ขณะนี้ในห้องประธานบริษัท
เย่ฉ่าวเฉินปิดโน้ตบุ๊ค ยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา ก่อนจะเห็นว่ายังเหลือเวลาอีก 15 นาทีก่อนการประชุม
เขาจึงค่อยๆลุกขึ้น หยิบเสื้อสูทที่พาดอยู่บนเก้าอี้หนังขึ้นมา แล้วเดินออกไปอย่างใจเย็น ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก ร่างชายที่คุ้นเคยก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า
“ไฮ ฉ่าวเฉินนี่แกจะไปไหนเนี่ย” คนที่พูดก็คือ หนานกงเฮ่า
เมื่อเห็นหน้ากวนๆของเขา เย่ฉ่าวเฉินก็ผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ก่อนจะพูดอย่างสบายๆว่า “เดี๋ยวกูมีประชุม ทำไมถึงมาตอนนี้ล่ะวะ”
มาหามู่เวยเวยที่รักของกูน่ะสิ
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถพูดประโยคนี้ออกไปได้
เขายิ้มเศร้าๆ และพูดอย่างหน่ายๆว่า “กูไม่เหมือนมึงนะ ที่วันๆเอาแต่ดูแลพนักงาน กินข้าวกินน้ำก็ต้องมีคนจัดให้ กูน่ะมันคนว่าง วันๆเบื่อจะตาย”
เย่ฉ่าวเฉินหยักยิ้ม มองเขาอย่างสะใจ และพูดสบายๆว่า “มีสาวๆสวยๆเป็นเพื่อนทุกวัน มึงยังเหงาอีกหรอวะ”
“ตอนแรกก็รู้สึกแปลกใหม่ดี พอนานเข้ามันก็เบื่อว่ะ” หนานกงเฮ่าพูด
“ห้ะ” เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกแปลกใจ ราวกับได้ยินคนที่กินเนื้อมาตลอด อยู่ดีๆบอกว่าจะไม่กินเนื้ออีกต่อไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น เขารู้สึกประหลาดใจมาก จึงอดที่จะพูดติดตลกไปไม่ได้ว่า “กง มึงคิดจะกลับตัวแล้วหรอ”
เขาเคยได้ยินมันบอกว่า ถึงแม้มันจะผมร่วงหมดหัว มันก็ยังจะใช้ชีวิตสำราญเหมือนเดิม
เมื่อหนานกงเฮ่าได้ยินเขาพูด ก็ตอบมาอย่างเคร่งขรึม ไม่มีแววขี้เล่นเหลืออยู่เลย “ใช่ กูจะรักเดียวใจเดียว”
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว และพูด “กง มึงโดนน้ำมันพลายปะเนี่ย”
หนานกงเฮ่าไม่สนใจท่าทีของเย่ฉ่าวเฉิน เขารู้สึกสบายใจมาก ตั้งแต่เจอเธออีกครั้ง เขาก็ไม่เล่นกับความรู้สึกใครอีก เขาปักใจอยู่ที่เธอ และหวังว่าจะมีสักวัน ที่เธอจะหันกลับมาเห็นความรักของเขา
เขาเต็มใจที่จะเปลี่ยนเพื่อมู่เวยเวย
เมื่อเห็นไปที่ท่าทีแน่วแน่ของหนานกงเฮ่า เย่ฉ่าวเฉินก็อึ้ง หลุดหัวเราะเยาะเขาทันที พลางถามอย่างสงสัย “เธอคนนั้นคือใคร”
สายตามีเสน่ห์ของหนานกงเฮ่าหลุกหลิก เมื่อโดนถามว่าผู้หญิงในใจของตัวเองเป็นใคร พลางตอบอย่างคลุมเคลือว่า “อยู่ในบริษัทมึงนี่แหละ”
เย่ฉ่าวเฉินกุมขมับ และแอบคิดในใจ : ดูเหมือนว่าจะมีสาวน้อยบริสุทธิ์ ต้องตกไปอยู่ในกำมือของผู้ชายมากเสน่ห์คนนี้อีกแล้ว
“ใครล่ะ” เย่ฉ่าวเฉินไม่เข้าใจ
เขาแปลกใจมาก ใครกันแน่ที่มีเสน่ห์เข้าตาคนสายตาสูงส่งอย่างคุณชายหนานกง
หนานกงเฮ่ายิ้ม และพูดเล่นลิ้นว่า “ให้ทาย”
ผู้หญิงบริษัทเขามีเป็นพันๆคน ใครจะไปเดาถูก
เย่ฉ่าวเฉินเลิกสนใจเขา แล้วดูนาฬิกา จากนั้นก็ปรับโหมดเป็นดุดันขึ้นทันที
หนานกงเฮ่าเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขา จึงถามอย่างสงสัย “มึงเป็นไร”
“มึงนี่นะ” เย่ฉ่าวเฉินจ้องหน้าเขาเขม็ง และด่าอย่างไม่ไว้หน้าเพื่อน “มาตอนไหนไม่มา ดันมาตอนกูต้องประชุม ตอนนี้การประชุมเริ่มไปห้านาทีแล้ว”
หนานกงเฮ่าเบิกตากว้าง และพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ว้าว สุดยอด ในที่สุดกูก็ทำลายตำนานที่ว่า ประธานเย่ไม่เคยสายได้ เยส…”
เย่ฉ่าวเฉินจ้องเขาโกรธๆ และพูดอย่างไม่พอใจ “ตอนเย็นมึงเลี้ยง อย่าลืมเอาไวน์อายุ 62 ปีที่มึงเก็บไว้มาด้วย”
หนานกงเฮ่าได้ยินก็เม้มปาก และพูดอย่างไม่พอใจ “นี่ไอ้นายทุน ขวดนั้นขนาดกูยังไม่กล้าเปิด มึงคุ้มเห็นๆ”
เย่ฉ่าวเฉินกดตัวเลขบนลิฟต์ และดูตัวเลขค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ พลางพูดอย่างสบายๆ “มึงรอกูข้างล่าง เดี๋ยวประชุมเสร็จแล้วกูตามไป”
หนานกงเฮ่าพยักหน้า และถามเบื่อๆ “เล่าเนื้อหาให้ฟังคร่าวๆได้มั้ย”
เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างสงบ “ประชุมกับแผนกออกแบบ เลือกดีไซน์เนอร์ เลือกดีไซน์ชุดผู้หญิงที่จะเปิดตัวในฤดูร้อนนี้”
ดีไซน์เนอร์หรอ เวยเวยเรียนด้านนี้นี่นา หรือเธอก็เข้าร่วมการประชุมนี้เหมือนกัน
ในขณะที่เขาใจลอยอยู่นั้น ประตูลิฟต์ก็หยุด และค่อยๆเปิดออก เย่ฉ่าวเฉินเดินออกไปอย่างรวดเร็ว พลางหันมาพูด “รอกูในลานจอดรถ”
“เดี๋ยวๆ กูก็อยากไปฟัง” หนานกงเฮ่าพูดกะทันหัน
เย่ฉ่าวเฉินตะลึง ถามอย่างแปลกใจ “ปกติมึงเกลียดสถานที่ที่มีเสียงจอแจที่สุดไม่ใช่หรอ”
หนานกงเฮ่ายิ้มแหยๆ พูดเสียงเบา “เอาตรงๆนะ เธอคนนั้นอยู่ในแผนกออกแบบของบริษัทมึงนี่แหละ”
เย่ฉ่าวเฉินกระตุกยิ้มอย่างหมดคำจะพูด
ในตอนนั้น การต่อสู้ทางสายตาภายในห้องก็หยุดลง เมื่อหลี่จื่อเจี๋ยหลบสายตาไปก่อนอย่างไม่อยากจะรังแกผู้หญิง
เหอเหม่ยหลิงยกยิ้มอย่างพอใจ และดึงสายตากลับมา เมื่อเห็นงานในมือของมู่เวยเวย เธอจึงพูดว่า “เวยเวย ฉันขอดูงานเธอหน่อย”
มู่เวยเวยตกใจ ค่อยๆพยักหน้า และส่งงานให้กับเธอ
เหอเหม่ยหลิงตั้งใจหยิบกระดาษขึ้นสูง ดึงดูดความสนใจของจื่อเจี๋ย จากนั้นก็เปิดซอง และดึงกระดาษออกมาต่อหน้าเขา
“นี่มันอะไรกัน” เหอเหม่ยหันไปมองมู่เวยเวน และถามเสียงต่ำ อย่างเย็นชา
หลี่จื่อเจี๋ยที่อยู่ตรงข้ามเห็นฉากนี้เข้า เขาก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างนึกสนุก จากนั้นก็พูดอย่างเหยียดๆ “สมชื่อนักเรียนดีเด่นจริงๆ….คนของผู้จัดการเหอทำให้ผมต้องมองใหม่ ผมยังไม่เคยเห็นใครออกแบบแค่ครึ่งกระดาษมาก่อนเลย”
หลี่จื่อเจี๋ยพูดยั่วโทสะของเหอเหม่ยหลิง เธอจึงหันไปจ้องเขาอย่างดุดัน และตะโกน “หุบปาก”
การทะเลาะกันของทั้งคู่ ดึงดูดสายตาของทุกคน เหอเหม่ยหลิงควบคุมตัวเองไม่ได้อีก เธอหันไปจ้องมู่เวยเวย และพูดเสียงดุดัน “นี่มันอะไรกัน เวยเวยเธอรีบอธิบายมา”
มู่เวยเวยอ้าปากตะลึง เธอเห็นแค่กระดาษออกแบบเพียงครึ่งเดียว เมื่อเธอหยิบงานขึ้นมา ก็รู้สึกว่าข้างในซองยังมีอะไรอยู่ จึงยื่นมือเข้าไป และสิ่งที่หยิบออกมาได้ก็คือชิ้นส่วนของงานที่เหลือ
มู่เวยเวยขมวดคิ้ว ก่อนจะคิดได้ว่างานเธอโดนฉีก
เหอเหม่ยหลิงหยิบชิ้นส่วนที่เหลือขึ้นมา และเมื่อดู ก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่เธอไม่ได้ตื่นตระหนก เธอเงยหน้าไปมองผู้หญิงอีกคนที่นั่งอยู่ไม่ไกล และพูดเสียงเย็น “อันหราน เธอรีบไปเอาปากกากับกระดาษมาเจ็ดแผ่น”
อันหรานพยักหน้า และรีบออกไป
เหอเหม่ยหลิงกลับมาสนใจมู่เวยเวยอีกครั้ง เมื่อเห็นเธอมีท่าทีตึงเครียด เหอเหม่ยหลิงจึงพูดเสียงเย็นลง “เวยเวย เธอยังจำแบบเดิมได้มั้ย”
มู่เวยเวยตกใจ แต่ก็สามารถเข้าใจความหมายของเธอได้ทันที จึงพยักอย่างตื่นๆ
เหอเหม่ยหลิงเบาใจขึ้น จึงพูดอย่างสบายๆ “เรื่องอื่นค่อยคุยกันหลังประชุม งานออกแบบของเธอชิ้นนี้กลายเป็นขยะแล้ว เธอต้องรวบรวมสมาธิออกแบบมาอีกรอบ ก่อนที่ประธานเย่จะมา เธอยังมีเวลานะ”
มู่เวยเวยพยักหน้า พลางคิดไปด้วยว่าทำยังไงถึงจะประหยัดเวลา
เสียงเดินดังขึ้นมาจากนอกประตู ตอนแรกคิดว่าเป็นอันหรานกลับมาแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าคนที่มาคือเย่ฉ่าวเฉิน มู่เวยเวยก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที
ไม่ใช่แค่เย่ฉ่าวเฉินคนเดียวเท่านั้น ข้างหลังเขายังตามมาด้วยผู้ชายรูปร่างสูงสง่าอย่างหนานกงเฮ่า และนั่นก็สามารถดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันที
“รายงานตัวค่ะ” อันหรานรู้ทันทีว่าเธอมาช้าไปแล้ว เมื่อเห็นท่าทางเคร่งขรึมของเย่ฉ่าวเฉิน เธอก็หยุดเดินทันที
เย่ฉ่าวเฉินมองอันหรานอย่างเย็นชา ไม่พูดอะไรออกมา
ทุกคนในที่นี้รู้ดีว่าเย่ฉ่าวเฉินเกลียดการมาสายที่สุด แม้จะมีเหตุผล แต่ทุกคนก็อดหนักใจแทนอันหรานไม่ได้
ในขณะที่ทุกคนคิดว่าเย่ฉ่าวเฉินจะอาละวาดนั้น กลับพบว่า เขาแค่นั่งลงช้าๆ และพูดอย่างเย็นชาว่า “เข้ามาสิ”
อันหรานถอนหายใจ รีบกลับมานั่งที่ตัวเองอย่างรวดเร็ว และระหว่างเดินผ่านเหอเหม่ยหลิง ก็แอบส่งกระดาษกับปากกาให้ด้วย
เหอเหม่ยหลิงส่งของต่อให้มู่เวยเวย และใช้สายตาบอกว่าเธอต้องรีบแล้ว
มู่เวยเวยเข้าใจความหมายของเธอ จึงรีบหยิบปากกาขึ้นมา และขณะที่กำลังจะเริ่มนั้น เสียงเย็นชาของเย่ฉ่าวเฉินก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
“ห้องประชุมกลายเป็นที่ทำงานปกติตั้งแต่เมื่อไหร่ เหอเหม่ยหลิง กฎในห้องประชุมคุณไม่เข้าใจหรอ” เย่ฉ่าวเฉินมองมู่เวยเวยอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองเหอเหม่ยหลิง
มู่เวยเวยตัวสั่น เขาไม่ได้ด่าเธอตรงๆ แต่เขาว่าไปที่เหอเหม่ยหลิงแทน ทำให้เธอรู้สึกผิดมาก
หลี่จื่อเจี๋ยมองเธอด้วยความสนุกสุดๆ มู่เวยเวยเห็นคนของเธอ เมื่อคนใต้บังคับบัญชาทำผิด เย่ฉ่าวเฉินจะด่าเธอก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
เหอเหม่ยหลิงยืนขึ้น และพูดอย่างเคร่งขรึม “ประธานเย่ นี่เป็นความผิดพลาดของฉันเอง เพราะงานออกแบบของมู่เวยเวยโดนคนตั้งใจฉีกทำลาย ฉันเลยให้เธอวาดใหม่อีกครั้ง”
เย่ฉ่าวเฉินจ้องไปที่มู่เวยเวยอีกครั้งด้วยความสับสน และพูดอย่างใจเย็น “รู้มั้ยใครเป็นคนทำ”
ได้ยินเย่ฉ่าวเฉินถามแบบนี้ เฉียวซินโยวก็ลุกลี้ลุกลนขึ้นมาทันที พลางคิดว่ามู่เวยเวยจะกล้าประจานเธอต่อหน้าทุกคนมั้ย เพราะตอนนั้นงานออกแบบอยู่ในมือเธอ และในห้องก็มีเธอเพียงคนเดียว ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลย
เฉียวซินโยวคิดหาทางออกอย่างหนัก พลางรู้สึกเสียใจไปด้วย ที่ตอนนั้นไม่คิดให้รอบคอบ
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงมู่เวยเวยพูดว่า “ฉันก็ไม่แน่ใจค่ะ”
เฉียวซินโยวถอนหายใจด้วยความโล่งอก พลางคิดว่าโชคดีที่มู่เวยเวยยังจับไม่ได้ แต่เธอไม่รู้เลยว่าระหว่างที่มู่เวยเวยพูดนั้น สายตาเหลือบมาทางเธอ
มู่เวยเวยสั่นหนาวขึ้นมาทันใด เมื่อเธอนึกถึงเรื่องราวอย่างละเอียด และในรายละเอียดนั้น ก็ทำให้เธอต้องจ้องเขม็งไปที่เฉียวซินโยว
เมื่อเฉียวซินโยวได้ยินเธอพูด ก็ยกยิ้มขึ้นมาทันที…
ซินโยวทำไมเธอต้องทำอย่างนี้ด้วย เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ทำไมต้องทำร้ายฉัน
เย่ฉ่าวเฉินยกยิ้มบางๆที่มุมปาก พลางควงปากกาในมือไปมา และพูดเสียงเย็นชา “ขนาดของพื้นฐานของตัวเองยังดูแลไม่ได้ แล้วจะมีคุณสมบัติเป็นดีไซน์เนอร์ได้ยังไง”
มู่เวยเวยตัวแข็งทื่อ คิดไม่ถึงว่าเขาจะด่าเธอออกมาต่อหน้าทุกคน ราวกับโดนลากมาตบกลางสีแยก มันเจ็บปวดสุดๆ
เมื่อยังเห็นเธอนิ่งอยู่ เย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกอารมณ์ร้อนขึ้นมาอีก ด้วยตาสีฟ้าส่องประกายเย็นยะเยือก พลางพูดอย่างเย็นชาว่า “ผู้จัดการเหอ เดี๋ยวเขียนรายงานความประพฤติให้ผมด้วย”
เหอเหม่ยหลิงยังคงตอบด้วยอารมณ์คงที่ “ค่ะ”
มู่เวยเวยขมวดคิ้วมุ่น พลางกรุ่นโกรธอยู่ในใจ ก็เห็นๆอยู่ว่าเธอทำผิด แล้วทำไมต้องให้ผู้จัดการเหอเขียนรายงานความประพฤติตัวเธอเองด้วย
“เย่ฉ่าว…ประธานเย่ เรื่องนี้ฉันเป็นคนก่อขึ้น ถ้าคุณจะลงโทษก็….”
“เดือนนี้ตัดเงินเดือนผู้จัดการเหอออกครึ่งหนึ่ง”
“คุณ!!”
“หนึ่งเดือน”
มู่เวยเวยตัวสั่นสะท้าน สายตาเต็มไปด้วยความโกรธ เธอไม่เคยเกลียดเย่ฉ่าวเฉินขนาดนี้มาก่อน
ถึงปกติเขาจะรังแกเธอแค่ไหน เธอก็สามารถกัดฟันอดทนได้ แต่สิ่งที่ทำให้เธอทนไม่ได้ก็คือ เขาเอาความโกรธไปลงกับเหอเหม่ยหลิง ทั้งๆที่เป็นความผิดของเธอ
และเธอ ก็ไม่อยากทำร้ายคนที่ดีกับตัวเอง
“ฉ่าวเฉิน มึงจะหาเรื่องเวยเวยทำไมวะ” หนานกงเฮ่ายิ้มอย่างใจดี และพูดอย่างไม่รู้อะไร
ทั้งๆที่จริงแล้วเขาดีในมาก ยิ่งเย่ฉ่าวเฉินร้ายกับเธอเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งไม่รักเย่ฉ่าวเฉิน และนี่ก็เป็นสิ่งที่เขารอคอยมากที่สุด
แต่เขายอมให้เย่ฉ่าวเฉินทำให้เวยเวยขายหน้าต่อหน้าคนมากมายอย่างนี้ไม่ได้
เย่ฉ่าวเฉินตวัดสายตาใส่เขา อย่างต้องการจะบอกว่า อย่ามายุ่ง
หนานกงเฮ่าทำเป็นไม่เข้าใจ หยักริมฝีปาก และจงใจพูดว่า “คนดูอยู่เยอะมากนะ ไม่ใช่กูคนเดียวสักหน่อย”
เย่ฉ่าวเฉินมองเขาอย่างเย็นชา พลางคิดเสียดายไม่น่าปล่อยมันเข้ามาตั้งแต่แรก ความคิดที่จะทำให้เธออายต่อหน้าคนอื่นหยุดไป และพูดอย่างหงุดหงิดว่า “เริ่มประชุม ผู้จัดการหลี่ กลุ่มคุณเสนองานก่อน”
หลี่ฉ่าวจื่อมองไปที่เหอเหม่ยหลิงวูบหนึ่งอย่างมีชัย และตอบ “ครับ”
คนแรกที่ยืนขึ้นคือ เด็กหนุ่มอายุประมาณสิบเจ็ด สิบแปดปี เขาเดินอย่างมั่นคงมาที่ด้านหลังห้องประชุม
หลังห้องแขวนโปรเจ็คเตอร์ขนาดใหญ่ เด็กหนุ่มจึงเดินไปเอางานวางลงบนแป้นฉาย และฉายภาพลงบนโปรเจ็คเตอร์ทันที
เขากระแอมเบาๆ และพูดอย่างมั่นใจ “สวัสดีครับทุกคน ผมชื่อ เฉินอันหยาง ภาพที่ฉายอยู่นี้เป็นงานออกแบบของผม….”
มู่เวยเวยรู้สึกว้าวุ่นมาก เธอมองไปที่กระดาษเปล่าตรงหน้า โดนที่ไม่มีความคิดอะไรเลยในหัว
“อย่าตระหนก เชื่อมั่นในตัวเอง” เสียงนุ่มดังขึ้นข้างๆหู
มู่เวยเวยใจกระตุก เมื่อได้ยินเสียงของเหอเหม่ยหลิง ตาของเธอก็รื้นน้ำตา พลางพยักหน้าเบาๆ
เพื่อให้สมกับความเชื่อมั่นของเหอเหม่ยหลิง เธอต้องทำได้มู่เวยเวย
มู่เวยเวยสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามบังคับตัวเองให้สงบ หลับตา ตัดเสียงรบกวนรอบข้าง และนึกถึงอารมณ์ของตัวเองตอนออกแบบเมื่อวาน
หัวของเธอนึกถึงเสี่ยวจื่อขึ้นมา ชุดเบาสบายลอยลมของเขา และทันใดนั้นก็ตัดภาพไปที่พู่ห้อย
พู่….
แรงบันดาลใจแวบขึ้นมาในหัวเธอ มู่เวยเวยรีบเปิดตา และเริ่มลงปากกา วาดภาพลงบนกระดาษแผ่นนั้น
ขณะที่เธอตั้งใจวาดอยู่นั้น ก็มีสายตาอบอุ่นสองคู่มองมาที่เธอ โดยที่เธอไม่รู้สึกตัวเลย
หนานกงเฮ่ามองท่าทางตั้งใจของเธอ ด้วยใจอ่อนยวบ รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าของเขา
ในขณะที่เย่ฉ่าวเฉินก็มองเธออยู่ด้วยแววตาสับสน