วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 530 ขิงก็ราข่าก็แรง

เมื่อพูดถึงหัวหน้าห้อง เซี่ยอันน่าก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “หัวหน้าห้องคนนั้นระวังตัวมาตลอด เธอไม่ได้สร้างปัญหาให้ฉัน คิดไม่ถึงว่าเธอจะกล้ามีความคิดอย่างนี้กับเธอ ถ้าฉันเจอเธอ ฉันจะจัดการให้”

“เธอไม่จำเป็นต้องลงมือเธอก็รู้สึกแย่มากแล้ว วันนั้นฉันบังเอิญเจอหัวหน้าห้องที่ร้านกาแฟ กำลังเช็ดโต๊ะกวาดพื้นอยู่ แสดงว่าเรื่องนี้ต้องมีผลกระทบกับเธอมากแน่”

ฉีฉีพูดถึงเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกอัดอั้น

แต่เซี่ยอันน่ากลับรู้สึกว่านี่ไม่ใช่อะไรเลย

“แล้วยังไง เธอใส่ร้ายคนอื่น ยังไงก็ต้องถูกลงโทษ”

“โอ้ย สมกับที่เป็นคุณนายจริงๆ คำพูดคำจามีอำนาจ มันดีมากใช่ไหมที่มีคนสนับสนุน”

“นี่แกพูดอะไรเนี่ย ฉันเป็นห่วงเธอแทบแย่ เธอยังมาแซวฉันอีก”

ฉีฉีโบกมือและพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เรื่องมันผ่านไปแล้วไม่ต้องใส่ใจหรอก แม้ฉันจะเคยผ่านเหตุการณ์ที่ยากลำบาก แต่ก็ทำให้ฉันลดน้ำหนักสำเร็จไม่ใช่หรอ ดูตอนนี้สิฉันใส่เสื้อผ้าไซส์เล็กได้แล้วนะ”

พูดจบฉีฉีก็หมุนตัวตรงหน้าเซี่ยอันน่า เพื่ออวดหุ่นของตัวเอง

ฉีฉีกระโดดไปรอบๆ คิดว่าเซี่ยอันน่าจะว่าเธอเป็นบ้าอีกครั้ง

แต่เซี่ยอันน่าก็ไม่ได้พูดอะไร เธอเอาแต่จ้องฉีฉีดวงตาแดงก่ำ

ปฏิกิริยาของเธอทำให้ฉีฉีตกใจ เธอรีบเดินไปข้างเซี่ยอันน่า และพูดอย่างระมัดระวัง “อันน่าทำไมร้องไห้ล่ะ”

เซี่ยอันน่าหายใจเข้าลึกๆ และหันหน้าไปอีกทางด้วยความเสียใจ

“แกไม่ต้องพูดอะไรแล้วได้ไหม เห็นแกเป็นอย่างนี้แล้วฉันรู้สึกเสียใจ”

ฉีฉีกลั้นยิ้ม และพูดอย่างจริงจัง “อันน่าฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นนะ”

“ใช่เธอเข้มแข็งมาก แต่สิ่งที่สามารถโจมตีเธอจนล้มลงไป ถึงขนาดต้องพึ่งยารักษาจิตใจ มันต้องเป็นเรื่องที่น่ากลัวขนาดไหน”

คำพูดของเซี่ยอันน่าทำให้ฉีฉีหมดคำพูดทันที

เธอมีประสบการณ์ที่เจ็บปวดจริง ตอนที่เธอเสียสติ เธอรู้สึกว่ากำลังจมดิ่งอยู่ในความฝันอันมืดมิด ที่ไม่สามารถออกไปได้ตลอดชีวิต

โชคดีที่มีอาหารของเย่ชูวเสวี่ย ทำให้ฉีฉีกินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เธอได้แต่อดทนกิน เมื่อฝ่าฝันร้ายมาได้ และเข้าสู่ความเป็นจริง เธอจึงได้บอกเย่ชูวเสวี่ยว่าฝีมือการทำอาหารแย่ขนาดไหน

เมื่อนึกถึงอาหารน่ากลัวของเย่ชูวเสวี่ย ฉีฉีก็หัวเราะออกมา “ฉันไม่ได้เจอกับเรื่องนี้คนเดียว มีมู่ยู่วฉีช่วยฉันจัดการเรื่องนี้ และเย่ชูวเสวี่ยก็อยู่ข้างฉันตลอด แถมยังทำของแปลกๆให้ฉันกินอีก”

เมื่อพูดถึงเย่ชูวเสวี่ย ฉีฉีถึงเพิ่งรู้ว่า เธอไม่ได้เห็นเย่ชูวเสวี่ยมาตั้งแต่เช้าแล้ว

เธอหันไปมองรอบๆและพูดว่า “นี่ เย่ชูวเสวี่ยล่ะ”

ถึงเซี่ยอันน่าจะคิดถึงเย่ชูวเสวี่ยเหมือนกัน แต่เธอก็ต้องแก้ปัญหาเรื่องฉีฉีก่อน

“อย่าพึ่งพูดถึงเรื่องนี้ ในเมื่อเรื่องมันผ่านไปแล้ว ทำไมเธอยังไม่เดินจากไปอีก”

จากไปหรอ ฉีฉีก็อยากเหมือนกัน แต่…..

เมื่อเห็นฉีฉีลังเลที่จะพูด เซี่ยอันน่าจึงถามว่า “มู่ยู่วฉีไม่ให้ไปใช่ไหม”

ฉีฉีคิดอยู่สักพัก และพยักหน้าลง

เซี่ยอันน่าแสดงท่าทางโกรธ “หึ ฉันว่าแล้วว่าเขาไม่ได้ใจดีขนาดนั้น ที่เขาช่วยเธอต้องมีอะไรแอบแฝงแน่ ฉันบอกแล้วว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม ทำไมไม่ไปหาผู้หญิงข้างนอก ทำไมต้องมายุ่งกับผู้หญิงไร้เดียงสาอย่างเธอด้วย”

คำพูดของเซี่ยอันน่าทำให้ฉีฉีต้องกุมขมับ

“เธอพูดอะไร….”

กริ๊งๆ

ฉีฉียังไม่ทันได้พูดจบ เสียงกริ่งก็ดังขึ้น

ตอนนั้นฉีฉีแทบอยากจะร้องไห้

“พิซซ่าของฉันต้องถึงแล้วแน่”

ฉีฉีเดินไปที่ประตูช้าๆ เมื่อเปิดประตู เธอก็ยิ้มค้างทันที

เย่ชูวเสวี่ยลืมกุญแจ แต่เมื่อกดกริ่งและประตูเปิดออก ก็เห็นใบหน้าหมดอาลัยตายอยากของฉีฉี

เธอเดินผ่านฉีฉีมา และพูดติดตลกว่า “ท่าทางของเธอเหมือนผิดหวังไม่มีผิด”

ไม่มีพิซซ่ากิน ฉีฉีเสียใจมาก

แต่เธอก็ยังไม่ยอมแพ้ เธอถามว่า “ชูวเสวี่ย เธอออกไปไหนมา ไปซื้อของกินมาหรือเปล่า”

“เปล่า ฉันไปที่ร้านมา”

“แล้วไม่ได้เอาอะไรกลับมาหรอ”

“ไม่ได้เอามา”

“เธอมีของอะไรให้กินไหม”

“ไม่มี”

ทุกคำตอบทำให้ฉีฉีหมดหวัง

เย่ชูวเสวี่ยหันไปมองฉีฉีเดินอย่างหมดแรง และถามยิ้มๆ “ทำไมท่าทางเธอเหมือนหิวขนาดนั้น ในตู้เย็นไม่มีอะไรกินหรอ”

“ไม่มีฉันกินหมดแล้ว เหลือแต่เบียร์กับนม”

“ทำไมกินเก่งขนาดนั้น งั้นเดี๋ยวเราไปซื้ออาหารกัน”

“ไปซื้อที่ไหน ฉันไปด้วย”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ เย่ชูวเสวี่ยถึงเพิ่งรู้ว่าในนี้ยังมีอีกคนหนึ่ง

“อันน่า”

เมื่อเห็นเซี่ยอันน่า เย่ชูวเสวี่ยก็รู้สึกดีใจมาก

เธอยิ้มและพูดกับเซี่ยอันน่า “ชูวเสวี่ย เธอก็อยู่ที่นี่หรอ บังเอิญจัง”

“ช่วงนี้ฉันอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่เรียกว่าบังเอิญแล้ว”

คำตอบนี้ทำให้การแสดงออกของเซี่ยอันน่าเปลี่ยนไปทันที

“เธออยู่ที่นี่หรอ”

เย่ชูวเสวี่ยพยักหน้า “ใช่ จะได้ดูแลฉีฉีได้สะดวกหน่อย”

ก่อนที่เย่ชูวเสวี่ยพูดประโยคนี้ ฉีฉีก็เตือนเธออยู่ข้างๆ ว่าอย่าพูดอะไรไร้สาระ

แต่เย่ชูวเสวี่ยก็เข้าใจช้าไป คำพูดของเธอทำให้เซี่ยอันน่าต้องหรี่ตาลง

“ฉีฉียังมีชีวิตยืนยาว ทำไมต้องดูแลด้วย”

“เอ่อ….”

เย่ชูวเสวี่ยเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดปากไป จึงรีบคิดเอาตัวรอด

แต่ฉีฉีก็พูดออกมาก่อนว่า “ไม่ต้องห่วง เมื่อกี้ฉันบอกไปแล้ว”

เมื่อได้ยินอย่างนั้น เย่ชูวเสวี่ยก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

การปรากฏตัวของเซี่ยอันน่ากระทันหันเกินไป ถ้าต้องปิดบังเธอเรื่องนี้ มันต้องมีเวลาเตรียมตัวหน่อย

ในขณะที่เย่ชูวเสวี่ยถอนหายใจออกมา เซี่ยอันน่าก็พูดเสียงนิ่ง “ที่แท้เธอก็รู้ด้วยคนนี่เอง”

ใบหน้าของเซี่ยอันน่าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกร้อนๆหนาวๆ

“แหะๆๆ”

เย่ชูวเสวี่ยหัวเราะออกมาแห้งๆ สมองของเธอหยุดทำงานทันที

“ที่ฉีฉีไม่อยากบอกให้ฉันรู้ เพราะกลัวว่าการฮันนีมูนของฉันจะต้องเลื่อนออก แล้วเธอล่ะมีเหตุผลอะไร”

เย่ชูวเสวี่ยรีบพูด “ฉันก็รู้สึกเหมือนกันกับฉีฉี ไม่อยากให้มีอะไรมากระทบอารมณ์ดีๆของเธอ”

เซี่ยอันน่าพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ

“ที่แท้พวกเธอก็คิดว่าฉันเห็นการไปเที่ยวข้างนอก ดีกว่าการสนใจชีวิตเพื่อน”

เย่ชูวเสวี่ยรีบโบกมือปฏิเสธ “อันน่า ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

“ฉันรู้ว่าพวกเธอเป็นห่วงฉัน แต่ถ้าเหตุผลเป็นเพราะเหตุผลนี้ แล้วทำให้ฉันต้องพลาดอะไรไป ฉันจะไม่มีทางให้อภัยตัวเองเลยตลอดชีวิต แล้วเธอก็ไม่ควรมาตัดสินใจแทนฉัน ไม่ใช่หรอ”

“โอเคพวกเราผิดไปแล้ว ไม่ต้องโกรธได้ไหม เธอเพิ่งจะฮันนีมูนกลับมา ต้องมีความสุขสิ อย่าเครียด”

เย่ชูวเสวี่ยพูดพลางส่งสัญญาณให้ฉีฉีรีบพูดอะไรออกมา เพื่อไม่ให้เซี่ยอันน่าต้องโกรธอีก

แต่ตอนนี้ฉีฉีหิวมากจนแทบเป็นลม สมองเธอคิดอะไรไม่ออก

“พวกเราผิดไปแล้ว เขาน่าจะไม่ปิดบังเธออีกแล้ว”

เซี่ยอันน่าขมวดคิ้วมองฉีฉี “ยังคิดจะมีครั้งหน้าอีกหรอ”

เพราะกลัวว่าฉีฉีจะพูดอะไรไปเรื่อยอีก เย่ชูวเสวี่ยจึงรีบอธิบายแทนเธอ “ฉีฉีหมายความว่า หลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอจะบอกความจริงตลอด ไม่มีทางปิดบัง”

“อย่างนี้ก็ว่าไปอย่าง”

ผู้จบเซี่ยอันน่าก็กลับห้องของเธอพร้อมฉีฉี เพื่อเริ่มเก็บกระเป๋า

เย่ชูวเสวี่ยถามด้วยความแปลกใจ “อันน่าเธอทำอะไรอยู่”

เซี่ยอันน่าเก็บของและพูด “ตอนนี้ฉีฉีไม่ควรกลับโรงเรียน แต่จะให้เธออยู่ที่นี่ก็ไม่เหมาะสม ฉันจะหาที่อยู่ให้เธอเอง”

สีหน้าของเย่ชูวเสวี่ยลำบากใจเล็กน้อย “เรื่องนี้มู่ยู่วฉีไม่มีทางยอมแน่”

“ฉันเป็นคนตัดสินใจ ทำไมต้องขออนุญาตเขาด้วย ฉีฉีเกี่ยวข้องอะไรกับเขา”

คำถามกับของเซี่ยอันน่าทำให้เย่ชูวเสวี่ยได้แต่ยิ้มออกมา “ที่จริงเราก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน”

“ถ้างั้นก็จบ ฉีฉีเธอเก็บของเดี๋ยวนี้ พวกเราไปกัน”

ฉีฉีพิงกำแพงไม่ขยับ

ทำให้เซี่ยอันน่าขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “ฉีฉีทำไมเธอไม่เก็บของ คงไม่ใช่เพราะไม่อยากไปใช่ไหม”

ฉีฉีเงยหน้าขึ้นช้าๆ “ฉันอยากไป แต่ตอนนี้ฉันหิวจนไม่มีแรงแล้ว”

“เธอ….”

กริ๊งๆ

ออดหน้าประตูดังขึ้นอีกครั้ง สายตาของฉีฉีเป็นประกาย เธอรีบเดินตรงไปที่ประตูทันที

“ครั้งนี้ต้องเป็นพิซซ่าของฉันแน่”

แต่เมื่อเย่ชูวเสวี่ยเปิดประตูออก คนที่อยู่ข้างนอกก็ไม่ใช่คนส่งพิซซ่า แต่เป็นมู่ยู่วฉีที่ใส่ชุดสูทเต็มยศ

พระเจ้าช่างกลั่นแกล้งจริงๆ

ฉีฉีหมดกำลังใจ ได้แต่ทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา

เมื่อมู่ยู่วฉีเดินเข้าห้องมา ก็เห็นสายตาของเซี่ยอันน่าจ้องเขาเขม็ง

เขายิ้มอย่างสุภาพ “อันน่ากลับมาแล้วหรอ”

เซี่ยอันน่ากอดอกพูดอย่างไม่พอใจ “ใช่น่ะสิ คงมีคนหวังให้ฉันไปตลอดชีวิตโดยไม่ต้องกลับมาสินะ”

มู่ยู่วฉีไม่ได้สนใจท่าทีไม่ดีของเซี่ยอันน่า เขายังคงยิ้มพูดอย่างอารมณ์ดี “ใช้สิ ฉันเพิ่งไปเจอเสี่ยวอวี้หลินมา ดูแล้วพวกเธอไปเที่ยวมาสนุกไม่น้อย”

ถึงแม้เขาจะยิ้มอยู่ แต่ภายในประโยคนั้นก็มีความหมายแฝงอยู่

เซี่ยอันน่าหรี่ตาพูดเสียงเย็น “ผู้ชายคนนี้เร็วจริงๆ มีอะไรก็กลับบ้านทันที”

เมื่อเห็นว่าบรรยากาศไม่ปกติ เย่ชูวเสวี่ยจึงหัวเราะออกมา “ทุกคนคงจะหิวน้ำกันแล้ว เดี๋ยวฉันไปรินน้ำชามาให้”

เมื่อเย่ชูวเสวี่ยเดินจากไปแล้ว เซี่ยอันน่าก็หันไปสั่งฉีฉีข้างหลัง “ฉีฉีเธอไปช่วยฉันเก็บของหน่อย”

ยังไม่ทันที่ฉีฉีจะได้ตอบ มู่ยู่วฉีก็ถามว่า “เก็บของอะไร”

“ฉันจะพาเธอไป ก็เลยต้องเก็บของเธอไปด้วย”

รอยยิ้มของมู่ยู่วฉีเต็มไปด้วยความอันตราย “จะไปหรอ”

“ใช่ ขอบคุณมากที่ก่อนหน้านี้นายช่วยเธอไว้ แต่ถ้าให้เธออยู่ที่นี่ต่อไป คงไม่ดีต่อชื่อเสียงของเธอ”

“ก็แค่ช่วยเพื่อน มันเสื่อมเสียชื่อเสียงยังไง”

เซี่ยอันน่าไม่อยากคุยกับมู่ยู่วฉีอีก เธอจึงหันไปจับมือฉีฉีและพูด “ในสถานะของเพื่อน นายทำมามากพอแล้ว ต่อไปนี้จะไม่รบกวนอีก”

มู่ยู่วฉีขวางทางเธอไว้ และถามไม่ปล่อย “เธอเป็นเพื่อนของฉีฉี เธอก็เลยช่วยฉีฉีได้ แล้วทำไมฉันจะช่วยไม่ได้ล่ะ”

โอเคในเมื่อมู่ยู่วฉีอยากทำให้ถึงที่สุด เธอก็จะบอกให้ชัดเจน

เธอจ้องหน้ามู่ยู่วฉี และพูดอย่างไม่เก็บอารมณ์ “ฉันช่วยฉีฉีด้วยใจจริง ไม่ได้คิดอะไรตอบแทน แต่นายมีแผนการอะไรบางอย่าง อย่าคิดว่าฉันไม่รู้”

“ฉันจะมีแผนอะไร ฉันจะได้อะไรจากตัวของฉีฉี”

“นายต้องการได้ตัวเธอ นายกล้าพูดไหมล่ะว่านายไม่ต้องการให้เธอตอบแทน”

เมื่อเจอกับคำพูดที่ตรงไปตรงมาของเซี่ยอันน่า ก็ทำให้มู่ยู่วฉีพูดไม่ออก

เซี่ยอันน่าหัวเราะเสียงเย็น “ไม่พูดแสดงว่ายอมรับ งั้นตอนนี้ฉันพาตัวฉีฉีไปได้หรือยัง”

“ฉันปฏิบัติต่อฉีฉีด้วยใจจริง”

“จริงใจหรือเปล่าไม่ได้อยู่ที่คำพูดแค่ประโยคเดียว แต่ต้องดูที่การกระทำของนาย เราจะได้มั่นใจว่าควรจะส่งฉีฉีให้นายดูแลไหม”

มู่ยู่วฉีพูดอย่างดีมาตลอด แต่ท่าทางของเซี่ยอันน่าแข็งกระด้างมาก จึงทำให้มู่ยู่วฉีหมดความอดทน “ทำไมเธอถึงตัดสินใจอะไรอยู่คนเดียว ทำไมไม่ถามความคิดเห็นของฉีฉี”

“ได้สิถามก็ถาม”เธอหันไปมองฉีฉีและถาม “เธออยากอยู่ต่อไหม”

“ฉัน….ฉัน….”

ฉีฉีมองมู่ยู่วฉีกับเซี่ยอันน่าที่กำลังจ้องตัวเองอยู่ จากนั้นก็หน้ามืดเป็นลมไป

ทุกคนตกตะลึง ไม่มีอารมณ์ทะเลาะกันอีก รีบอุ้มฉีฉีไปโรงพยาบาล

เมื่อตรวจเสร็จ ผลการตรวจก็ออกมาภายใต้ความกังวลของทุกคน

ฉีฉีไม่ได้เป็นอะไร เธอแค่หิวจนเป็นลมไป แค่ฉีดกลูโคส และสารอาหารเธอก็โอเคแล้ว

เมื่อได้ยินอย่างนั้น เซี่ยอันน่าก็ทั้งดีใจและโกรธ

ชี้เป็นคนชอบกินมาก ถ้าเธอหิวจนเป็นลมอย่างนี้ ก็ทำให้ตัวเองรู้สึกเสียใจมาก

มู่ยู่วฉีบอกว่าดูแลฉีฉีเป็นอย่างดี ดูแลดีตรงไหนกันแน่ เธอไม่เห็นจะมองเห็น

ไม่ได้ ฉีฉีอยู่กับเขาไม่ได้ ถ้าเธออยู่กับเขา เธอต้องทรมานทั้งกายใจ

ฉีฉีตื่นขึ้นมา ก็เห็นเซี่ยอันน่ากับมู่ยู่วฉียืนอยู่ข้างเธอคนละข้าง ก่อนจะมองเธอด้วยความกระตือรือร้น

ทำไมยังเป็นอย่างนี้อยู่นะ เธอนอนอีกครั้งดีไหม

ฉีฉีหลับตาลงอีกครั้ง แต่เซี่ยอันน่าก็เห็นว่าเธอตื่นแล้ว จึงพูดว่า “ฉีฉีฉันหาที่พักให้เธอได้แล้ว พวกเราไปกันเถอะ”

“ฉันไม่ยอมให้เธอไปไหนทั้งนั้น”

เซี่ยอันน่าขมวดคิ้วมองมู่ยู่วฉี และไม่สนใจคำพูดของเขา

“ฉันต้องขออนุญาตนายตั้งแต่เมื่อไหร่ นายไม่มีสิทธิ์สั่ง”

“ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ ฉันเป็น….”

คำอีกคำเกือบหลุดออกมาจากปาก

แต่สุดท้ายมู่ยู่วฉีก็กลืนคำนั้นลงไป

เซี่ยอันน่าหัวเราะเยาะถาม “จะบอกว่าเป็นแฟนของฉีฉีหรอ ฉีฉีเธอยอมรับไหม”

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset