วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 72 ท่าทางแปลกๆของชายผู้ลึกลับ

จากงานออกแบบของมู่เวยเวย ทำให้เธอ และเฉียวซินโยวได้รับแจ้งจากเหอเหม่ยหลิง ให้เข้าไปในห้องประชุม มู่เวยเวนจึงวางงานที่ทำอยู่ลง และลุกขึ้นตามคนอื่นๆเข้าไปในห้องประชุมด้วยกัน

เมื่อเข้าประตูห้องประชุมมา ก็เห็นเย่ฉ่าวเฉินนั่งอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เหอเหม่ยหลิงนั่งอยู่ถัดจากเขาไปสามตำแหน่งทางซ้ายมือ เมื่อเห็นเธอ เหอเหม่ยหลิงก็ยกมือขึ้นมาเรียกทันที “เวยเวย ซินโยว มานั่งข้างๆฉันนี่”

มู่เวยเวยเพิ่งจะเห็นว่าข้างๆเธอมีที่ว่างอยู่สองที่พอดี เธอจึงเดินไปนั่งตัวตรง และทันใดนั้นเสียงของเย่ฉ่าวเฉินก็ดังขึ้นมา

“ก่อนอื่นผมขอขอบคุณทุกคน สำหรับการทำงานหนักในครั้งนี้” เย่ฉ่าวเฉินกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดมองเธอหนึ่งวิ และรีบดึงสายตากลับทันที

ภายในห้องมีเสียงปรบมือดังขึ้นอย่างยินดี ก่อนที่เย่ฉ่าวเฉินจะยกมือขึ้น ทำให้เสียงค่อยๆหายไป จากนั้นเขาก็พูดต่อ “ฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว สำหรับแฟชั่นฤดูร้อนที่เราจะปล่อยออกมาในปีนี้ ไม่ทราบว่ากลุ่มไหนมีความคิดเห็นดีๆมั้ย”

มู่เวยเวยมองเขาอย่างสงบ แต่ในใจกลับวุ่นวายเป็นอย่างมาก ถ้าไม่คิดถึงเรื่องที่เขาเคยทำมาก่อน แล้วมองแค่เขาตอนที่กำลังจดจ่อกับการทำงานอย่างนี้ เขาก็มีเสน่ห์น่าดึงดูดมาก

ถ้าทั้งสองคนไม่มีเรื่องเกี่ยวพันธ์กันมากขนาดนี้ ถ้ามีแค่ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง จากความโดดเด่นของเขา เธอก็อาจจะ…หลงรักเขาก็ได้

แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีถ้าหาก

เฉียวซินโยวไม่อาจห้ามใจตัวเองไม่ให้ไปอยู่กับเขาได้ ถ้ามองดีๆก็จะเห็นว่า ในดวงตาของเธอมีรูปรูปหัวใจส่งไปอยู่

หล่อเท่ห์มาก

เฉียวซินโยวกรีดร้องออกมาในใจ ผู้ชายโดดเด่นอย่างนี้ มีแค่เธอเท่านั้นที่เหมาะสม

เมื่อเย่ฉ่าวเฉินพูดจบ คนแรกที่พูดออกมาคือ ผู้ชายใส่สูทนั่งอยู่ทางซ้ายของเขา ซึ่งก็คือ หลีจื่อเจี๋ย มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการ

เขาพูดอย่างฉะฉาน “ประธานเย่ครับ จากการสำรวจสถิติทางการตลาดของเรา เมื่อปีที่แล้วภายใต้หัวข้อ ‘ความรัก’ พบว่า ตอนนี้วัยรุ่นทั้งชายหญิงไม่ได้ตามแฟชั่นอย่างเดียว แต่พวกเขายังให้ความสำคัญกับความสบายในการใส่ด้วย”

เย่ฉ่าวเฉินฟังแล้วพยักหน้า จากนั้นก็มองมาที่เหอเหม่ยหลิง และพูด “ผู้จัดการเหอ คุณมีความคิดเห็นอะไรดีๆมั้ย”

เหอเหม่ยหลิงแสดงสีหน้าออกมาอย่างธรรมชาติ และพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ก่อนอื่นฉันเห็นด้วยกับความคิดเห็นของผู้จัดการหลีค่ะ ตอนนี้คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการใส่เสื้อผ้าที่สบาย แต่ที่ฉันต้องการจะเพิ่มเติมก็คือ สีไม่จำเป็นต้องฉูดฉาดมากเกินไป จากการสำรวจพบว่า 79%ของลูกค้า ชอบสไตล์แบบคลีนๆมากกว่า”

มู่เวยเวยฟังอย่างตั้งใจ และใช้ดินสอจดเนื้อหาสำคัญไว้ ตั้งใจว่าถ้ากลับไป จะได้ใช้สิ่งนี้ประกอบการออกแบบ

เย่ฉ่าวเฉินยังคงมีสีหน้านิ่งเรียบ เขารอจนเหอเหม่ยหลิงพูดจบ แล้วจึงพูดเสียงเข้ม “งั้นก็ใช้วิธีเดียวกับปีที่แล้ว พวกคุณสองคนสั่งดีไซน์เนอร์ใต้บังคับบัญชาของตัวเองออกแบบให้เสร็จเร็วที่สุด จากนั้นเราค่อยมาลงคะแนนกันอีกรอบนึงว่าจะใช้แผนของทีมไหน”

“ครับ” หลีจื่อเจี๋ยส่งสายท้าทายมาให้เหอเหม่ยหลิง และตอบออกไป

เหอเหม่ยหลิงก็แรง ไม่ยอมถอยเช่นกัน เธอตอบเสียงเข้มว่า “รับทราบค่ะ”

“จบการประชุม ทุกคนกลับไปทำงานได้” เย่ฉ่าวเฉินลุกขึ้น และออกจากห้องประชุมไปก่อน

เมื่อเย่ฉ่าวเฉินออกไปแล้ว ทุกคนก็ทยอยเดินกันออกไป จากนั้นเหอเหม่ยหลิงก็มองมาที่พวกเธอทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา “พวกเธอสองคนตามฉันมาที่ห้องทำงาน”

เหอเหม่ยหลิงนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน และมองมาที่พวกเธอด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะพูดเสียงขรึมว่า “ครั้งนี้เราเสนอหัวข้อ ‘โบยบิน’ ไป ซึ่งเราจะเน้นไปที่ความเบาสบาย และจากที่ฉันเห็นผลงานของพวกเธอ ฉันบอกได้เลยว่าฉันรอคอยงานครั้งนี้ของพวกเธอมาก หวังว่าพวกเธอจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง”

มู่เวยเวยพยักหน้าพูด “ค่ะ”

“ค่ะ ผู้จัดการเหอ ฉันจะพยายาม” น้ำเสียงของเฉียวซินโยวหนักแน่นมาก

เหอเหม่ยหลิงพยักหน้า และพูดต่อ “พวกเธอเพิ่งเข้ามา อาจจะไม่เข้าใจ แผนกออกแบบของเรามีอยู่สองแผนก ความแข็งแกร่งของแผนกฝั่งผู้จัดการหลีเมื่อสักครู่ เป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม สิ่งที่ฉันจะขอก็คือ เราต้องไม่ถูกเปรียบเทียบอีกต่อไป เข้าใจมั้ย”

มู่เวยเวยได้ยินเรื่องสงครามเย็นในแผนกมาตั้งนานแล้ว แต่เพิ่งจะได้เห็นวันนี้ ทำให้เธออดรู้สึกกดดันไม่ได้

เมื่อเห็นท่าทางเคร่งขรึมของเหอเหม่ยหลิง เธอจึงสูดหายใจลึกๆ และตอบว่า “เข้าใจแล้วค่ะ”

“ผู้จัดการเหอ ฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง” เฉียวซินโยวพูดอย่างหนักแน่น

“พวกเธอออกไปก่อน”

“ค่ะ”

“ค่ะ”

มู่เวยเวยกลับมาที่นั่งของตัวเอง เริ่มเขียนส่วนสำคัญที่จดมาอย่างสะเปสะปะจากห้องประชุมใหม่อีกครั้งให้เรียบร้อย จากนั้นก็เปิดคอมหาแรงบันดาลใจ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเครียดมากเกินไปหรือเปล่า ทำให้สมองของเธอไม่มีแรงบันดาลใจเลยสักนิด ในใจก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมา

เฉียวซินโยวเห็นมู่เวยเวยกำลังยุ่งยากใจ ก็มีแผนร้ายขึ้นมาในใจ เธอแกล้งทำหน้าปกติ และพูดอย่างอ่อนโยน “เวยเวย เธอมีแรงบันดาลในหัวข้อนี้มั้ย”

มู่เวยเวยส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิด และพูดอย่างหมดหนทาง “แม้แต่เค้าโครงก็ไม่มี”

เฉียวซินโยวดีใจจนหน้าบาน แต่ก็แกล้งพูดปลอบไปว่า “ไม่ต้องรีบ เดี๋ยวก็มีเองแหละ”

“อืม ฉันรู้”

ในตอนเย็น มู่เวยเวยก็ยืนอยู่หน้าเครื่องถ่ายเอกสารทำโอทีต่อไป โดยที่ในสมองก็ยังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับโปรเจคงานออกแบบนี้อยู่ และเพราะการทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้เธอพิงหลับไปคากำแพง

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน จนเธอรู้สึกว่ามีคนมาตบหน้าของตัวเอง ความรู้สึกอุ่นร้อนนั้นทำให้เธอรีบลืมตาขึ้นมาทันที และคนที่อยู่ตรงหน้าของเธอก็คือ เย่ฉ่าวเฉิน

เย่ฉ่าวเฉินมองท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเธอ ด้วยอารมณ์ที่เดาไม่ออก ก่อนจะพูดถากถางว่า “เมื่อก่อนคุณก็หลับตาทำโอทีทุกวันรึไง”

มู่เวยเวยยังคงรักษาความสงบ ตอบกลับไปด้วยความเย็นชา ไม่สนใจน้ำเสียงของเขา “คุณมาได้ไงคะ”

เย่ฉ่าวเฉินดึงแฟ้มในมือของเธอ โยนไว้ตรงโต๊ะข้างๆ และดึงแขนเธอออกไปที่ประตู

มู่เวยเวยพยายามจะสะบัดแขนตัวเองให้หลุด แต่แรงของเธอไม่มากพอ จึงจำต้องเดินตามแรงดึงของเขาเข้าไปในลิฟต์

เธอมองใบหน้าเข้มของเขา แล้วถามอย่างไม่เข้าใจ “คุณยังไม่ได้ตอบฉันเลย คุณรู้ได้ไงคะว่าวันนี้ฉันทำโอที”

สิ่งที่มู่เวยเวยคิดอยู่ในใจก็คือ เขาอาจจะมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมา ดูแล้วเขาก็ไม่ได้แย่ถึงขนาดนั้นนะ แต่ยังไม่ทันที่มู่เวยเวยจะได้ดีใจ เขาก็บอกเหตุผลอันน่ารังเกียจมาที่ข้างหูเธอ

เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยความดูถูก ถากถางว่า “คุณต้องทำหน้าที่ภรรยาที่ดีแล้ว”

มู่เวยเวยฟังจบก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้าทันที เธอว่าแล้ว ผู้ชายคนนี้ไม่มีทางใจดีขนาดนั้น

รถขับเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลเย่อย่างรวดเร็ว หลังจากรถจอดลงตรงหน้าประตูแล้ว มู่เวยเวยก็ลงมา แต่ก็ไม่วายถูกเขาจับแจนไว้อีกครั้ง และลากเธอไปถึงห้องของเขาที่ชั้นบน

มู่เวยเวยลุกลี้ลุกลน รีบหาทางหลุดออกไปจากตรงนี้ เธอหมุนตัวมุ่งหน้าไปทางประตู แต่ก็ถูกเขาจับไว้แน่น ทำเธอเจ็บจนน้ำตาแทบจะไหล สุดท้ายเธอทนไม่ไหว จึงบอกเขาว่า “ปล่อยมือ”

“ปล่อยมือหรอ” เย่ฉ่าวเฉินแสยะยิ้ม พูดอย่างเย็นชา “ถ้าผมปล่อยมือ คุณกล้าสัญญามั้ยล่ะว่าจะไม่หนี”

แน่นอนว่าไม่!

ตอนนี้เธออยากมีปีกที่สุด จะได้หนีออกไปจากที่นี่ เธอคิดในใจ

มู่เวยเวยอารมณ์ค่อยๆอ่อนลง และพูดเบาๆว่า “ฉันเหนื่อยแล้ว คุณปล่อยฉันไปเถอะ”

มู่เวยเวยพลิกตัวอย่างคุ้นเคย และหลับไปอย่างสงบ

เย่ฉ่าวเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆอย่างข่มอารมณ์ เมื่อสัมผัสถึงผิวนุ่มนิ่มของเธอ จากนั้นก็กัดฟันจ้องเธอเขม็ง แต่เมื่อเห็นเธอไม่รู้สึกรู้สาอะไร เขาจึงได้แต่ยอมผลักมือเธอออกไป

มู่เวยเวยรู้สึกว่ามีคนมากวน เธอจึงพลิกตัวอีกครั้ง และหลับต่อไป

เย่ฉ่าวเฉินกระตุกริมฝีปาก ด่าอย่างกรุ่นโกรธ “คุณเป็นหมูรึไง นอนอย่างนี้ก็ได้”

อาจจะเป็นเพราะเตียงนี้นอนสบายเกินไป ทำให้เมื่อเธอตื่นขึ้นมา ก็เป็นเวลาเก้าโมงกว่าของเช้าวันถัดไปแล้ว

“ชิบหายแล้ว เรื่องนี้ต้องเป็นเหตุผลให้ผู้ชายน่ารังเกียจนั่นด่าอีกแน่” มู่เวยเวยตื่นตระหนก จึงบ่นกับดินฟ้าอากาศไป

“ยัยผู้หญิงสมควรตาย คุณว่าใครเป็นผู้ชายน่ารังเกียจฮะ” เสียงโกรธเคืองดังขึ้น ก่อนจะตามด้วยร่างของเย่ฉ่าวเฉินที่เปิดประตูห้องน้ำออกมา

มู่เวยเวยเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แล้วถามอย่างสงสัย “ทำไมคุณไม่ไปทำงาน”

เธอกลับมาที่ห้องของตัวเอง นั่งลงบนโต๊ะทำงานที่เธอชอบนั่งออกแบบ แล้วยกดินสอขึ้นมาเริ่มคิดอีกครั้ง แต่คิดไปคิดมา ก็ไม่มีไอเดียอะไรผุดขึ้นมาเลย

เธอทึ้งผมอย่างฟุ้งซ่าน จากนั้นก็กัดริมฝีปากด้วยความเจ็บปวด ตะกี้เย่ฉ่าวเฉินดึงหนังหัวเธออย่างเจ็บปวด เมื่อคิดถึงตรงนี้มู่เวยเวยก็โกรธขึ้นมา

ทำไมเธอถึงโชคร้ายขนาดนี้ ทำไมไม่เจอผู้ชายดีๆบ้าง เจอแต่คนเลวแล้วเลวอีก

นอกจากพี่ชายแล้ว ยังมี…เสี่ยวจื่อ

มู่เวยเวยอารมณ์ดีขึ้นมา หลังจากเธอทำงาน เธอก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาทำอะไรอยู่ ยังอยู่ที่เดิมรึเปล่า

ไหนๆตอนนี้เธอก็ไม่มีไอเดียเลยสักนิด ใช้โอกาสนี้ไปหาเขาดีกว่า

เธอออกจากห้อง เดินขึ้นบันไดมุ่งหน้าไปชั้นสาม เมื่อเห็นประตูห้อยกระดิ่งอยู่ไกลๆ เธอก็เห็นมันสั่น และส่งเสียงใส กังวาลออกมา

เธอดีใจมาก นี่เป็นเครื่องหมายบอกว่าเสี่ยวจื่ออยู่ในนั้น

เมื่อเปิดประตูเข้าไป เธอก็เห็นเขากำลังหลับตา นั่งสมาธิลอยอยู่บนอากาศ และบนหัวของเขายังมีมีดอยู่ด้วย มีดปักอยู่ตรงกลางหัวของเขา

มู่เวยเวยเบิกตากว้างด้วยความเสียว เธอต้องเตือนเสี่ยวจื่อถึงความอันตราย แต่เหมือนเขาจะรู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว จึงหายตัวไป เหลือแต่มีดที่ยังคงลอยอยู่ในอากาศ มันหมุนเป็นครึ่งวงกลมทวนเข็มนาฬิกา ก่อนจะนอนราบไปบนอากาศ

เมื่อเห็นเสี่ยวจื่อหายไปในพริบตา มู่เวยเวยก็ตกตะลึง และเริ่มมองหาร่างของเขา ก่อนจะได้ยินเสียงแปลกๆดังมาที่ข้างหูของเธอ และเมื่อเธอได้สติ เธอก็แทบจะเป็นลม อุทานออกมาอย่างตกใจ “เสี่ยวจื่อ! คุณพระช่วย”

ทันใดนั้นเธอก็เห็นปลายมีดคมเล็งมาที่เธอ และบินมาทางเธอด้วยประกายเย็นยะเยือก

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset