เซี่ยอันน่าถึงกับผงะ จากนั้นก็หัวเราะออก เธอยันหน้าผากของฉีฉีเบาๆและพูดว่า:“ ปากเล็กๆของเธอเนี่ย หวานจริงๆนะ”
“ฉันจริงจังกับเธอนะ”ฉีฉีพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ฉันเธอพัฒนาตลอดเวลา ฉันดีใจแทนเธอจริงๆ”
เซี่ยอันน่าตบไปที่ไหล่ของฉีฉีและพูดว่า เธอก็เก่งมาก ทบทวนขนาดนั้น จะต้องได้คะแนนดีแน่ๆ และเข้ามหาลัยที่เธอชอบ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ฉีฉีก็ถอนหายใจลึกๆและพูดว่า เฮ้อ ถึงแม้ว่าจะฝึกทบทวนหนัก แต่คะแนนของฉันก็ยังไม่สูงมาก ฉันวางแผนจะไปสมัครกวดวิชาเพิ่ม
เซี่ยอันน่าไม่ได้คัดค้านอะไร เธอพยักหน้าและพูดว่า:“ ก็ดีนะ กวดวิชากับเพื่อนด้วยกัน ทุกคนปรึกษาหารือกัน มันเป็นประโยชน์ต่อเธอมาก”
“ฉันก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน เพียงแต่การฝึกนี้เป็นการฝึกแบบปิด จะต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน”
“ไม่เป็นไร ขอแค่ได้รับคะแนน จะเรียนที่ไหนก็ไม่แตกต่างกัน”
เมื่อเห็นเซี่ยอันน่าไม่คัดค้าน ฉีฉีก็รู้สึกโล่งใจ เธอยิ้มและพูดว่า:“ เห้ ฉันรู้ว่าเธอจะไม่คัดค้าน มู่ยู่วฉีเป็นคนร้ายจริงๆ”
ในครั้งนี้ เซี่ยอันน่ามีปฎิกิริยาตอบสนอง
เธอหันไปมองฉีฉีและถามว่า:“ เดี๋ยวก่อน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับมู่ยู่วฉีได้ยังไง ?”
ฉีฉีไม่ได้คิดอะไรมาก และพูดออกไปว่า:“ โอกาสนี้ มู่ยู่วฉีเป็นคนแนะนำให้กับฉัน เดิมทีฉันก็อยากไปกวดวิชานั่นอยู่แล้ว แต่คนเยอะเกินไป ฉันเลยไม่ได้คว้ามันเอาไว้ พอเขาช่วยไว้ ฉันถึงได้มีโอกาสเข้าร่วมกวดวิชา ครั้งนี้ ฉันต้องแสดงพลังของฉัน !”
เซี่ยอันน่าหัวเราะแห้งๆสองครั้ง:“ เหอะเหอะ เป็นแบบนี้นี่เอง”
“เธอไม่คัดค้านก็ดีแล้ว ฉันไปอาบน้ำก่อนนะ”
“อืม ไปเถอะ”
ทุกอย่างคลี่คลาย ฉีฉีก็ดินได้อย่างสบายใจมาก
แต่เซี่ยอันน่าไม่ได้ผ่อนคลายขนาดนั้น เธอขมวดคิ้วแน่นและสงสัย ไม่รู้เจ้ามู่ยู่วฉีคนนี้ กำลังทำบ้าอะไรอยู่อีก ?
……
ใช้โอกาสที่เซี่ยอันน่าไม่ได้จัดตารางงานในวันนี้ นัดเพื่อนสนิทสองสามคนไปที่ร้านขนมหวาน มาพูดคุยกัน
แต่เมื่อทุกคนอยู่ด้วยกันแล้ว ถึงรู้ว่ามีคนไม่ครบ
“เอ๊ะ ทำไมวันนี้ฉีฉีไม่มาล่ะ ?”
เซี่ยอันน่าวางแก้วชาลงและอธิบายว่า:“ ฉีฉีไปโรงเรียนกวดวิชาแบบปิด ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนถึงออกมาได้”
“ไอ่หยา จะไม่ได้เห็นฉีฉีตั้งหนึ่งเดือน ตอนนี้ฉันเริ่มคิดถึงเธอขึ้นมานิดหน่อยแล้วล่ะ” เย่ชูวเสวียนับเวลา เลิกคิ้วและพูดว่า “นับไปนับมา เมื่อฉีฉีออกมา ก็สอบแล้วไม่ใช่เหรอ ?”
“อืม”
เย่ชูวเสวียขยับไหล่ของเธอและพูดว่า:“ เวลาใกล้เข้ามาแล้ว ฉันเริ่มรู้สึกประหม่านิดหน่อยแล้วสิ”
“มีอะไรต้องกังวล ”อย่ามองฉีฉีว่าเป็นดูเป็นคนเบลอๆ ถ้าเรื่องสำคัญ เธอไม่เคยที่จะเบลอสับสน ฉันเชื่อเธอ
นี่มันก็จริง ถึงแม้ว่าฉีฉีจะเบลอๆ แต่ก็เหมือนจะไม่เคยออกนอกลู่เลย
มือทั้งสองข้างเท้าคาง เย่ชูวเสวียถอนหายใจยาวและพูดว่า:“ รอฉีฉีสอบเสร็จ พวกเรามาฉลองกันหน่อยเถอะ ช่วงนี้ทุกคนดูเหนื่อยๆ ต้องผ่อนคลายกันหน่อย”
คำพูดนี้ทำให้เซี่ยอันน่ายิ้มและพูดว่า:“ ฉีฉีทบทวนทบเรียนเหนื่อยมาก ฉันเห็นด้วย ฉันทำงานยุ่งมาก ทุกคนก็ไม่คัดค้าน พี่อีเหยากำลังตั้งครรภ์ ร่างกายก็ต้องเหนื่อยเป็นปกติ แต่เธอกำลังเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว ทำไมยังเหนื่อยอีก ?”
เมื่อเย่ชูวเสวียได้ยินแบบนี้ เธอก็กลอกตาและเริ่มบ่น
“เธอคิดว่าเตรียมงานแต่งมันง่ายเหรอ ? ฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ฉันต้องตามเรื่องชุดกับพนังงาน รวบรวมรายชื่อแขก โรงแรมก็ต้องสรุป ยังมีพิธีการของบริษัทที่ต้องเลือกอีก……..ไอ่หยา พูดไม่ได้แล้ว แต่พูดขึ้นมาฉันก็ปวดหัวจะตายแล้ว”
เมื่อเห็นหน้าผากที่ย่นของเย่ชูวเสวีย เซี่ยอันน่าก็หัวเราะและพูดว่า:“ นั่นมันคือความเหนื่อยจากความสุข นี่เป็นครั้งเดียวในชีวิตเรานะ”
“โอ้ย ฉันอยากจะสละโอกาสในครั้งนี้จริงๆ”
“อย่าพูดไร้สาระ ระวังหนานกงเจาได้ยิน และมาคิดบัญชีกับคุณนะ”
“หึ ได้ยินก็ได้ยิน ฉันเหนื่อยและหงุดหงิดมาก กำลังอยากหาคนมาระบายไฟของฉันอยู่เลย”
หลังจากได้ยิน ต้วนอีเหยาก็ยิ้มส่ายหัว จากนั้นก็เอ่ยปากพูด
“ฉันมีคำแนะนำ พวกเธออยากฟังไหม ”
เซี่ยอันน่าและเย่ชูวเสวียต่างแสดงท่าทางอยากฟังอย่างเคารพ
“รอเรื่องต่างๆจบลง พวกเราก็สามารถไปเที่ยวด้วยกันได้ ไปเกาะเล็กๆ ผ่อนคลายสักหน่อย ที่นั่นไม่มีงาน และไม่มีธุระอะไรที่จัดการไม่เสร็จ มีเพียงคลื่นลมทะเล ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ไม่มีอะไรแล้วก็จับปูมาวาดรูปและนอนหลับกัน”
ข้อเสนอนี้ทำให้ทั้งสองดวงตาเป็นประกาย และภาพที่เหมือนสวรรค์ก็ปรากฎขึ้นต่อหน้าพวกเธอในทันที
มือทั้งสองข้างเท้าคาง เมื่อคิดถึงสิ่งนี้เย่ชูวเสวียก็โหยหาอย่างมาก
“นี่เป็นความคิดที่ดี ตัดขาดจากโลก และโยนสิ่งที่น่ารำคาญทั้งหมดออกสู่อวกาศ”
“ฉันก็คิดว่าเป็นความคิดที่ดี พวกเราสามารถตกปลาทำบาร์บีคิวได้ ตามใจตัวเองเลย”
“บาร์บีคิวฉันทำได้ดีเลย สัญญาว่าพวกเธอจะไม่ได้กินก้างปลาลงไปแน่ !”
เย่ชูวเสวียเต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่เซี่ยอันน่าอันน่ายังจำอาหารสีดำปี๋ที่ฉีฉีเล่าได้ และพูดออกมาว่า:“ ช่างเถอะ เธออย่าแตะอาหารเลย ใครจะรู้ว่าการผสมอาหารของเธอ จะพัฒนามาจากอาหารสีเข้มนั่นรึเปล่า”
“เกลียด พวกเราไม่พูดถึงเรื่องนี้จะได้ไหม ?”
ใบหน้าของเย่ชูวเสวียเต็มไปด้วยความโกรธ ในขณะที่อีกสองคนหัวเราะจนคิ้วขมวด
ในขณะที่ทั้งโต๊ะกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เด็กผู้หญิงโต๊ะข้างๆก็กระซิบข้ามหัวเซี่ยอันน่า
ในที่สุด ก็มีชายผู้กล้าคนหนึ่ง เดินไปตรงหน้าเซี่ยอันน่าและถามว่า:“ ขอโทษครับคุณใช่เซี่ยอันน่าไหม ?”
“ใช่ค่ะ ฉันเอง”
เมื่อพวกผู้หญิงได้ยิน หน้าก็แดง
“อ๊ะ คุณคือเซี่ยอันน่าจริงๆ ฉันชอบคุณแสดงเรื่อง 《Goodbye Tomorrow》คุณช่วยเซ็นให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ ?”
“ได้แน่นอน”
หญิงสาวดูตื่นเต้นมาก แต่คำพูดของเย่ชูวเสวีย ทำให้พวกเขายิ่งตื่นเต้นเข้าไปอีก
“ฉันถ่ายรูปให้พวกคุณป่ะ”
“ได้จริงๆเหรอ ? ขอบคุณมาก !”
ผู้หญิงคนหนึ่งหยิบโทรศัพท์ออกมาส่งให้เย่ชูวเสวีย จากนั้นพวกเธอก็ยืมข้างๆเซี่ยอันน่า และชูสองนิ้ว
หลังจากถ่ายรูปเสร็จ เย่ชูวเสวียก็ส่งโทรศัพท์ให้กับพวกเธอ ด้วยรอบยิ้มที่อ่อนโยนและมีน้ำใจ
เมื่อมองไปที่หญิงสาวสองสามคน เซี่ยอันน่ายิ้มและพูดว่า:“ เธอเป็นเจ้าของร้านขนมหวานแห่งนี้ ต่อไปพวกคุณก็มาอุดหนุนที่นี่บ่อยๆนะ”
“แน่นอน เจ้าของร้ายสวยและใจดี พวกเราจะพาเพื่อนมาเยอะๆเลย”
หลังจากได้ลายเซ็นและรูปถ่ายแล้ว พวกหญิงสาวก็จากไปด้วยความพอใจ
เย่ชูวเสวียยิ้มมองไปที่เซี่ยอันน่า และพูดว่า:“ ตอนนี้คุณดังแล้วจริงๆนะ แม้แต่เพื่อนของฉันยังพูดถึงเธอให้ฉันฟังเลย และหวังอยากทานข้าวกับเธอ แต่ฉันเห็นเธอยุ่งขนาดนี้ ฉันเลยปฎิเสธแทนเธอไปแล้ว”
“อย่าทำให้เธอลำบากใจก็พอแล้ว”
“เอ้ ยังมีอะไรลำบากอีก เธอเถอะ ต่อไปนี้ถ้าจะออกไปข้างนอกก็สวมแว่นกันแดดด้วย ไม่อย่างนั้นจะถูกล้อมเอาได้ง่ายๆ”
ต้วนอีเหยายิ้มและพูดว่า:“ ความรู้สึกหลังจากดังแล้ว เป็นยังไงบ้าง ?”
“ก็ยังโอเค ผลงานของฉันทำให้ทุกคนชอบ ก็ยังมีความรู้สึกสำเร็จอย่างมากอยู่”
“ไม่แปลกใจ มันดีเลย”
รอยยิ้มของเซี่ยอันน่าค่อนข้างสงบและพูดว่า:“ ประสบการณ์มากขึ้น สิ่งต่างๆก็จะถูกนำมาใช้อย่างเป็นธรรมชาติ ตรงกันข้าม ฉันกับยึดติดกับสิ่งที่ฉันหวงแหนมากขึ้น”
เย่ชูวเสวียพยักหน้าซ้ำๆและพูดว่า:“ สมแล้วที่เป็นดาราใหญ่ แม้แต่คำพูดของเธอก็กลายเป็นปรัชญา ตอนนี้ มีน้อยคนแล้วที่พูดว่าเธอเป็นภรรยาของเสี่ยวอวี้หลิน แต่กลับพูดว่าเสี่ยวอวี้หลินคือสามีของดาราใหญ่ ที่ผ่านมาข่าวบอกว่าชายผู้ร่ำรวยสละโสด มีสาวๆมากมายร้องไห้ แต่ตอนนี้กลับส่งสัยว่าคุณอายุยังน้อย ทำไมถึงแต่งงานเร็ว”
เรื่องนี้ เซี่ยอันน่ายิ้มเบาๆ และพูดว่า:“ โลกนี้น่ะ ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก”
“นั่นมันเป็นความพยายามของเธอ ถึงทำให้พวกเขาเปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงนี้ยาก แต่เธอก็ทำมันได้แล้ว”
“ใช่แล้ว เธอลำบากมามากแล้ว พวกเราก็เห็น สิ่งพวกนี้เป็นสิ่งที่เธอควรได้รับ”
เซี่ยอันน่าปกปิดใบหน้าของเธอและพูดว่า:“ ไอ่หยา จู่ๆก็มาพูดจริงจังแบบนี้ มันทำให้ฉันรู้สึกอายเล็กน้อบ”
ทันใดนั้นเย่ชูวเสวียก็หยิบโทรศัพท์ออกมา และพูดออกมาอย่างสุภาพว่า:“ มา คุณดาราใหญ่เซี่ย ถ่ายรูปกับฉันหน่อย ฉันจะโพสต์ลง ทำให้เพื่อนๆอิจฉาฉัน”
แต่เซี่ยอันน่าปิดกล้องไว้ส่ายหัวแล้วพูดว่า:“ ฉันไม่เอาล่ะ เธอสวยกว่าดาราอีก จะทำให้ฉันเสียหน้าเอา”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันชอบที่จะได้ยินคำชมนี้”
ในขณะที่พวกผู้หญิงกำลังพูดคุยกัน ฉีฉีที่กำลังกวดวิชาก็ตกอยู่ในภาวะคับขัน
ถึงแม้ว่าจะได้พบเพื่อนที่รู้จักกันในห้องกวดวิชา แต่ในนั้นก็มีคนที่เก่งอยู่เยอะมาก ไม่ ไม่สามารถพูดว่าเยอะมากได้ ต่อหน้าพวกเขา ฉีฉีเป็นเพียงอาหารจากเล็กๆที่เพิ่งเข้ามา ที่จะต้องถูกทรมานทุกรูปแบบ
เมื่อมองไปที่ผลจำลองคะแนนของคนอื่น และมาดูอัตราความผิดพลาดของตัวเอง ฉีฉีก็ร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา
เฮ้อ ไม่มีการเปรียบเทียบก็ไม่มีอันตราย เมื่อก่อนเธอคิดว่าคะแนนของตัวเองไม่เลวเลย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอกำลังหลอกตัวเองอยู่ !
ฉีฉีถูกอาจารย์ทรมานทุกรูปแบบ และสภาพของเธอก็เหี่ยวแห้งมากขึ้นเรื่องๆ เธอถอนหายใจตลอดทั้งวัน โดยไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเลย
แม้ว่าสภาพของฉีฉีจะไม่ค่อยดีนัก แต่ผู้คนรอบๆก็มองเห็นมัน
แต่ที่มากวดวิชาที่นี่ ก็เพื่อพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเตรียมตัวสอบ มีที่ไหนที่จะปลอบผู้แข่งขันที่ไม่คุ้ยเคยด้วย ?
ดังนั้น ฉีฉีก็เงียบมากขึ้นเรื่อยๆ และประสิทธิภาพก็ต่ำมากเช่นกัน
เมื่อฉีฉีรู้สึกว่าความคิดของตัวเองในตอนนี้มันมีปัญหา เธอจึงรีบหยุดการทบทวนทั้งหมด ออกจากห้องเรียนไป และวางแผนที่จะไปในที่ๆไม่มีคน เพื่อผ่อนคลายตัวเอง และปรับความคิดของตัวเอง
ในขณะนี้ ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มลงมา ฉีฉีนอนอยู่บนพื้นหญ้าด้านหลังห้องเรียน โดยวางศีษะไว้บนมองดาวที่เต็มท้องฟ้า จากนั้นอารมณ์ของเธอก็ค่อยๆสงบลง
เมื่อมองไปบนท้องฟ้า ฉีฉีรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กมาก ความทุกข์ของเธอก็เล็กมาก ตัวร่างกายของเธอล่องลอยเบาหวิว
และการล่องลอยนี้ ฉีฉีก็เริ่มคิดถึงคนที่ไม่ควรจะคิดถึง เธอแปลกใจมาก ในตอนนี้ คนๆนั้นกำลังทำอะไรอยู่นะ ?
เมื่อคิดไปคิดมา ก็มีภาพลวงตามาปรากฎต่อหน้าของฉีฉ๊ ชายคนนั้นยืนอยู่ตรงปลายเท้าเธอ ก้มหัวมองเธอด้วยรอยยิ้ม
ฉีฉีถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็หันศีรษะ พึมพำบางอย่างแล้วหลับตาลง
มู่ยู่วฉีตั้งใจมาดูฉีฉี แต่เด็กคนนี้กลับไม่มีปฎิกิริยาอะไร ? เหลือบมอง จากนั้นก็หันไปไม่สนใจเขา
ไม่ขึ้นไปทบทวนเหรอ ?”
เมื่อได้ยินเสียงของมู่ยู่วฉี ฉีฉีก็รีบลุกขึ้นมานั่ง เธอจ้องมองไปที่มู่ยู่วฉีด้วยความไม่เชื่อและตกใจ
“คุณเป็นอะไร เห็นผีเหรอ ?”
“เป็นคุณจริงๆเหรอ ?”
“นั่นยังปลอมได้อีกเหรอ ? คุณเป็นอะไร เรียนจนบ้าแล้วเหรอ ?”
เมื่อตระหนักว่าคนที่อยู่ตรงหน้า เป็นมู่ยู่วฉีจริงๆ ฉีฉีก็รู้สึกละอายเล็กน้อย เธอก้มหัวแล้วพูดว่า:“ อ่า ฉันก็แค่……..แค่ไม่คิดว่าคุณจะมาอยู่ที่นี่จริงๆ”
“ผ่านมาแถวนี้ ผมจึงมาหาคุณ คุณล่ะ ทุกคนกำลังเรียนอยู่ข้างใน ทำไมคุณถึงออกมาล่ะ ?”
เมื่อนึกถึงสภาพของตัวเอง ฉีฉีก็รู้สึกอายเล็กน้อย
ทุกคนได้รับโอกาสในการติดต่อปฎิสัมพันธ์กับผู้คน ถึงได้รับโอกาสในการกวดวิชาที่ล้ำค่าเช่นนี้
แล้วเธอล่ะ ในขณะที่ทุกคนกำลังพยายามอย่างหนัก เธอกลับขี้เกียจวิ่งออกมา ไม่ว่าจะมองยังไงก็เป็นการแสดงที่แย่มาก
มู่ยู่วฉีมองเห็นตัวเองเป็นแบบนี้ จะต้องรู้สึกผิดหวังมากแน่นอน
ฉีฉีก้มหน้าลง และพูดเสียงแหบว่า:“ ข้างในมันค่อนข้างอบอ้าว ฉันออกมาสูดอากาศ อีกเดี๋ยวก็กลับไปแล้ว”
มู่ยู่วฉีเห็นแสงไฟสลัวในดวงตาของฉีฉี จึงถามว่า:“ เห็นสีหน้าของคุณไม่ค่อยดี เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่า ?”
“ก็ไม่มีอะไร ก็แค่………..ก็แค่โดนรังแกนิดหน่อย อีกเดี๋ยวฉันก็กลับไปแล้ว”
พูดจบ ฉีฉีลุกขึ้นและกำลังจะจากไป
แต่มู่ยู่วฉีกลับคว้ามือของเธอไว้ และพูดอย่างอ่อนโยนว่า:“ ในเมื่อออกมาแล้ว ก็มานั่งคุยกันสักพักก็คงไม่เลว”
ฉีฉีก็ยังไม่อยากกลับไปจริงๆ เธอลังเลสักครู่ จากนั้นก็พยักหน้าและถามว่า:“ คุณบอกว่าคุณถูกรังแก เป็นเพราะว่าคะแนนของคนอื่นดีกว่าคุณ ?”
ฉีฉีพยักหน้าและถามด้วยความเขินอายว่า:“ ฉันดูใจแคบไปหน่อยไหม ?”
“ไม่หรอก นี่มันเป็นปกติ แต่คุณต้องรู้ว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า จะต้องมีคนที่เก่งกว่าคุณอยู่ ถ้าหากจะเปรียบทุกคน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเหนื่อยจนตาย อีกอย่างพวกเราก็ไม่มีใบอนุญาติที่หมดอายุให้กับคุณ ให้คุณได้ที่หนึ่ง นั่นมันเป็นเรื่องที่ยากมาก”
คำพูดของมู่ยู่วฉี ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นเรื่องล้อเล่น แต่มันก็กระทบในใจของฉีฉี ทำให้เธอผ่อนคลายความเครียดแล้วตื่นตัวเล็กน้อย เธอยิ้มและพูดว่า :“คุณกำลังปลอบฉันหรือว่ากำลังดูถูกฉันกัน ?”
“แค่พูดตามความเป็นจริง ให้คุณไม่ต้องกดดันตัวเองมากเกินไป แค่แสดงในระดับของตัวเอง ไม่จำเป้นต้องไปเปรียบเทียบกับใคร ขอแค่คุณดีกว่าฉีฉีก่อนหน้านี้ การทบทวนนั้นก็จะเป็นประโยชน์ และนั่นก็เป็นความตั้งใจเดิมของผมที่สมัครให้คุณ”
หลังจากค่อยๆหายใจเข้า ฉีฉีก็รู้สึกว่าอารมณ์ของตัวเองดีขึ้นมาก และห่วงที่หลังของเธอหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ
ต้องบอกเลยว่า มู่ยู่วฉีรู้จักพูดปลอบใจคน พูดง่ายๆเพียงสองสามคำ ก็พูดถามได้ตรงประเด็น ทำให้ความกังวล และปัญหาของฉีฉีหายไปหมด
ฉีฉีกำหมัดไว้ทั้งสองข้าง เธอมีชีวิตชีวาขึ้นมองไปที่ท้องฟ้าและพูดว่า:“ คุณพูดถูก ศัตรูของฉันก็คือตัวฉันเอง และมีเพียงตัวฉันเท่านั้นที่เอาชนะตัวเองได้ ฉันฉีฉี จะต้องขยันให้มากกว่านี้ และจะต้องดีขึ้น !!”
เมื่อเห็นฉีฉีเต็มไปด้วยความมั่นใจ มู่ยู่วฉีก็ยิ้มจนตาหรี่ และมีความอ่อนโยนที่อธิบายไม่ได้ภายในดวงตาของเขา
เขายื่นมือไป ลูบลงบนศีษะของฉีฉี มู่ยู่วฉีพูดอย่างพอใจว่า:“ ที่แท้ก็เป็นฉีฉีคนที่ภายในใจแกร่งแข็งของพวกเรา แป๊ปเดียวก็มีพลังเต็มเปี่ยมแล้ว เห็นคุณเป็นแบบนี้ ฉันก็วางใจแล้ว”
พฤติกรรมของมู่ยู่วฉีค่อนข้างคลุมเคลือ ทำให้ฉีฉีหน้าแดงโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นก็มีความรู้สึกชื่นชอบขึ้นมา
แต่ฉีฉีกลับรู้สึกว่ามันเป็นภาพลวงตา เธอรีบหลบฝ่ามือใหญ่ของมู่ยู่วฉีทันที เธอส่ายหัว และบังคับตัวเองไม่คิดไร้สาระ จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง
“ใช่แล้ว คุณยังไม่บอกเลย คุณมาทำอะไร ? ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว หรือเพราะงาน ?”
“ไม่ ผมมาเพราะคุณ”