วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 68 ความจริงของผู้หญิงในคืนนั้น

“ไม่!!” มู่เวยเวยพยายามปฏิเสธเสียงแข็ง และพูดสวนทันทีว่า ฉันต้องไปหาปากกาเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ฉันไม่อยากทำเรื่องพรรณ์นั้นกับคุณ!”

เย่ฉ๋าวเฉินไม่สนใจ ยิ้มอย่างเยือกเย็นและพูดว่า “ ตราบใดที่ฉันต้องการ เธอก็ไม่มีสิทธ์ปฎิเสธ !”

พูดจบ เขาก็จูบไปที่ริมฝีปากของเธอ

” อื้อ อื้อ…..เย่ฉ่าวเฉินคนบ้า ตอนนี้ฉันป่วยอยู่ นายไม่กลัวฉันแพร่เชื้อใส่เหรอ? ” มู่เวยเวยพูดพลางดิ้นรน

ตอนนี้ในหัวของเธอเต็มไปด้วยเรื่องหาปากกา เธอไม่มีแรงที่จะสู้กับเขา จึงพูดหาเหตุผลที่จะถอยหนีแทน

เย่ฉ๋าวเฉินเหนือมนุษย์มาก แค่เห็นดวงตาสีฟ้ามองเธอ นัยน์ตาสีฟ้าแสดงออกถึงความปรารถนาอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย ” ป่วยก็ดี แบบนี้เธอจะได้ไม่มีแรงสู้ฉัน !”

“ คุณ ….. ”

ในขณะเดียวกัน จู่ๆเธอก็รู้สึกเย็นๆที่หน้า มู่เวยเวยจ้องมองดู ที่แท้มันเป็นบัตรธนาคาร !

หันไปมองรุปร่างที่หล่อเหลาของเย่ฉ่าวเฉิน มู่เวยเวยจึงถามด้วยความประหลาดใจว่า ” นี่มันหมายความว่ายังไง ? ”

” นี่เป็นรางวัลของคุณ ! ” เย่ฉ่าวเฉินพูดกระแทกเสียง

มู่เวยเวยสะดุ้ง ตัวสั่นไปทั้งตัว จ้องมองเขาอย่างดุดัน เกลียดจนอยากจะพุ่งไปฆ่าเขา !

” มากเกินไปแล้วนะ ! เย่ฉ่าวเฉิน คุณทำฉันอับอายแบบนี้ได้อย่างไร ? มู่เวยเวยโกรธและตะโกนถามออกไป แต่เพราะว่าเธอกำลังป่วยอยู่ จึงรู้สึกเวียนหัว

เมื่อเผชิญกับท่าทีเธอ เย่ฉ่าวเฉินก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และพูดอย่างเย็นชาว่า ” ถ้าเธอไม่ต้องการก็คืนมาให้ฉัน !”

มู่เวยเวยโยนกลับไปให้เขาด้วยท่าทีหนักแน่น แต่เมื่อฟังเขาพูดประโยคถัดไปจบ เข่าเธอแทบทรุดลงทันที !

แค่ฟังเขาพูดว่า ” เดิมเห็นเธอไปกินน้ำบนสระด้วยความลำบาก ดังนั้นจึงเอาเงินหนึ่งล้านให้เธอ ไม่คิดเลยว่าเธอจะโยนมันกลับมา !มู่เวยเวย เธอนี่เปิดโลกฉันจริงๆ !”

มู่เวยเวยกระตุกปากพูดอย่างเร็วว่า ” ทำไมคุณไม่พูดให้เร็วกว่านี้ ? คุณรีบเอาเงินมาคืนฉัน !”

เมื่อเห็นท่าทีที่เป็นกังวลของเธอ เย่ฉ่าวเฉินก็กระตุกยิ้มมุมปาก “ คืนให้เธอก็ได้ แต่ว่าเธอจะให้อะไรเป็นข้อต่อรองฉัน ? ”

ไม่รอมู่เวยเวยตอบสนองก็ถูกเย่ฉ่าวฉินควบคุมอีกครั้ง เธอตะโกนออกมาด้วยความโกรธ ” อ๊ะ เย่ฉ่าวเฉิน ไอ้คนน่ารังเกียจ !”

เมื่อเธอพูดจบ มู่เวยเวยก็รู้สึกร่างกายแทบแหลกสลาย เก็บบัตรธนาคารที่เย่ฉ่าวเฉินทิ้งไว้ เธอเหนื่อยล้าจนหลับไป

หลังจากตื่นขึ้นมาอีกครั้ง มู่เวยเวยก็จำเหตุการณ์เมื่อครู่ได้ทั้งหมด ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

มู่เวยเวย เธอมันบ้า !

เมื่อนึกถึงเจ้าคนใจร้ายเย่ฉ่าวเฉิน มู่เวยเวยก็ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ เจ้าคนหน้าด้าน !ไร้ยางอาย !ไอ้คนหยิ่งยโส !

……

เช้าวันรุ่งขึ้น มู่เวยเวยก็มาที่บ้านตระกูลมู่ มาพบกับมู่จางรุ่ยและเอาบัตรธนาคารที่เย่ฉ่าวเฉินมายืนให้เขา

มู่จางรุ่ยมองไปที่การ์ดบนมือ กระตุกยิ้มมุมปากและพูดอย่างเจ้าเล่ห์ว่า ” เวยเวย ครั้งนี้เธอทำได้ดี เธอวางใจเถอะ ฉันจะรีบส่งเงินนี้ไปอเมริกา ถ้าพี่เธอได้เงินจำนวนนี้ไป เชื่อว่าเขาจะต้องหายในเร็ววันแน่ !”

มู่เวยเวยพยักหน้า เธอรู้ลึกโล่งใจและพูดออกมาอย่างจริงใจว่า “ คุณลุง ขอบคุณจริงๆค่ะ “

” คนกันเองทั้งนั้น เธอจะเกรงใจทำไม ? ” มู่จางรุ่ยพูดพลางแสร้งยิ้มออกมา

มู่เวยเวยมองไปที่เขา และเอ่ยถามเบาๆว่า ” คุณลุง พอจะมีรูปพี่ชายไหมคะ ? ฉันคิดถึงเขา ถ้าหากว่ามี ขอให้ฉันใบหนึ่งเถอะค่ะ หรือว่าจะเป็นวิดิโอของเขาก็ได้ค่ะ !”

ใบหน้าของมู่จางรุ่ยดูบึ้งตึงก่อนจะปรับสีหน้าเป็นปกติ เขาถอนหายใจและพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆว่า ” ตอนนี้พี่ชายของเธออาการโคม่า นอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เอาแบบนี้ ถ้าหากว่าพี่ชายเธอฟื้นขึ้นมา ฉันจะส่งคนไปถ่ายรูปพี่ชายเธอ และเอามาให้เธอตกลงไหม ? ”

เมื่อฟังแบบนั้น มู่เวยเวยก็มีสีหน้าที่ยิ้มแย้ม พร้อมพูดอย่างซาบซึ้งใจว่า “ งั้นเรื่องนี้ก็รบกวนคุณด้วยนะคะ “

” ไม่มีปัญหา ”

เมื่อลามู่จางรุ่ยเสร็จ มู่เวยเวยก็เรียกรถตรงไปที่มหาลัย

วันนี้เป็นวันที่ทางมหาวิทยาลัยจัดงาน ‘ออกแบบแฟชั่นโชว์’ สถานที่จัดงานคือโรงดนตรีขนาดใหญ่ที่จุคนได้ไม่น้อยกว่าหนึ่งพันคน

” เวยเวย เธอเร็วหน่อย การแข่งกำลังจะเริ่มแล้ว !” เฉียวซินโยวแสดงท่าทีที่เร่งรีบ

มู่เวยเวยเดินไปข้างหลัง เธอใจเย็นและพูดว่า ” ซินโยว ไม่ต้องรีบหรอก ยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงก่อนการแข่งขัน ไม่สายหรอก ”

เฉียวซินโยวมุ่ยริมฝีปากของเธอด้วยความเกลียดชัง และพูดอย่างไม่พอใจว่า “ เรื่องนี้ฉันรู้อยู่แล้ว ฉันแค่อยากพาเธอไปเร็วหน่อย เพื่อทำความเข้าใจกับกรรมการรับเชิญในครั้งนี้ เรื่องนี้สำคัญมากนะ !”

” ทำไมล่ะ ? ” มู่เวยเวยไม่เข้าใจที่เธอพูด

เฉียวซินโยวเคาะหัวเธอ และเอนตัวกระซิบข้างหูเธอว่า แน่นอนว่าต้องไปสร้างปฏิสัมพันธ์ก่อนสิ ” สร้างความสัมพันธ์ในเรื่องนี้สำคัญกว่าผลงานอีกนะ !”

มู่เวยเวยตกตะลึง เธอหยักหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจ

เมื่อเห็นท่าทางที่งงงวยของมู่เวยเวย ในใจเฉียวซินโยวจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกดูถูกเธอ และรู้สึกว่าเธอมีดีก็แค่ออกแบบเก่งกว่าเธอแต่อย่างอื่นนั้นเธอแทบสู้ไม่ได้เลย !

มันไม่ยุติธรรมเลย แค่การสร้างความสัมพันธ์กับคนเธอยังไม่รู้เลย ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเย่ฉ่าวเฉินถึงเลือกเธอ !

ในใจของเฉียวซินโยวรู้สึกตื่นเต้น เธอดึงแขนของมู่เวยเวยจะบอกว่า ” เวยเวย คุณชายเย่ มาแล้ว !”

มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้นมา พอดีกับที่เย่ฉ่าวเฉินเดินมาทางนี้พอดี ข้างๆเขายังมีหนานกงเฮ่า !

” ทำไมพวกคุณถึงมาอยู่ที่นี่ ? ” เมื่อรอให้ทั้งสี่คนยืนพร้อมหน้ากัน มู่เวยเวยมองไปที่พวกเขา และเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย

เย่ฉ่าวเฉินมีท่าทีที่สงบและพูดอย่างเย็นชาว่า “ ผู้ดูแลหนานฮวา เชิญฉันและเฮ่ามาเป็นกรรมการรับเชิญในการแข่งขันครั้งนี้ ”

มู่เวยเวยรู้สึกประหลาดใจ ได้ยินหนานกงเฮ่าที่อยู่ข้างๆ ยิ้มมุมปากและพูดว่า ” เวยเวย ฉันได้ยินว่าผลงานของพวกคุณได้รับเลือกแล้ว ไว้ถ้ามีโอกาสฉันจะไปเยี่ยมชมดูนะ !”

มู่เวยเวยยิ้มและพูดเบาๆว่า “ ไม่ใช่มีแค่ผลงานของพวกเราเสองคนที่ได้รับเลือกนะ ผลงานของนักเรียนคนอื่นๆก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน ”

เมื่อเฉียวซินโยวเห็นทั้งสองคนคุยกันอย่างมีความสุข ในใจก็เกิดความหึงหวง และพูดออกไปว่า ” เมื่อครู่ฉันบอกว่าจะไปพบกรรมการผู้ทรงเกียรติ ที่แท้ก็เป็นคนคุ้นเคยกันนี่เอง ถ้าอย่างนั้นคุณชายเย่และคุณชายหนานกง ได้โปรดดูแลพวกเราด้วย !”

เย่ฉ่าวเฉินหันมามองเธอ พลางนึกถึงเรื่องเนื้อหาการแข่งขันในใจ ผลการตรวจสอบจากจางเห่อก็ออกมาแล้วว่า ผู้เขียนผลงานชิ้นนี้ก็คือ เฉียวซินโยว !

จนถึงตอนนี้ เขาถึงเชื่อจริงๆแล้วว่า ผู้หญิงในคืนนั้นก็คือเฉียวซินโยว

เมื่อมู่เวยเวยได้ยินคำพูดของเฉียวซินโยว ก็รู้สึกอายเล็กน้อยและหัวเราะว่า ” ซินโยวเธอล้อเล่นอะไรกัน อย่าทำให้พวกเขาลำบากใจเลย ผลจะเป็นยังไงก็ให้เป็นตามนั้น ไม่ต้องใช้สิทธิพิเศษอะไรหรอก ทำแบบนี้มันจะไม่ยุติธรรมกับผู้แข่งขันคนอื่นๆ !”

เมื่อได้ยินมู่เวยเวยพูดแบบนั้น เฉียวซินโยวก็แทบจะฉีกปากเธอทิ้ง !

ครั้งแรกเธอไม่รู้ว่ากรรมการเป็นใคร ดังนั้นเธอจึงอยากที่จะคุยกับเขาก่อน แต่ไม่คิดเลยว่ากรรมการจะเป็นเย่ฉ่าวเฉินกับหนานกงเฮ่า เพียงแค่อาศัยความเป็นเพื่อนของมู่เวยเวย เธอก็รู้สึกถึงแสงสว่างของตัวเอง ไม่นึกเลยว่าจะถูกนังมู่เวยเวยสารเลวคนนี้ทำลาย !

เย่ฉ่าวเฉินสังเกตว่าเฉียวซินโยวไม่ค่อยดีใจ เขาหยุดคิดและพูดออกไปเบาๆ ว่า “ฉันได้เห็นผลงานของคุณหนูเฉียวแล้ว ไม่เลวเลย !”

มู่เวยเวยสะดุ้ง ไม่คิดว่าเย่ฉ่าวเฉินจะพูดแบบนั้นออกมา ในใจเธอรู้สึกแปลกๆแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ในใจของเฉียวซินโยวมีความสุขมาก เธอไม่คิดเลยว่า จะได้รับคำชมจากเย่ฉ่าวเฉิน !

เธอยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เฉียวซินโยวพูดอย่างมีความสุขว่า “ ขอบคุณคุณชายเย่ ที่ชื่นชมฉัน “

” อืม “ เย่ฉ่าวเฉินหยักหน้า

รอยยิ้มบนใหน้าของเฉียวซินโยวดีขึ้น ถึงแม้ว่าเธอไม่ได้เป็นคนสร้างผลงาน แต่บนผลงานนั้นก็เขียนชื่อของเธอ !

มู่เวยเวยรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะว่าเขาชมเฉียวซินโยว แต่เป็นเพราะนับตั้งแต่แต่งงานกันมา นอกจากจะทะเลาะกันอย่างไม่รู้จบแล้ว เขาไม่เคยแสดงสีหน้าที่ดีกับเธอ และตอนนี้เขายังชมคนอื่นอีก ทั้งๆที่มันเป็นผลงานของเธอ มันทำให้เธอไม่มีความสุขแม้แต่น้อย

ที่แท้เขาเป็นคนอ่อนโยนกับคนอื่นจะเป็นใครก็ได้ แต่ไม่ใช่เธอคนเดียว

” ฉันกลับชอบผลงานของมู่เวยเวยนะ ไม่เพียงแต่ความคิด ยังน่าสนใจทีเดียว ! ” ทันใดนั้น หนานกงเฮ่าที่อยู่ข้างๆก็พูดขึ้น

มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้นมองด้วยความขอบคุณ ก่อนจะพูดเบาๆว่า “ หนานกง ขอบคุณสำหรับคำยืนยันค่ะ !”

เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่รอยยิ้มของเธอที่ให้หนานกงเฮ่า หน้าของเขาก็ดูมืดมนทันทีและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ ใกล้ถึงเวลาแล้ว เราไปสถานที่จัดงานกันเถอะ !”

…….

พวกเขากังวลว่าจะถูกคนนินทา ทั้งสี่คนจึงแยกกันไปสถานที่จัดการแข่งขัน

เย่ฉ่าวเฉินและหนานกงเฮ่าถูกผู้อำนวยการโรงเรียนเชิญให้ไปนั่งที่อันทรงเกียรติ ในขณะที่มู่เวยเวยและเฉียวซินโยวนั่งเก้าอี้ผู้เข้าแข่งขันทางด้านทิศตะวันตกร่วมกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นอีกแปดคน

ทางใต้ของเวทีเป็นที่ให้ผู้เข้าชมเข้ามาดู ในตอนนี้อัดแน่นไปด้วยผู้ชม พวกเขาล้วนเป็นนักเรียนของโรงเรียน ทยอยเข้ามาดูการแข่งขัน

ทางทิศตะวันออกของเวทีเป็นที่สำหรับกรรมการอันทรงเกียรติ นอกจากเย่ฉ่าวเฉินและหนานกงเฮ่าแล้วยังมีบริษัทที่มีชื่อเสียงอีกสองแห่ง ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการตัดสินด้วย

ครูใหญ่กล่าวเปิดงานสั้นๆและอธิบายเกี่ยวกับกฏการแข่งขัน และให้ผู้เข้าแข่งขันทั้งสิบคนมาจับฉลากเพื่อกำหนดลำดับการแข่งขัน จากนั้นก็ให้ผู้เข้าแข่งขันขึ้นเวทีเพื่อบอกเล่าแรงบันดาลใจและความคิดผลงานของพวกเขา

สุดท้ายตัดสินคะแนนโดยกรรมการทั้งสี่ท่าน แต่ละท่านมี 10 คะแนนรวมเป็น 40 คะแนนเต็ม

” เวยเวย ไม่คิดว่าเธอจะจับได้เป็นคนสุดท้าย ! ” เฉียวซินโยวพูดออกมาด้วยสีหน้าไม่ดีใจ

ยิ่งได้ลำดับหน้าเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะจะทำให้ง่ายต่อการดึงดูดความสนใจของกรรมการ ถ้าลำดับอยู่ท้ายมากเท่าไหร่ กรรมการก็จะรู้สึกล้าในการดูผลงาน ทำให้คะแนนออกมาไม่ดีนัก

มู่เวยเวยเพียงพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว ผู้เข้าแข่งขันคนแรกเป็นผู้ชาย เขาได้คะแนนรวมไป 34 คะแนน

ถ้าตามลำดับ อีกแปปก็จะถึงคิวของเฉียวซินโยวแล้ว เธอยืนอยู่บนเวทีด้วยท่าทางมั่นใจและพูดอย่างอ่อนโยนว่า ” สวัสดีทุกท่าน ฉันชื่อ เฉียวซินโยว แนวคิดในการทำงานของฉันมาจากธรรมชาติ เพราะธรรมชาติสร้างเราและบ้านของเรา มันเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงเรามาหลายชั่วอายุคน ฉันคิดว่าทรัพยากรก็คือจิตวิญญาณของพวกเรา ผสมผสานเข้ากับแฟนชั่นในปัจจุบัน…..”

เฉียวซินโยวพูดไปประมาณ 10 นาที แต่ได้รับเสียงปรบมือนานถึง 5 นาที เมื่อกรรมการให้คะแนน เขาต่างชื่นชมในแนวคิดของเธอ แม้แต่เย่ฉ่าวเฉินก็อดไม่ได้ที่จะเม้มปากเขา

” ฮู่ว…..บนเวทีเมื่อกี้ฉันตื่นเต้นแทบแย่ เวยเวยเธอได้ยินไหม ? กรรมการให้คะแนนฉันตั้ง 38 คะแนน เยี่ยมไปเลย !” เฉียวซินโยวกลับมาที่นั่งของเธอ และพูดอย่างตื่นเต้น

มู่เวยเวยแสดงสีหน้าที่พอใจบนหน้าเธอ เธอไม่ได้คาดหวังว่าผลงานของเธอจะได้คะแนนสูงขนาดนี้ อันที่จริงแนวคิดการออกแบบที่เฉียวซินโยวได้พูดไปนั้น มันเป็นแรงบันดาลใจในการเริ่มทำผลงานชิ้นนี้ เธอเคยพูดกับเฉียวซินโยวไว้

เวลาค่อยๆผ่านไป จนถึงเวลาที่มู่เวยเวยจะขึ้นเวที ตอนนี้คนที่ได้รับคะแนนสูงสุดคือ เฉียวซินโยวคือ 38 คะแนน

ลุกขึ้นยืน มู่เวยเวยเตรียมขึ้นเวที ในขณะนี้เฉียวซินโยวพูดว่า “ เวยเวย ไม่ต้องเครียด สู้ๆนะ !”

” ฉันรู้แล้ว “ มู่เวยเวยพยักหน้า เดินขึ้นเวทีไป

เมื่ออยู่บนเวที มู่เวยเวยรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ขณะนี้ดวงตานับพันคู่กำลังจ้องมองเธออยู่

เธอก้มลงไปมองที่ผลงานของเธอ พลังงานสูบฉีดไปทั่วร่างกายของเธอ เธอค่อยๆสงบสติ และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมว่า “ สวัสดีค่ะทุกคน ฉันชื่อมู่เวยเวย “

มู่เวยเวยจ้องมองผลงานของตัวเอง ” ฉันตั้งชื่อผลงานนี้ว่า Linghai โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากดวงตาสีม่วงคู่หนึ่งที่ดูลึกราวกับทะเลลึก พวกเรามองว่าดวงตาคือหน้าต่างของจิตวิญญาณ มันสะท้อนให้เห็นถึงความดีความชั่วในจิตใจของมนุษย์ ราวกับกระจกที่สะท้อนแก่นแท้ของจิตวิญญาณ…… ”

เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่เธอด้วยแววตาที่ดูลึกลับส่องแสงสะท้อนในดวงตาสีฟ้า

หลังจากกล่าวจบ มีเสียงปรบมือดังก้องจากผู้ชมเสียงปรบมือดังไปทั่วชั้นล่าง มู่เวยเวยรู้สึกไม่น่าเชื่อกับแรงผลักดันของผลงานเธอจะดังก้องขนาดนี้

ใช้เวลากว่า 10 นาทีก่อนที่เสียงปรมมือจะเงียบลง เฉียวซินโยวที่มองอยู่ในกลุ่มผู้ชม เธอจิกเล็บลงไปในเนื้อด้วยความโกรธจนแทบบ้า เธอโดนบดบังอีกแล้ว !

อย่างไรก็ตามเสียงปรบมือของผู้ชม ก็ไม่ได้แสดงถึงผลตัดสินของกรรมการ ดังนั้นเธอจึงยังมีโอกาส ขอเพียงแค่คะแนนของมู่เวยเวยน้อยกว่าเธอ เธอก็จะกลายเป็นผู้ชนะในวันนี้ !

มู่เวยเวยเม้มริมฝีปาก และมองไปที่กรรมการทั้งสี่คนที่จะตัดสินชะตากรรมของเธอ

แตกต่างจากก่อนหน้านี้ ครั้งนี้ยังไม่มีกรรมการคนใดยกป้ายคะแนนเลย !

มู่เวยเวยรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย ในขณะเดียวกัน เสียงของหนานกงเฮ่าก็ดังขึ้น “ มู่เวยเวย ก่อนที่กรรมการจะรวมคะแนน กรรมการมีคำถามจะถามคุณ ”

มู่เวยเวยชะงัก “ เชิญพูดค่ะ “

ปากของหนานกงเฮ่ากระตุกเล็กน้อย และพูดอย่างเบาๆว่า ” ‘ธีมงานในครั้งนี้คือจิตวิญญาณและแฟชั่น’ เมื่อครู่คำอธิบายของคุณวนเวียนอยู่แค่จิตวิญญาณ ถ้างั้นองค์ประกอบของแฟชั่นคืออะไร ? ”

คำถามของเขาทำให้มู่เวยเวยหยุดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างใจเย็นว่า ” ในใจของฉันแฟชั่นไม่ได้เป็นเพียงองค์ประกอบยอดนิยมบางอย่างเช่น เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า แต่ฉันเข้าใจว่าแฟชั่นมันคือคุณภาพชีวิตของผู้คน มันไม่ได้อยู่บนฟ้า ไม่ได้อยู่บนดิน แต่มันอยู่ทุกที่ อยู่ในสายตาของพวกเรา !”

ทันทีที่มู่เวยเวยพูดออกไป เสียงปรบมือก็ดังก้องขึ้นอีกครั้ง แม้แต่กรรมการทั้งสี่คนก็ยังอดไม่ได้ที่จะปรบมือให้

รวมไปถึงเย่ฉ่าวเฉินด้วย

กรรมการทั้งสี่คนยกป้ายขึ้นพร้อมกัน ตัวเลขสี่ตัวเหมือนกันหมด จากนั้นหนานกงเฮ่าก็ประกาศคะแนนรวมว่าเธอได้คะแนนเต็ม !

มู่เวยเวยยิ้มอย่างมีความสุขเธอได้รับเกียรติบัตรอันดับหนึ่ง คนที่มอบก็คือเย่ฉ่าวเฉิน

หลังจากรับรางวัล มู่เวยเวยก็ยิ้มพร้อมกล่าว “ ขอบคุณค่ะ ! “

ในขณะที่เธอโค้งคำนับแสดงความสุขภาพ ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงสุขุมดังขึ้นมาว่า “ เยี่ยมมาก ! “

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเชื่อมั่นเธอ…..

มู่เวยเวยตกใจและเงยหน้าขึ้น มองเขา แต่เธอก็เห็นเพียงเงาหลังของเขา

เมื่อครู่…..เป็นภาพลวงตารึเปล่านะ ? มู่เวยเวยยังคงตกใจ

กลับไปที่นั่งของกรรมการ มองไปที่มู่เวยเวยที่โดนรายล้อมไปด้วยเสียงปรบมือ เย่ฉ่าวเฉินยิ้ม เขาไม่คาดคิดว่าเธอจะได้ที่หนึ่ง

นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน ตัวเองยังว่าเธอไร้ค่า เขาปฏิบัติกับเธอเหมือนเธอเป็นของเล่น แต่ไม่คิดเลยว่าในเวลาอันสั้น เธอก็เอาผลงานของเธอพิสูจน์ความสามารถของเธอแล้ว !

หนานกงเฮ่ายิ้มมุมปาก ดวงตาสีพีชของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน มู่เวยเวยของเขานั้นเยี่ยมจริงๆ เมื่อสังเกตท่าทางที่เหม่อลอยของเย่ฉ่าวเฉิน จึงถามไปว่า ” ฉ่าวเฉิน แกคิดยังไงกับผลงานของมู่เวยเวย ? ”

เมื่อเจอคำถามจากเพื่อนสนิท เย่ฉ่าวเฉินพูดเบาๆว่า ” เธอมีความสามารถ ผลงานที่ออกแบบมีความคิดสร้างสรรค์ แนวคิดไม่เหมือนใครและรูปแบบครอบคลุม ”

หนานกงเฮ่าเอามือเท้าคางด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ว่า ” ถ้างั้นแกคิดว่า เมื่อเทียบกับผลงานของเฉียวซินโยวแล้ว ผลงานใครดีกว่ากัน ? ”

เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว ผลงานของทั้งสองปรากฎขึ้นในใจของเขา เขาพบว่าผลงานทั้งสองมีธีมงานที่คล้ายคลึงกัน

หากพูดถึงความแตกต่างของธีมงาน เฉียวซินโยวมีแนวคิดแปลกใหม่ ในขณะที่แนวคิดเชิงศิลปะของมู่เวยเวยนั้นเหนือขั้นกว่า เพราะเน้นไปที่แนวความคิดของหัวข้องาน

” ทั้งสองมีข้อดีของตัวเอง แต่ว่าของมู่เวยเวยมีความเข้าใจหัวข้อมากกว่า ” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างเย็นชา

หลังจากฟังเขาพูด สีหน้าของหนานกงเฮ่าก็กลับมาเป็นปกติ และพูดอย่างที่คิดออกไปว่า ” อย่างนี้นี่เอง ฉันคิดว่าแกจะชอบผลงานของเฉียวซินโยวซะอีก ”

ผลงานเป็นเพียงภาพเบื้องหน้า เย่ฉ่าวเฉินอยากจะทดสอบสิ่งที่อยู่ภายในใจ เพื่อระบุว่าใครคือเจ้าของผลงาน !แต่ไม่คิดเลยว่า เมื่อรู้ว่าเฉียวซินโยวเป็นผู้หญิงในคืนนั้น เขากับไม่รู้สึกอะไรเลย !

เขาไม่เพียงแต่ให้คะแนนสูงกว่าเฉียวซินโยว แต่ในใจของเขาก็ยังชื่นชอบมู่เวยเวยอีกด้วย !

หนานกงเฮ่าเกิดความกังวลใจขึ้นมา เพื่อไม่ให้สิ่งต่างๆหลุดจากแผนการของเขา เขาคิดว่าเขาต้องพบกับผู้หญิงคนนั้นสักหน่อย…..

เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่หนานกงเฮ่า ในใจรู้สึกแปลกๆ ทำไมเขาคิดว่า ประโยคสุดท้ายของเขามีความรู้สึกผิดหวังปนอยู่ด้วย ?

” ฉันก็แค่พูดไปตามเนื้องาน !” เย่ฉ่าวเฉินตอบอย่างไม่แยแส

การแข่งขันออกแบบจบลง ผู้คนก็ทยอยออกจากสถานที่จัดการแข่งขัน มู่เวยเวยถูกเฉียวซินโยวลากไปนั่งที่สนามเด็กเล่นข้างๆมหาลัย

เฉียวซินโยวมองไปที่เกียรติบัตรในมือของเธอที่เย่ฉ่าวเฉินเป็นคนมอบให้ รู้สึกคับแค้นใจ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา ” เวยเวย ยินดีด้วยนะ ฉันรู้อยู่แล้วว่ายังไงเธอก็ต้องเฉิดฉาย !”

มู่เวยเวยแสดงสีหน้าที่ดีใจ และพูดอย่างมีความสุขว่า “ ขอบคุณนะ ซินโยว “

การแสดงออกของเฉียวซินโยวเต็มไปด้วยความเย็นชา แต่ก็แสร้งพูดว่า “ เธอจะมาเกรงใจอะไรกัน อย่าลืมสิว่าเราเป็นเพื่อนกัน !”

“ อืม ” มู่เวยเวยพยักหน้ายิ้ม ” ในเส้นทางนี้ โชคดีที่มีเธออยู่ด้วย ไม่งั้นฉันคงไม่รู้จะทนทำต่อไปได้ไหม !”

นับตั้งแต่พ่อแม่เธอเสียชีวิต พี่ชายเธอเกิดเรื่อง บุคลิกของมู่เวยเวยก็เริ่มเปลี่ยนไป เป็นเวลานานที่เธอไม่ติดต่อสื่อสารกับคนอื่นๆ เป็นเพราะเธอ เธอถึงกลับมามีความมั่นใจ เฉียวซินโยวก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงสวยงาม

เฉียวซินโยวแสร้งทำเป็นซาบซึ้ง และพูดออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ว่า ” เพื่อนที่ดีควรให้กำลังใจกันใช่ไหม ? เรื่องแค่นี้เธอไม่ต้องคิดมากหรอก นอกจากนี้เธอก็ช่วยฉันเอาไว้มาก อย่างเช่นการแข่งครั้งนี้ ถ้าไม่ได้งานของเธอช่วยไว้ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะได้เข้ารอบรึเปล่า ! ”

คำพูดของเฉียวซินโยวเป็นเรื่องจริง เธอรู้ความสามารถของตัวเองดี ถ้าไม่ใช่เพราะผลงานของมู่เวยเวย ก็เป็นไปได้ยากที่เธอจะเข้ารอบ

แต่สำหรับเรื่องแบบนี้ เธอรู้สึกว่ามันก็คุ้มค่า นับตั้งแต่เธอแต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉิน เธอก็มักถูกเพื่อนร่วมชั้นใช้เป็นเครื่องมือ บอกว่าตัวเองจับขาทั้งสองข้างของเธอไว้ ด้วยจุดประสงค์ที่ไม่บริสุทธิ์ !

ทุกครั้งที่เธอได้ยินมันทำให้เธอโกรธมาก และความแค้นในใจก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เธอคิดว่าเหมือนกับเจ้าหญิงที่เจ้าชายโดนซินเดอเรลล่าแย่งไป แต่เธอก็สาบานว่าจะแย่งกลับมาให้ได้ !

มู่เวยเวยไม่เห็นด้วย และพูดอย่างจริงใจว่า ” ซินโยว ฉันช่วยเธอเพียงครั้งเดียว แต่เธอช่วยฉันไว้ตั้งหลายครั้ง เธอก็ต้องขยันขึ้น เพื่อที่จะไม่มีปัญหาในอนาคต !”

เมื่อฟังเธอเทศนาใส่ เฉียวซินโยวก็รู้สึกรำคาญพร้อมสายตาที่ดูถูก เธอพูดขัดจังหวะอย่างรวดเร็วว่า ” ฉันรู้แล้ว !”

หนานกงเฮ่าที่อยู่ไม่ไกล ได้ยินบทสนทนานั้นก็ตกใจ

หรือว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่ใช่เฉียวซินโยว แต่เป็นมู่เวยเวย ?

เมื่อการแข่งขันจบลง หนานกงเฮ่าอยากแสดงความยินดีกับมู่เวยเวย ไม่คิดเลยว่าเธอจะออกจากงานไปแล้ว หนานกงเฮ่าคิดว่าบางทีเธออาจจะกลับไปที่ห้องเรียน แต่เมื่อกำลังจะเดินไปที่ห้องเรียน เมื่อเดินผ่านสนามเด็กเล่น เขาก็มองเห็นเงาของเธอ !

หนานกงเฮ่าเดินเข้าไป กำลังจะไปคุยกับเธอ ทันใดนั้นก็ได้ยินเฉียวซินโยวพูดว่าถ้าไม่ใช่เป็นเพราะผลงานของเธอ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะเข้ารอบได้ไหม…..

ด้วยความตกใจ หนานกงเฮ่าหยุดเดิน และแอบซ่อนตัวอยู่หลังต้นปาล์ม และตั้งใจฟังบทสนทนาของทั้งสองคนต่อ แต่ไม่คิดเลยว่า…..

ในใจราวกับว่าถูกหินหล่นทับ หนานกงเฮ่ารู้สึกไม่สบายใจ เขาพยายามสงบสติอารมณ์ก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว

เขาจะไปถามเย่ฉ่าวเฉินให้ชัดเจน !

ทันทีที่เย่ฉ่าวเฉินกลับมาที่บริษัท เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากหนานกงเฮ่า บอกมีเรื่องจะคุยกับเขา เย่ฉ่าวเฉินจึงบอกให้เขามาที่บริษัท

ประตูห้องเปิดออก เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้นเห็นหนานกงเฮ่า เขารู้สึกอายเล็กน้อยที่ผมของเขายุ่งมีเหงื่อไหลออกมา ผิดจากภาพลักษณ์ที่ดูสง่างามของเขา

เย่ฉ่าวเฉินวางปากกาลงด้วยท่าทางที่สง่า และพูดอย่างเกียจคร้านว่า “แกเพิ่งออกมาจากฟิตเนสรึไง? ต้องการยืมห้องอาบน้ำฉันอาบน้ำไหม? ”

เมื่อได้ยินเขาเยาะเย้ย หนานกงเฮ่าก็เปลี่ยนอารมณ์เพราะว่ากลัวเขาจับพิรุธได้ ใบหน้าเขายิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ และพูดอย่างสบายใจว่า ไม่จำเป็น แกไม่คิดว่าตอนนี้ฉันมีเสน่ห์กว่าเหรอ ?

” ฮ่าฮ่า…..” เย่ฉ่าวเฉินคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ตลก ” คำถามนี้ แกเก็บไว้ถามสาวๆของแกเถอะ !”

” น่าเบื่อ ” เมื่อเผชิญกับคำตอบของเขา หนานกงเฮ่าก็พูดด้วยความเซ็ง

ริมฝีปากของเย่ฉ่าวเฉินกระตุกขึ้นเล็กน้อย พลางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ” พวกเรามีเวลาแค่สิบนาที รีบหน่อย อีกเดี๋ยวฉันต้องเข้าประชุม ”

ดวงตาของหนานกงเฮ่าดูจริงจังขึ้นมา และถามด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชาว่า ” ฉันแค่อยากมาถามว่า คืนวันนั้นนายกับหญิงนักออกแบบคนนั้น เรื่องคืนนั้นมันเกิดขึ้นที่ไหน ? ”

เย่ฉ่าวเฉินเงียบไปสักพัก ดวงตาสีฟ้าแสดงความไม่เข้าใจ และถามเขาด้วยความไม่เข้าใจว่า ” ทำไมจู่ๆนายก็มาถามเรื่องนี้ ? ”

หนานกงเฮ่ายักไหล่ พูดด้วยน้ำเสียงงุนงงว่า ” เร็วๆนี้ฉันคิดว่านอกจากร้านกาแฟ ร้านอาหารแล้วก็ไม่มีสถานที่จะจีบหญิงแล้ว ดังนั้นจึงคิดถึงโรงแรม…..”

” โรงแรมนานาชาติ CK ห้อง 1026 ” เย่ฉ่าวเฉินตอบโดยไม่คิดอะไร

ทำไมถึงเป็นที่นั่น ! !

หนานกงเฮ่าพูดไม่ออก ใจของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ร่างกายของเขาเหมือนจมอยู่ในทะเลลึก

” แกจำลักษณะของผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เลยเหรอ ? ” หนานกงเฮ่าถามขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ริมฝีปากของเย่ฉ่าวเฉินกระตุก “ เฮ่า “ แกสนใจชีวิตฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ”

ถ้าหากเขาอยู่ที่นั่นในคืนนั้น ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป !

หนานกงเฮ่าโกรธและหงุดหงิดมากเมื่อนึกถึงเรื่องนี้

เย่ฉ่าวเฉินเดินไปข้างหน้าตบไหล่เขา และพูดเบาๆว่า ” แกไม่ต้องโทษตัวเองหรอก อันที่จริงสถานการณ์ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด แค่ชั่วพริบตาที่ไม่ได้ตรวจสอบ ก็ถูกคนวางยาก็แค่นั้น !”

” งั้นแกเข้าไปในห้อง 1026 ได้ยังไง ? ”

ห้องมีตั้งมากมายไม่เข้า ทำไมต้องเข้าไปในห้องนั้น !!

เย่ฉ่าวเฉินคิดกลับไปฉากในคืนนั้น พูดอย่างช้าๆว่า ” ตอนนั้นฉันถูกแก๊งมังกรฟ้าไล่ล่า ฉันเห็น……ประตูห้องนั้นเปิดเลยเข้าไป ”

หนานกงเฮ่ากำหมัดแน่น แต่ก็ยังรักษาหน้าให้เป็นปกติ “ หลังจากตื่นขึ้นมา นอกจากภาพแบบร่างนั่น ยังมีของอะไรอีกไหม ? ”

เย่ฉ่าวเฉินอดไม่ได้ที่จะนึกถึงหญิงคนนั้น และพูดว่า “ ไม่มี ”

หลังจากทั้งสองพูดจบ เย่ฉ่าวเฉินก็เหลือบมองนาฬิกา และพูดขึ้นด้วยสีหน้าอ่อนโยน ” อีกเดี๋ยวฉันต้องเข้าประชุมแล้ว แกรอฉันอยู่ที่นี่ ? ”

หนานกงเฮ่าส่ายหน้า พูดอย่างช้าๆว่า ” อีกเดี๋ยวฉันยังมีธุระ กลับก่อนนะ ”

เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้า และพูดติดตลกว่า คงไม่ใช่นัดสาวใช่ไหม ? เฉียวอันหรือลีน่าล่ะ ?

หนานกงเฮ่าอยากจะหัวเราะ แต่ก็หัวเราะไม่ออก เขาพูดอย่างเหนื่อยล้าว่า “ ฉันไปก่อนนะ ”

เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกว่าท่าทีเขาแปลกไป แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร

หนานกงเฮ่าออกจากเย่ฮวางอินเตอร์เนชันแนลกรุ๊ป ขึ้นรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว เขาต้องการกลับบ้านและหาที่ระบายด่วน !

เมื่อเข้ามาในบ้าน หนานกงเฮ่าเดินตรงไปที่ห้องเก็บวิสกี้ หยิบขวดวิสกี้ที่สะสมออกมา เปิดยกกระดกใส่ปาก

ของเหลวที่มีกลิ่นฉุนไหลเข้าปากของเขาอย่างคนสิ้นหวัง ทำให้เขาสำลักออกมา

เขาอยากเมา อยากเมาจนสิ้นสติ มันยังดีกว่าความเจ็บปวดในตอนนี้….

เขานึกถึงเรื่องในคืนวันนั้นอีกครั้ง เมื่อเข้าได้รับโทรศัพท์จากลู่จื่อหางว่าทุกอย่างถูกเตรียการเรียบร้อย สถานที่ก็แชร์โลเคชั่นไปให้ในโทรศัพท์แล้ว

โรงแรมนานาชาติ CK ห้อง 1026

เขาจำได้ชัดเลยว่าตัวเองขึ้นรถไปอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะไปยังสถานที่นัดหมายให้เร็วที่สุด เขาไม่อยากผ่านแยกไฟแดงเยอะ เดิมทีเขาอยากเติมน้ำมันให้เต็มและไปอย่างรวดเร็ว

แต่ในขณะเดียวกัน จู่ๆก็มีรถบรรทุกโผล่มากลางถนน เพื่อหลบหลีก เขาหักพวงมาลัยรถเฟอร์รารี่หลบเข้าขอบทาง

รถเขาได้รับความเสียหายมาก เขาอยู่ในอาการโคม่าเพราะหัวของเขากระแทกกับพวงมาลัยรถ เขาตื่นขึ้นมาวันรุ่งขึ้นในโรงพยาบาล โดยคนที่ผ่านไปผ่านมาพาเขามาส่ง

เขาคิดว่า เมื่อมู่เวยเวยไม่เจอลู่จื่อหางก็คงจะรีบออกจากที่นั่น แต่ไม่คิดเลยว่าเย่ฉ่าวเฉินจะเข้ามา !

” อ๊าค—-! ” หนานกงเฮ่าตะโกนออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ พลางพูดขึ้นว่า “ ทำไม ? ทำไมเรื่องถึงเป็นแบบนี้ ? ”

ถ้าหากว่าเขาไม่อยากรีบพบมู่เวยเวย เขาคงไม่เหยียบรถฝ่าไฟแดง ถ้าเขาไม่ฝ่าไฟแดง เขาก็จะไม่เกิดอุบัติเหตุ ถ้าเขาไม่เกิดอุบัติเหตุ คนที่ได้เวยเวยในคืนนั้นก็คงจะเป็นเขาหนานกงเฮ่า !

โดยปกติแล้ว ต้องโทษที่เขาไม่ระวัง จึงทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่ในเมื่อมันเกิดเรื่องขึ้นมาแล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เขาเพียงแต่ต้องยอมรับมัน…..

เขาทำได้เพียงแค่ยอมรับมัน…..

” ยังดีที่เรื่องทุกอย่างยังไม่สายเกินไป หนานกงเฮ่ายังคงปลอบใจตัวเอง เขาพึมพำกับตัวเองว่า มันผิดพลาดไป เฉียวซินโยวกลายเป็นผู้ออกแบบ ทำให้เย่ฉ่าวเฉินคิดว่าเฉียวซินโยวคือผู้หญิงคนนั้น ขอเพียงแค่เย่ฉ่าวเฉินอยู่กับเฉียวซินโยว และหย่ากับมู่เวยเวย สุดท้ายมู่เวยเวยก็จะกลายเป็นของเขาอยู่ดี !”

เพียงแต่ เย่ฉ่าวเฉินจะยอมหย่ากับมู่เวยเวยไหม ?

เขาคงต้องจัดการอะไรบางอย่างแล้ว !

หลังจากคิดอย่างหนัก หนานกงเฮ่าก็รู้สึกว่าเขาต้องไปพบกับเฉียวซินโยว…..

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset