วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 71 บทลงโทษของเย่ฉ่าวเฉิน

“ผมจำเป็นต้องแอบฟังหรอ” สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินดุดันขึ้นมาก และร่างกายของเขาก็แผ่รังสีกดดันออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง บอกมา คุณอยากกลับไปหามันจนตัวสั่นแล้วใช่มั้ย”

มู่เวยเวยเห็นอารมณ์นั้นเขา ก็กลัวจนใจสั่นไปหมด จึงส่ายหน้าอย่างรุนแรง พร้อมพูดอย่างหนักแน่นว่า “เปล่านะ ถึงไม่ได้แต่งงานกับคุณ เรื่องของฉันกับลู่จื่อหางก็เป็นไปไม่ได้แล้ว แถมตอนนี้เราก็แต่งงานกันแล้วด้วย”

เมื่อเย่ฉ่าวเฉินได้ยินเธอพูดถึงเรื่องแต่งงาน อารมณ์ของเขาก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น เขาบีบคางบางอย่างแรง พร้อมพูดอย่างดุดันว่า “คุณบอกว่าอยากย้อนเวลากับไปเมื่อก่อนไม่ใช่หรอ เสียใจมากใช่มั้ยที่ต้องแต่งงานกับผม”

มู่เวยเวยรู้สึกว่าคางของเธอถูกบีบแทบจะแหลกละเอียด มันเจ็บมาก จนเธอต้องพยายามดึงข้อมือเขาออก แต่สุดท้ายเธอก็ไม่สามารถทำได้ จึงพูดออกไปอย่างเจ็บๆว่า “ถ้าฉันบอกว่าใช่ คุณจะปล่อยฉันไปมั้ยล่ะ”

“ไม่” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างโหดร้าย

“เห็นมั้ย แล้วฉันจะหาเรื่องใส่ตัวทำไม”

เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆปล่อยมือออก ใช้มือถูริมฝีปากแดงระเรื่อ และพูดเสียงเย็นชาว่า “คุณต้องพูดความจริงกับผม อย่าให้ผมรู้ว่าคุณสวมเขาให้ผม ไม่งั้นผมเอาคุณตายแน่”

มู่เวยเวยตกใจกลัวในทันที ด้วยรู้ว่าเขาพูดจริง ทำจริง เธอจึงพยักหน้าลง และพูดอย่างหนักแน่น “ฉันรับรองว่าจะไม่ทำอย่างนั้น”

เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่ใบหน้าสวย แล้วอารมณ์ของเขาก็ดำดิ่งขึ้น จึงพูดอย่างดูถูก “ผมไม่เชื่อคำรับรองของคุณ”

มู่เวยเวยนิ่งไปอย่างหน่ายใจ “งั้นคุณจะเอายังไง”

เธอรู้สึกเหนื่อย และปวดใจจนชาไปหมด หรือบางทีความตายมันอาจจะดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้

มู่เวยเวยมองไปที่นอกหน้าต่างอย่างขมขื่น พร้อมคิดอยู่ในใจ : พี่ชาย ตอนนี้พี่อยู่ไหน เวยเวยคิดถึงพี่จัง ถ้าพี่หายดีแล้วอย่าลืมรีบกลับมา พาฉันไปด้วยนะ

…..

เช้าวันถัดไป

มู่เวยเวยตื่นมาในตอนเช้า เดินลงไปข้างล่าง และเมื่อเธอเห็นเย่ฉ่าวเฉินกินข้าวอยู่ในห้องอาหารก่อนแล้ว เธอก็มองข้ามเข้าไป พลางเดินมานั่งที่ของตัวเอง และเริ่มกินอาหาร

เย่ฉ่าวเฉินเหลือบมองเธออย่างเฉยชา และยืนขึ้นอย่างสง่างาม จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อาหวัง เตรียมรถ”

มู่เวยเวยตกใจ รีบพูดด้วยความไม่พอใจ “ฉันยังไม่ได้ยินข้าวเลย”

เย่ฉ่าวเฉินหยักยิ้มเย็น และพูดด้วยน้ำเสียงยินดีเสียเต็มประดา “เกี่ยวอะไรกับผม”

“นี่ คุณ….” มู่เวยเวยได้แต่กัดฟันมองตามแผ่นหลังกว้างไป

เขาตั้งใจทำแน่นอน ทำไมผู้ชายคนนี้ร้ายขนาดนี้

เสียงรถดังมาจากด้านนอก มู่เวยเวยจึงจำต้องถอนหายใจ และรีบวิ่งออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็ว

ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา รถก็จอดอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ของบริษัทเย่ฮวาง เธอรอจนเย่ฉ่าวเฉินไปแล้ว ถึงค่อยก้าวเข้าไปในบริษัท

มู่เวยเวยเพิ่งจะนั่งลง เฉียวซินโยวก็หันหน้ามาพูดว่า “เวยเวย วันนี้เธอนั่งรถประธานเย่มาหรอ”

มู่เวยเวยพยักหน้า เปิดคอม และเข้ารหัสผ่านอย่างรวดเร็ว ระหว่างที่รอระบบทำงานนั้น เธอก็พูดเสียงอ่อน “ทางผ่านน่ะ”

ใบหน้าของเฉียวซินโยวปรากฏความอิจฉาออกมาแวบหนึ่ง ก่อนที่สายตาของเธอจะเห็นรอยบนคอของมู่เวยเวย รอยช่ำนั้น กระจายไปทั่วไปเป็นหย่อมๆ เมื่อเห็นดังนั้นเธอก็เจ็บจนแทบกระอักเลือด

เธอผ่านเรื่องพวกนี้มาก่อน ย่อมรู้ดีว่ามันคือรอยอะไร

เล็บคมจิกลงไปในเนื้อแน่น จนมีเลือดซึมออกมา

มู่เวยเวยเห็นสีหน้าเธอแย่มาก จึงถามด้วยความเป็นห่วง “ซินโยว สีหน้าเธอแย่มากเลย ไม่สบายรึเปล่า”

เฉียวซินโยวรีบสงบสติอารมณ์ของตัวเองลง พร้อมพูดเบาๆด้วยอารมณ์ที่แฝงไปด้วยความเย็นชาเล็กน้อย “เมื่อวานฉันคงพักผ่อนไม่เพียงพอน่ะ เวยเวยเมื่อวานเธอกับประธานเย่คงไม่ได้มีปัญหาอะไรกันใช่มั้ย”

มู่เวยเวยถอนหายใจออกมา และพูดอย่างจนปัญญา “เมื่อวานเขาได้ยินที่พวกเราคุยกัน ก็เลยมีปัญหากันนิดหน่อย”

เฉียวซินโยวได้ยิน ก็แอบยกยิ้มขึ้นมาอย่างสะใจ ก่อนจะแสร้งถามอย่างตกใจว่า “ประธานเย่ได้ยินได้ยังไง”

“ใครจะไปรู้” มู่เวยเวยปวดหัว และหนักใจสุดๆ

ในเมื่อเขาได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ ก็แสดงว่าเขาอยู่ต้องอยู่ในสวนสาธารณะ เพียงแค่คิดว่าเขาแอบฟังอยู่ที่นั่น มู่เวยเวยก็ขนลุกขึ้นมาทันที

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของมู่เวยเวย เฉียวซินโยวก็กระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจอย่างพอใจ

ตอนนั้น ยังไม่ทันเข้าไปในศาลา เธอก็เห็นร่างของเย่ฉ่าวเฉินนอนอ่านหนังสืออยู่ในสวนก่อนแล้ว เธอเลยมีแผนร้ายขึ้นมาหัว

เมื่อรู้ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนตำแหน่งกับมู่เวยเวย เพราะตอนแรกมู่เวยเวยหันหน้าไปทางเย่ฉ่าวเฉินพอดี และถ้ามู่เวยเวยเห็นเขาเข้า แผนของเธอก็คงไม่ราบรื่น

เธอตั้งใจพูดถึงลู่จื่อหางขึ้นมา เพราะอยากกระตุ้นให้เย่ฉ่าวเฉินโกรธจนไล่เธอออกจากบ้าน

เธอมารอฟังข่าวแต่เช้า แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นฉากที่น่าอับอายแบบนี้

เฉียวซินโยวแสดงความเกลียดออกมาแวบหนึ่ง สมองของเธอก็คิดไม่หยุด และพูดขึ้นในใจอย่างโกรธๆ : มู่เวยเวย แกเตรียมตัวเอาไว้ให้ดี เราจะได้เห็นดีกันแน่

มู่เวยเวยบิดคออย่างเมื่อยๆ แล้วมองเพื่อนร่วมงานที่ค่อยๆกลับไป และในตอนที่เธอกำลังจะปิดคอมนั้น เหอเหม่ยหลิงก็มายืนอยู่ตรงหน้าของเธอ

มู่เวยเวยยิ้มออกมา ด้วยท่าทางอ่อนโยน ก่อนจะพูด “ผู้จัดการเหอ มีธุระอะไรกับฉันรึเปล่าคะ”

เหอเหม่ยหลิงมีท่าทีสับสนเล็กน้อย ก่อนจะวางกองเอกสารสีน้ำเงินไว้ตรงหน้าของเธอ และพูดเบาๆว่า “เวยเวย เธอคงจะเลิกงานตอนนี้ไม่ได้แล้ว”

มู่เวยเวยตกใจ และถามอย่างประหลาดใจ “ผู้จัดการ มีอะไรรึเปล่าคะ”

เหอเหม่ยหลิงชี้ไปที่กองเอกสารที่สูงราวกับภูเขา และพูดเสียงต่ำ “เสี่ยวหลี่ เสมียนแผนกเราลางานไปหลายวัน และตอนนี้ก็ยังหาคนมาแทนเขาไม่ได้ ประธานเย่ก็เลยให้ฉันเอางานที่ต้องถ่ายเอกสารพวกนี้มาให้เธอ และสั่งให้เธอทำให้เสร็จ”

มู่เวยเวยหดหู่สุดๆ เอกสารเยอะขนาดนี้ กว่าจะถ่ายเอกสารเสร็จก็คงเช้าพอดี

แม้ว่าเธอจะไม่อยากทำ แต่เธอก็ไม่สามารถว่าอะไรเหอเหม่ยหลิงได้ จึงได้แต่ฝืนยิ้มออกมา และพูดเบาๆว่า “เข้าใจแล้วค่ะ”

เหอเหม่ยหลิงมองมา พร้อมพูดเบาๆว่า “ฉันกลับก่อนนะ”

“อืม”

รอจนเหอเหม่ยหลิงลงลิฟต์ไปแล้ว มู่เวยเวยก็รีบกดลิฟต์อีกฝั่งหนึ่งไปชั้น 28 ทันที และเมื่อออกมาจากลิฟต์เธอก็ตรงเข้าไปห้องผู้บริหารทันทีด้วยความกรุ่นโกรธ

เย่ฉ่าวเฉินกำลังจัดการเอกสารอยู่ เมื่อได้ยินเสียงเดินเข้ามา เขาจึงเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเห็นร่างที่เต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธของมู่เวยเวย

“มีอะไร” เย่ฉ่าวเฉินมองเธออย่างเฉยชา พร้อมถามน้ำเสียงเย็นชาออกไป

มู่เวยเวยพยายามข่มอารมณ์ของตัวเอง และพูดเสียงดังออกมา ด้วยใบหน้าที่ยังคงมีความไม่พอใจเป็นอย่างมาก “คุณทำอย่างนี้ได้ยังไง เอกสารเยอะขนาดนั้น ฉันต้องทำถึงเมื่อไหร่ถึงจะเสร็จ”

เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย และตอบเรียบๆว่า “การทำงานล่วงเวลา เป็นการทดสอบศักยภาพของพนักงานอย่างหนึ่ง ถ้าเรื่องแค่นี้คุณทำไม่ได้ ก็ไปเก็บข้าวของออกไปซะ”

มู่เวยเวยแทบกระอักเลือด เธอจ้องเขาอย่างหมดคำพูด ยังไงซะ เธอก็ไม่มีทางเอาชนะเขาได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ มู่เวยเวยก็สงบลง และพูดอย่างมีเหตุผลว่า “ถึงจะทำโอที คุณก็ไม่ควรปล่อยให้เหลือแต่ฉันคนเดียวในบริษัทรึเปล่า ฉันขวัญอ่อน อยู่ในตึกใหญ่ๆแบบนี้คนเดียวก็กลัวนะ ฉันเอากลับไปทำที่บ้าน โอเคมั้ย”

แค่คิดว่าต้องอยู่มืดๆในตึกใหญ่ๆคนเดียว เธอก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา

เย่ฉ่าวเฉินพูดเสียงเย็นอย่างเย้ยหยัน “ที่บ้านไม่มีเครื่องถ่ายเอกสาร”

ฟังจบ มู่เวยเวยก็มั่นใจมากขึ้นว่า เขาตั้งใจทำแน่ เขาตัดทางหนีทีไล่ไว้ทุกทาง เพื่อให้เธอทำตามที่เขาต้องการให้เป็น ไอ้นายทุนหน้าเลือด

ก็เห็นๆอยู่ว่าในห้องหนังสือเขามีเครื่องถ่ายเอกสาร ไอ้เลว!

เมื่อเห็นมู่เวยเวยถูกเขาโจมตีอย่างหนักแล้ว เย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกดีใจมาก แต่เขายังรู้สึกว่ามันยังไม่พอ เขาจึงพูดเสริมอีกว่า “ลืมบอกไป ไม่ได้เหลือคุณอยู่คนเดียวนะ ยังมีลุงยามหน้าประตูอยู่เป็นเพื่อนคุณด้วย”

“คุณ!” มู่เวยเวยแทบจะสำลักตามกับคำพูดของเขา เธอได้แต่ลูบไหล่ตัวเอง พร้อมพูดเสียงเย็น “ทราบแล้วค่ะ”

เย่ฉ่าวเฉินมองไหล่บาง แล้วยกยิ้มเย็นชาขึ้นมา ก่อนจะบอกเสียงเรียบ “ทำงานเสร็จแล้ว หาทางกลับบ้านเองนะ”

มู่เวยเวยรู้สึกหน้ามืดวิงเวียน แทบจะล้มลงไปเพราะความโกรธ เธอรีบเข้าลิฟต์ไปทันทีโดยไม่หันกลับมามอง และมองตัวเลขบนลิฟต์ที่ลดลงเรื่อยๆ เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว แต่ในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหวตะโกนออกมาว่า “เย่ฉ่าวเฉิน คุณต้องไม่ได้ตายดี ฉันขอให้คุณกินข้าวติดคอ อาบน้ำก็ขอให้น้ำท่วมตาย”

เสียงดังออกมาจากลิฟต์ และดังไปไกลมาก จนทำให้เย่ฉ่าวเฉินได้ยินด้วย เขาใบหน้าดุดันขึ้น รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขโทรออก พร้อมพูดอย่างโมโห “อาหวัง”

เสียงคุณอาหวังดังมาตามสาย “คุณชาย จะสั่งอะไรครับ”

เย่ฉ่าวเฉินใบหน้าเย็นชา ดวงตาสีฟ้าก็เต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก เขาพูดอย่างนิ่งเรียบว่า “คืนนี้ไม่ต้องมารับมู่เวยเวย ให้เธอหาทางกลับบ้านเอง”

“แต่….บริษัทห่างจากบ้านมากเลยนะครับ แถมยังเป็นตอนกลางคืนอีก ผมกลัวว่า….”

ไม่รอให้คุณอาหวังพูดจบ เย่ฉ่าวเฉินรีบตัดบททันทีอย่างเย็นชา “ไม่ต้องห่วง เธอดวงแข็งจะตาย ไม่มีทางตายง่ายๆหรอก”

“ครับ”

วางสายเสร็จ เย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกไม่พอใจสุดๆ : ยัยหญิงสมควรตายนี่ บังอาจมาแช่งให้เขาตายลับหลัง เห็นทีว่าบทเรียนที่ได้รับมันยังไม่เพียงพอสินะ

…..

มู่เวยเวยกลับไปที่ของตัวเองด้วยความกรุ่นโกรธ ก่อนจะพบว่าทั้งชั้นว่างเปล่า เงียบสงัด ไม่มีคนอยู่เลยสักคน มู่เวยเวยจึงเรียกขวัญกำลังใจของตัวเองกลับมา ยกเอกสารสูงพะเนินเดินไปที่เครื่องถ่ายเอกสาร แล้วถ่ายเอกสารทีละแผ่น

เย่ฉ่าวเฉินไม่ว่าคุณจะรังแกฉันขนาดไหน ฉันก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอก

การทำงานโอทีจนดึกดื่น ทำให้เธอง่วงหาวหลายครั้งติดๆกัน เธอยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา ซึ่งตอนที่ถ่ายเอกสารเสร็จก็เป็นเวลาตีสองกว่าแล้ว จากนั้นเธอก็แบ่งเอกสทรเป็นสามส่วน ค่อยๆทยอยยกไปไว้ในห้องทำงานของเหอเหม่ยหลิง พลางคิดไปด้วยว่าจะกลับบ้านยังไง

แต่ตอนนี้เธอไม่มีแรงจะเดินแล้ว จึงนั่งฟุบหลับบนโต๊ะไปแทน

มู่เวยเวยรู้สึกว่าแขนโดนเขย่าอยู่หลายครั้ง มันรบกวนการนอนของเธอ จนต้องยอมตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย และพูด “อย่ามายุ่ง”

“มู่เวยเวยตื่นเดี๋ยวนี้”

เสียงดุดันดังผ่านเข้ามาในหูของเธอ ทำให้เธอตกใจตื่น ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง และแค่เธอเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นใบหน้าทะมึนทึงของเย่ฉ่าวเฉินทันที

“มีอะไรคะ” มู่เวยเวยขยี้ตาเบาๆ แล้วมองเขาอย่างไร้เดียงสา

“คุณนี่มันจริงๆเลย คิดจะนอนบนโต๊ะ เพื่อให้พนักงานคนอื่นเห็นว่าผมทำร้ายคุณยังไงงั้นหรอ” สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินแย่มาก เขาตะโกนด้วยน้ำเสียงดุร้าย

มู่เวยเวยตอบอย่างเย็นชา “เย่ฉ่าวเฉิน ทำไมคุณไม่มีเหตุผลเลย คุณสั่งให้ฉันทำโอที ฉันก็ทำโอที คุณไม่ให้คนขับรถมารับฉัน แถมตอนนั้นแท้กซี่ก็หายากมาก ฉันก็เลยต้องหาที่นอน ฉันทำผิดตรงไหน”

เย่ฉ่าวเฉินกระตุกยิ้ม และพูดอย่างเย็นชา “ฉันหาโรงแรมแถวๆนี้ไม่ได้รึไง”

“โรงแรมหรอ ฉันไม่คุ้นกับแถวนี้ แล้วฉันจะไปหาจากที่ไหน” มู่เวยเวยตอบอย่างเย็นชาขั้นสุด

เย่ฉ่าวเฉินจุกกับคำตอบของเธอ ก่อนจะรีบจะกลับพูดเสียงเย็นอีกครั้ง “คุณโง่ไง ปากมีไว้กินข้าวอย่างเดียวรึไง ทำไมไม่รู้จักถามคนอื่น”

มู่เวยเวยส่งยิ้มเย็นชาออกมา และพูดอย่างเสียดสี “ตีสองกว่า ขนาดแท้กซี่ยังกลับบ้านหมดแล้ว แล้วใครมันจะมาเดินเล่นอยู่กัน”

เย่ฉ่าวเฉินฟังเธอพูดจบก็หงุดหงิดขึ้นมา จึงส่งสายตาเย็นชาให้เธอ และเดินจากไป

มู่เวยเวยรู้สึกปวดหัวตุบๆ ก่อนจะรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวแปลกๆ และเมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานกำลังทยอยเดินเข้ามามองเธอแปลกๆ เธอก็รีบเดินเข้าห้องน้ำไปทันที

เธอเปิดก๊อกล้างหน้าเบาๆ พลางมองใบหน้าตัวเองในกระจก และเมื่อเห็นรอยคล้ำใต้ดวงตา เธอรู้สึกขมขื่นขึ้นมา

และทันใดนั้น ในห้องน้ำก็มีเสียงสนทนากันของผู้หญิงดังขึ้นมา ทำให้เธอยิ่งรู้สึกหนักใจมากขึ้น

“ซือซือได้ข่าวรึยัง ประธานเย่น่ะเมื่อวานสั่งให้ผู้หญิงคนนึงทำโอที”

“ได้ยินมาแล้วแหละ ไม่ต้องบอกแล้ว เรื่องนี้คนทั้งเย่ฮวางเขารู้หมดแล้ว”

“เป็นไปได้ไง พูดเว่อร์ไปปะ”

“เธอไม่รู้อะไรซะแล้ว ผู้หญิงที่ประธานเย่ทิ้งไว้น่ะไม่ใช่ใครที่ไหน รู้สึกว่าจะเป็นภรรยาของเขานะ”

“ไม่ใช่หรอกมั้ง ในเมื่อเป็นผู้หญิงของเขา แล้วประธานเย่จะทนให้เมียตัวเองทำโอทีได้ไง”

“เธอไม่รู้อะไรซะเลย วันแรกที่เธอมาทำงานนะ ประธานเย่บอกเองเลยว่าห้ามให้สิทธิพิเศษอะไรกับเธอ แถมฉันยังได้ยินมาว่าประธานเย่เย็นชากับเธอมาก และที่แต่งงานกับเธอนะ ก็เพราะว่าเธอใช้วิธีการบางอย่าง….”

“งั้นประธานเย่ของเราก็น่าสงสารมากเลยนะ”

“ใช่น่ะสิ”

…..

มู่เวยเวยมองหน้าตัวเองในกระจก พร้อมส่งยิ้มข่มขืนออกมาบนใบหน้าซีดเผือดของตัวเอง ใจเธอรู้สึกหมดแรงอีกครั้ง

เธอไม่เข้าใจจริงๆ ในเมื่อตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ทุกคนก็เอาแต่คิดว่าตนเป็นคนอย่างนี้มาตลอด ที่จริงเธอต่างหากที่เป็นคนถูกรังแก แต่ทุกคนกลับรู้สึกเสียดายแทนเย่ฉ่าวเฉิน

บนโลกใบนี้ไม่เคยมีอะไรยุติธรรมอยู่แล้วนี่นา

มู่เวยเวยรีบจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง และเดินออกไปจากห้องน้ำ เมื่อมานั่งที่ของตัวเอง เธอก็โดนเฉียวซินโยวถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “เวยเสน เมื่อวานเธอโดนประธานเย่สั่งให้ทำโอที แล้วสุดท้ายเธอก็นอนนี่หรอ”

มู่เวยเวยหยักหนเ่ และตอบเสียงเบา “ไม่เป็นไร แค่ทำโอทีเอง”

เมื่อเฉียวซินโยวเห็นมู่เวยเวยพยายามทำเป็นเข้มแข็ง เธอก็ยิ้มอย่างพอใจออกมาที่มุมปาก จากนั้นก็แกล้งทำหน้าเป็นห่วง และถามว่า “เวยเวย ช่วงนี้เธอกับประธานเย่ไม่ได้ทะเลาะกันอยู่ใช่มั้ย”

มู่เวยเวยส่ายหน้าเบาๆ และพูดเสียงเรียบ “ไม่ได้ทะเลาะกัน”

ไม่มีทางไม่ทะเลาะกัน

“อ๋อ” เฉียวซินโยวถอนหายใจออกมา และพูดเสียงอ่อนโยน “เวยเวย ถ้าเธอรู้สึกไม่สบายใจ เธอต้องบอกฉันนะ อย่าเก็บเอาไว้คนเดียวเด็ดขาด”

เมื่อได้ยินคำพูดของเฉียวซินโยว เธอก็รู้สึกซึ้งใจมาก ความอบอุ่นผุดขึ้นมาในหัวใจ จึงตอบไปอย่างอบอุ่นว่า “ขอบใจนะ ซินโยว”

เฉียวซินโยวยกยิ้มอย่างเป็นมิตรออกมา แต่ในใจกลับรู้สึกเกลียดอย่างถึงที่สุด เธอเบื่อกับชีวิตตอแหลพวกนี้เต็มทนแล้ว เหมือนกับการสวมหน้ากากตัวตลกอยู่ตลอดเวลา ทำให้เธอพะอืดพะอมสุดๆ

เธออยากให้ทุกคนอิจฉาเธอ โดยที่ตัวเองไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำอะไร และสิ่งที่จะทำให้ความปรารถนาของเธอเป็นจริงได้ ก็คือการแต่งงานเย่ฉ่าวเฉิน คนที่มีอำนาจทุกอย่างในมือ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset