องทำ ในร้านมีหลอดไฟเสีย นายช่วยเปลี่ยนหน่อยนะ”
หันกลับมา สายตาของมู่ยู่วฉีกับเย่ชูวเสวียประสานกัน หลังจากนั้น มองเห็นสายตาอึมครึมนั้น
อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น มุมปากกระตุกขึ้น
หันหันศีรษะกลับมา เย่ชูวเสวียเปลี่ยนท่าทีเป็นเพลิดเพลินพูดกับฉีฉีว่า”ฉีฉี เธอไปเถอะ ซื้อเสร็จไม่ต้องกลับมาแล้ว พรุ่งนี้ทำงานก็ถือมาด้วยเลย”
“อืม ได้ค่ะ”
เห็นท่าทีไม่ดี ฉีฉีรีบเร่งฝีเท้าเดินอย่างไว
ฉีฉีไม่อยู่แล้ว มู่ยู่วฉีก็ขี้เกียจที่จะแกล้งเป็นสุภาพบุรุษ นั่งลงบนโซฟาถามว่า”เย่ชูวเสวีย เธอจงใจสินะ”
เย่ชูวเสวียก็ไม่ได้ปฏิเสธ พูดว่า”ใช่ ฉันจงใจ”
“ไม่ใช่ว่าเธอโกรธเรื่องโทรศัพท์ครั้งก่อนหรอกนะ?ไอ๋หยา เธอยังไม่เข้าใจฉันก็ชอบล้อเล่นแค่นั้นเอง”
“ล้อเล่นแค่นั้นเอง ? มู่ยู่วฉี นายยังสามารถที่จะแก้ตัวให้ตัวเองจริงๆ เห็นอยู่ชัดเจนว่านายพูดไม่น่าเชื่อถือ !มู่ยู่วฉี ฉันสั่งให้นายอยู่ห่างๆฉีฉีไว้หน่อยนะ นายกับฉีฉีเป็นใช่คนประเภทเดียวกัน นายล้อเล่นอย่างนี้กับเธอ ก็คือการทำร้ายเธอนะ!
คำพูดนี้ มู่ยู่วฉีไม่ชอบฟัง
“ฉีฉีกับอันน่าเป็นเพื่อนกัน อันน่าสามารถแต่งงานกับเสี่ยวอวี้หลิน แล้วฉีฉีล่ะ ความสัมพันธ์ของฉันกับฉีฉีก็เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม?”
“นั่นไม่เหมือนกัน เสี่ยวอวี้หลินกับอันน่ารักกันจริงๆ นายล่ะ นายไม่ใช่แค่คิดว่าฉีฉีน่ารักน่าสนใจเหรอ เหมือนกับนายล้อเล่นกับสัตว์เลี้ยง อย่างนั้นแล้วสองคนจะมีบทสรุปที่ดีอะไร”
มู่ยู่วฉีอยากอธิบาย เขาไม่ได้เห็นฉีฉีเป็นสัตว์เลี้ยง เขาเพียงแค่รู้สึกว่าเวลาอยู่ด้วยกันกับฉีฉีแล้วผ่อนคลายก็เท่านั้น
แต่คำพูดเหล่านี้ ยิ่งพูดไป เย่ชูวเสวียยิ่งไม่เชื่อ
มู่ยู่วฉีไม่อยากอึดอัดใจ เอียงศีรษะถามว่า”เธอกำหนดชัดเจนแล้ว ว่าฉันจะไม่รู้สึกอะไรกับฉีฉี ใช่ไหม?”
“ใครจะรู้ว่านายจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก แต่ฉันกล้ายืนยัน นายสามารถที่จะทำให้ฉีฉีวุ่นวายได้”
ยักไหล่เบาๆ ก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า”โอเค ฉันรู้แล้ว”
ปฏิกิริยาของมู่ยู่วฉีทำให้เย่ชูวเสวียกลอกตาขาวมองบน
“ฉันว่านะ ปฏิกิริยาของนายเหมือนกับฉันรังแกนายอย่างนั้นแหละ”
มู่ยู่วฉีเสียงเข้ม ตอบว่า”หรือว่าไม่ใช่? ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็รู้จักกันมายี่สิบกว่าปีแล้ว นึกไม่ถึงว่าเธอจะมองฉันอย่างนั้น ฉันก็เป็นคนมีเลือดมีเนื้อ ฉันก็สามารถที่จะรู้สึกกับคนคนหนึ่งได้ ก็สามารถที่อยากจะกอบกุมหัวใจคนคนหนึ่ง ฉัน…….”
“พอแล้วๆ เลิกน้ำเน่าได้แล้ว!”ไม่รอให้มู่ยู่วฉีพูดจบ เย่ชูวเสวียใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจตัดบทเขา “ฉันก็เคยถูกหลอกมาหนึ่งครั้ง ไม่มีทางให้นายหลอกอีกหรอก มู่ยู่วฉี อย่ามาแกล้งทำตัวหน้าสงสารต่อหน้าฉัน!”
“เธอนี่นะ ยิ่งนานวันยิ่งไม่น่าสนใจ มีเวลาฉันจะไปคุยกับหนานกง ดูว่าเขาจะทำอย่างไร ทำให้สาวน้อยน่ารักของบ้านพวกเราเปลี่ยนเป็นหญิงชราไปแล้ว”
“ไปๆๆ ความสัมพันธ์ของพวกเรายังดีอยู่นะ พอเห็นนายหรอกนะถึงเปลี่ยนเป็นอย่างนี้”
“อย่างนั้นเพื่อความสาววัยรุ่นอย่างนิรันด์ของเธอ ดูเหมือนว่าฉันจะต้องมาเจอเธอให้น้อยลง ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ฉันไปก่อนนะ เธอน่ะ ก็รีบเปลี่ยนมาเป็นสาววัยรุ่นเถอะ!”
พูดแล้ว มู่ยู่วฉีก็หมุนตัวออกไปจากร้านเบเกอรี่ และเย่ชูวเสวียก็ไม่ลืมที่จะกำชับตามหลังว่า”จำไว้นะ อย่าข้องแวะกับฉีฉีอีก!”
มู่ยู่วฉีที่หันหลังให้เย่ชูวเสวีย โบกมือพัลวัน หลังจากนั้นก็ยกมือขึ้นทำท่าโอเค
มองมู่วยู่ฉีจากทางด้านหลัง เย่ชูวเสวียขมวดคิ้วขึ้น
ทำไมรู้สึกว่าเด็กคนนี้ผิดปกตินะ ?
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ผิดปกติมาก!
………………………..
เดิมทีฉีฉีคิดว่าเรื่องซุบซิบจะต้องผ่านไป คนที่เข้าใจนิสัยของตัวเอง ก็จะสามารถกลับมาอยู่ข้างกาย เป็นเพื่อนที่จริงใจของตัวเองต่อไป
แต่น่าเสียดาย ฉีฉีมองโลกในแง่ดีเกินไป ตั้งแต่วันนั้นถึงตอนนี้ แม้แต่คนในคณะอื่นก็มองมาที่เธอ การพูดในForumของมหาวิทยาลัยก็ต่อกันไปเรื่อยจนไม่น่าฟัง
ไม่ต้องพูดก็รู้ ที่แปะอยู่ที่Forumนั้น ใครเป็นคนทำ
ฉีฉีจะรับไม่ไหวแล้ว เธอไปหาชายใส่แว่นให้หยุดก่อเรื่องวุ่นวาย แล้วไปอธิบายกับทุกคนให้เข้าใจชัดเจน
แต่ฉีฉีกับชายใส่แว่นยังไม่ได้พูดถึงสองคำ หัวหน้าห้องก็เข้ามา ยืนอยู่ข้างกายของชายใส่แว่นด้วยสีหน้ายั่วยุมองที่ฉีฉี
ช่วงนี้ ชายใส่แว่นได้รับความระทมทุกข์”เสียความรู้สึก” หัวหน้าก็อยู่ข้างกายเขามาตลอด อีกด้านก็ทำให้ฉีฉีแปดเปื้อน พูดเรื่องที่ไม่เป็นความจริงเหล่านั้น อีกด้านก็ปลอบประโลมชายใส่แว่นทำให้ตัวเองปรากฎเห็นอีกด้านที่อบอุ่น
เดิมชายใส่แว่นก็เกลียดเธอมากอย่างกับผู้หญิงไม่ดี ตอนนี้มีหน้าหัวห้องร่วมด้วย เป็นธรรมดาที่ไม่รู้สึกตัวว่าเอาทั้งสองคนมาเปรียบเทียบกัน หัวหน้าห้องเป็นคนละเอียดกับดูแลเอาใจใส่ ยิ่งอยู่ในสายตาของเขา ทั้งสองคนก็มองจนโง่งม ยิ่งมองยิ่งถูกในตา สุดท้ายก็ยินยอมพร้อมใจอยู่ด้วยกัน
หัวหน้าเปลี่ยนมาที่แขนอีกข้างของชายใส่แว่น ทำตัวน่ารักออดอ้อน แต่คำพูดที่พูดออกมาไม่ได้มีความเกรงใจเลย
“พวกคุณสองคนเลิกกันไปแล้ว ทำไมถึงยังมากวนแฟนของฉันอยู่อีก!?”
ฉีฉีหมดคำจะพูดแล้ว
“ฉันกับเขาไม่เคยคบกันมาก่อนเลยนะ จะเลิกกันได้อย่างไร?ในเมื่อพวกคุณสองคนคบกันก็ดีแล้ว อย่ามาทำให้ฉันแปดเปื้อนอีก ได้ไหม?”
หัวหน้าห้องขมวดคิ้วขึ้น พูด”เรื่องเป็นเธอนะที่ทำให้เกิดขึ้นมา ทำให้เธอแปดเปื้อนตรงไหน? ในเวลานี้ยังไม่รู้สึกสำนึกผิดแล้วแก้ไข ดูเหมือนว่าจะสั่งสอนเธอน้อยไป!”
หัวหน้าห้องทำให้ฉีฉีโกรธ เธอไม่พอใจแล้วพูดว่า “รับผิดแล้วแก้ไข? ฉันมีอะไรที่ต้องรับผิดแล้วแก้ไข การเป็นแฟนทั้งที่ไม่ได้ร้องขอ เธอยินยอมที่จะเป็นแฟน อย่างนั้นมอบให้เธอก็โอเคแล้ว คนที่บริสุทธิ์ไม่ได้ทำอะไร ไม่ช้าไม่นานก็จะมีความจริงเปิดเผย แต่พวกคุณสองคนพยายามทำเรื่องที่ไม่ดีเหล่านั้น ยังไงก็ไม่เหมาะสม อย่างนั้นก็ขอให้พวกคุณทั้งสองคนเหมาะสมกันอย่างกับหมา เหมาะที่จะอยู่กับหมาไปตลอดชีวิต! ”
พูดจบ ฉีฉีก็หมุนตัวออกไป
หัวหน้าห้องโมโหหน้าแดงก่ำ เธอมองตามแผ่นหลังของฉีฉี ตะคอกด้วยความโมโห”คาดไม่ถึงว่าคนเลวต่ำช้าจะพูดกับพวกเราอย่างนี้ ฉันอยากจะไปแหกปากของมัน!”
หัวหน้าห้องต้องการที่จะตามฉีฉีไป แต่ทว่าถูกชายใส่แว่นรั้งไว้
หันศีรษะกลับมามองชายใส่แว่น หัวหน้าห้องพูดอย่างไม่พอใจ”ทำไมไม่ให้ฉันไป คุณตัดใจไม่ลงเหรอ?”
ชายใส่แว่นหัวเราะเยือกเย็น พูด”ตัดใจไม่ลงอะไรกัน ฉันบริสุทธิ์ใจ ทั้งหมดเป็นเพราะฉีฉีทำให้ชีวิตฉันมีจุดบกพร่อง โดยธรรมดาต้องสั่งสอนเธอ แต่ว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้เธอลงมือ หลีกเลี่ยงการที่มือเธอจะสกปรกแปดเปื้อน”
ที่แท้ชายใส่แว่นก็ห่วงใยตัวเอง
หัวหน้าห้องก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนนุ่มนวลราวกับน้ำ พิงที่ไหล่ของชายใส่แว่น ปรากฎให้เห็นใบหน้าของสาวน้อย
และชายใส่แว่น ถึงแม้ว่าจะอยู่กับหัวหน้าห้องแต่สายตายังเย็นชา
แยกกับชายใส่แว่นออกมาอย่างไม่ราบรื่น ฉีฉีอารมณ์ไม่ดีมาก เตรียมตัวจะออกไปผ่อนคลายให้ตัวเองสงบลงสักหน่อย
ฉีฉีในเวลานี้มีปมอยู่ในใจ มองเห็นสถานที่ที่ผู้คนมากมายก็รู้สึกว่ามีคนกำลังพูดเรื่องของตัวเองอยู่
เป็นอย่างนี้ต่อไปอีก เธออาจจะมีปัญหาทางสภาพจิตใจ เพราะฉะนั้นฉีฉีตัดสินใจที่จะไปนั่งในสวนสาธารณะ ปรับเปลี่ยนอารมณ์ ไม่ต้องมักที่จะจมอยู่กับพลังงานด้านลบ