วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 75 ฉากน่าตะลึง พี่น้องฉีกหน้ากัน

ฟู่ว….

มู่เวยเวยถอนหายใจอย่างโล่งๆ วางปากลง และอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เฉียวซินโยวแวบหนึ่งอย่างเย็นชา จากนั้นดึงสายตากลับมา

เฉียวซินโยวไม่ได้เห็นท่าทางนั้นของเธอ เพราะกำลังเพ่งความสนใจไปที่ผลงานออกแบบชิ้นอื่นๆ

ตอนนั้นคนของหลี่จื่อเจี๋ยรายงานครบหมดแล้ว และผลงานก็ไม่อาจดูแคลนได้เลย มู่เวยเวยรู้สึกกังวลเล็กน้อย

เพราะฉากเมื่อกี้ เธอจึงต้องชนะ เพื่อดึงหน้าของเหอเหม่ยหลิงกลับมา

“ซินโยว เธอรายงานก่อน” เหอเหม่ยหลิงพูด

เฉียวซินโยวส่งยิ้มสดใส เดินไปด้านหน้า และวางงานออกแบบลงบนเครื่องฉาย และงานนั้นก็ดึงดูดสายตาทุกคนทันที

“สวัสดีค่ะทุกคน ฉันชื่อเฉียวซินโยว งานออกแบบครั้งนี้เน้นไปที่ผ้าลูกไม้เป็นหลักค่ะ เพราะผ้าชิ้นนี้เป็นองค์ประกอบของผู้หญิง ทำให้ผู้หญิงดูน่าทะนุถนอมมากขึ้น ฉันจึงชอบผ้าชิ้นนี้เป็นพิเศษมาตลอด….” ใบหน้าของเฉียวซินโยวเต็มไปด้วยความมั่นใจ น้ำเสียงก็แฝงไปด้วยความสดใสอันเป็นเอกลักษณ์

มู่เวยเวยกำมือแน่น พร้อมมองไปที่เฉียวซินโยวด้วยความหม่นหมอง ราวกับตุ๊กตาที่ไร้วิญญาณ พลางมีเสียงเตือนในใจเธออยู่ย้ำๆว่า อย่าไว้ใจเธออีก

แต่เธอต้องการคำอธิบาย

เฉียวซินโยวค่อยๆกลับมานั่งที่ของตัวเองท่ามกลางเสียงปรบมือ และตั้งแต่ต้นจนจบเธอก็ไม่มองมู่เวยเวยเลย

ตอนนี้มู่เวยเวยถึงเพิ่งรู้ตัวอย่างน่าเศร้าว่า ในสายตาของเฉียวซินโยวไม่เคยมีเธออยู่เลย ทั้งหมดเป็นแค่ละครฉากหนึ่ง

“เวยเวย ถึงเวลาของเธอแล้ว” เสียงของเหอเหม่ยหลิงดังมาจากข้างๆ

มู่เวยเวยรีบสงบจิตใจของตัวเอง และเดินไปหน้าโปรเจคเตอร์ เมื่อเธอหยิบงานที่โดนฉีกออกเป็นสองชิ้นออกมา ทุกคนก็เริ่มส่งเสียงซุบซิบจอแจขึ้น

“เอาจริงดิ เอางานออกแบบที่เป็นขยะแล้ว ออกไปรายงานได้ด้วยหรอ”

“หรือเขาอาจจะอยากสร้างความต่าง เพราะไม่มีผลงาน ก็เลยต้องแสดงฉากใหญ่ขึ้นมา”

“ฉันก็คิดว่างั้น ในเมื่อตัวเองมีสถานะพิเศษนี่นา”

“นี่….เบาหน่อย เดี๋ยวประธานเย่ได้ยินจะเป็นเรื่อง”

“เธอไม่เห็นท่าทางที่ประธานเย่ปฏิบัติต่อเธอรึไง ถ้าข่าวลือนั่นเป็นจริง ประธานเย่ของเราน่าสงสารมากเลยนะ”

……..

มู่เวยเวยได้ยินเสียงนินทาของคนอื่นก็รู้สึกขมขื่นขึ้นมา สายตาของเธอเหลือบไปมองเฉียวซินโยวด้วยความเคยชิน แต่ก็พบว่าเธอกำลังยกยิ้ม….เยาะเย้ยอยู่

ซินโยว นี่ฉันมองเธอผิดมาโดยตลอดเลยหรอ

มู่เวยเวยถอนสายตากลับมา พยายามข่มความขมขื่นในใจ และหยิบงานที่ถูกฉีกสองท่อนนั้นวางลงบนเครื่องฉาย จากนั้นก็ปลุกพลังใจ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสมเพศตัวเอง “ก่อนอื่นฉันขอขอบคุณคนคนหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเธอฉีกผลงานของฉัน ฉันคงไม่มีแรงบันดาลใจในการออกแบบใหม่”

เฉียวซินโยวอึ้ง ไม่แน่ใจว่าเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า เธอรู้สึกว่าตอนเวยเวยพูดคำพูดพวกนั้น เหมือนเธอตั้งใจจะบอกตัวเอง

หรือเธอจะรู้อะไรแล้ว

มู่เวยเวยหยุดไปแปบหนึ่ง และพูด “ซีรีย์แฟชั่นของฉันในครั้งนี้อยู่ในหัวข้อโบยบิน ฉันจึงเน้นใช้ผ้าฝ้ายน้ำหนักเบาสองชั้นเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของแฟชั่นสมัยใหม่ ที่เน้นความเบาสบาย ฝ้าข้างในจะใช้เป็นสีชมพู สีเขียว หรือสีเหลืองก็ได้ แต่ข้างนอกต้องเป็นสีขาว เมื่อประกอบกับเส้นด้ายที่เบา และสามารถระบายอากาศได้ ก็จะสามารถเพิ่มความรู้สึกลึกลับขึ้นไปอีก”

มู่เวยเวยหยิบกะดาษอีกครึ่งหนึ่งขึ้นมา วางต่อจากกระดาษแผ่นนั้น แล้วพูด “ตอนแรกฉันออกแบบเป็นเดรสยาว แต่เพราะเหตุการณ์นี้ทำให้ฉันเปลี่ยนความคิด ฉันรู้ว่าชุดเดรสดูแล้วดูมีอะไรมากกว่า แต่ปัญหาใหญ่ก็คือมันไม่สะดวกสบาย”

“ฉันจึงเปลี่ยนจากกระโปรงทรงพองๆ เป็นกระโปรงระบายแทน นอกจากมันจะเข้าทรงแล้ว มันยังทำให้มองดูเบาสบาย และมีเอกลักษณ์ด้วย” มู่เวยเวยพูดอย่างฉะฉาน

“ตรงเอวที่จะตัดแยกกันล่ะ จะออกแบบยังไง” คนฟังถามอย่างสงสัย

มู่เวยเวยยิ้มตอบอย่างสุขุม “ฉันตั้งใจจะใช้พู่ ใช้พู่บังส่วนเอวที่ต้องโชว์ และอาจจะใช้ลูกปัดสีขาวธรรมดาร้อยไว้ข้างล่าง เพื่อให้ดูมีเสน่ห์มากขึ้น”

เมื่อได้ฟังคำตอบที่สมบูรณ์แบบของเธอ ผู้ชายคนนั้นก็หุบปากไปทันที

คำถามนั้นของผู้ชายคนนั้น ทำลายบรรยากาศตึงเครียดโดยพลัน หลังจากนั้นทุกคนก็เริ่มส่งคำถามมาเรื่อยๆ

มู่เวยเวยสงบมาก เธอพูดว่า “ถามทีละคนค่ะ”

วัยรุ่นสาวคนหนึงชี้ไปที่งานลวดลายของชุดบนโปรเจคเตอร์ และพูดด้วยน้ำเสียงดุถูก “ฉันคิดว่าลวดลายของคุณดูไม่แปลกใหม่ ลายดอกลิลลี่ของคุณไม่มีจุดเด่น ทำไมถึงใช้ดอกลิลลี่คะ”

มู่เวยเวยไม่ได้มีท่าทีโกรธ เธอตอบอย่างสุขุมว่า “ดอกลิลลี่แสดงถึงความบริสุทธิ์สดใหม่ ทั้งยังแฝงไปด้วยความสูงส่ง สง่างาม ฉันว่าดอกนี้ให้ความรู้สึกสดชื่นที่สุด”

จากนั้นผู้หญิงอีกคนก็พูดขึ้น น้ำเสียงของเธออ่อนโยน ให้ความรู้สึกอบอุ่นแก่คนฟัง “ฉันว่าดอกไม้ของคุณไม่มีปัญหาค่ะ แต่หลังจากที่ผ้าแยกชิ้นกันแล้ว ข้างบนก็เลยเหลือแต่ตัวดอก และข้างล่างก็เหลือแต่ก้าน มันเลยดูโล่งๆไปนะคะ”

มู่เวยเวยก็เห็นถึงปัญหานี้ เธอจึงหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบปากกาออกมาจากกระเป๋า เดินไปที่หน้าเครื่องฉาย และเริ่มแก้บนนั้น

ทุกคนในห้องประชุมเงียบไปทันที ต่างคนต่างมองไปที่จอโปรเจคเตอร์ ที่ตอนนี้กำลังฉายมือของเธอ จรดปลายปากกาลงบริเวณที่มีดอกลิลลี่และวาดอะไรบางอย่างลงไป

ทุกคนต่างเดาความคิดของเธอไปต่างๆนานา

เมื่อปากกาเคลื่อนออก บนโปรเจคเตอร์ก็ฉายภาพมือใหญ่ กำลังโอบดอกไม้อยู่

และเมื่อปลายปากกาไล่ลงถึงส่วนของก้าน ก็ยังคงเป็นมือเรียวเล็กมือหนึ่ง หันหลังมือออก ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้จับก้านดอกไม้ไว้

เมื่อวาดเสร็จ มู่เวยเวยก็มองทุกคนอย่างสงบ และพูดเสียงเบา “ฉันเชื่อว่าทุกคนจะดูออกตั้งแต่ครั้งแรก มือที่โอบออกไม้อยู่คือมือของผู้ชาย และมือที่จับก้านไว้คือมือของผู้หญิง ดอกลิลลี่มีความหมายว่า รักกันชั่วนิรันดร์ ฉันเลยหวังว่างานของฉันไม่เพียงแต่จะเป็นเสื้อผ้าที่สวยงาม มันยังสามารถเป็นของขวัญสุดล้ำค่าได้ ให้ผู้ชายส่งชุดนี้ให้กับคนรักของเขา”

มู่เวยเวยพูดจบ ทั้งห้องก็ปรบมือขึ้นมาเสียงดัง พร้อมเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานา

“คิดไม่ถึงว่างานของเธอจะละเอียดอ่อนขนาดนี้ ตอนแรกนึกว่าเธอเข้ามาในบริษัทเย่ฮวางได้เพราะเส้นสายซะอีก”

“ฉันชอบไอเดียเธอมากเลย ถ้าแฟนฉันส่งของขวัญแบบนี้ให้ ฉันจะดีใจมาก ดีใจกว่าของขวัญแพงๆอย่างอื่นอีก เธอพูดไม่ผิดเลย ที่ว่าของที่ให้ไม่ใช่เสื้อผ้า แต่เป็นของแทนใจ”

“ไอเดียของเธอแปลกใหม่มาก….”

มู่เวยเวยไม่สนใจเสียงวิจารณ์เหล่านั้น เธอเดินกลับมานั่งที่ของตัวเอง ด้วยความโล่งใจ ไม่ว่าสุดท้ายผลจะเป็นยังไง เธอก็ได้พยายามที่สุดแล้ว

จากนั้นก็เป็นคนของเหอเหม่ยหลิงออกไปรายงานผลงานของตัวเอง มู่เวยเวยตั้งใจฟังมาก พลางจดตามด้วยความเคยชิน จนเมื่อคนสุดท้ายรายงานจบ เธอก็จดไปแล้วสามหน้า

ทุกคนคือครูของเธอ นี่คือคติของมู่เวยเวย

เย่ฉ่าวเฉินกวาดตามองไปทั่วห้อง แล้วพูดเรียบๆ “ทุกคนรายงานครบกันหมดแล้วนะ ต่อไปเรื่องการหารือคัดเลือก จะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ เลิกประชุม”

เย่ฉ่าวเฉินยืนขึ้นก่อน และหันหน้าไปมองคนที่ยืนพิงประตูนานแล้ว และพูด “ไป”

หนานกงเฮ่าพยักหน้า และมองไปที่มู่เวยเวยอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะบังเอิญหันมาสบตา เขาจึงยกยิ้มขึ้นบางๆ และโบกมือให้

มู่เวยเวยพยักหน้าให้ จนเขาเดินลับตาไปแล้ว ก็ได้ยินเสียงเฉียวซินโยวพูดว่า “เวยเวย เมื่อกี้เธอรายงานดีสุดๆ ฉันกลัวแทนเธอแทบแย่ ดีนะไม่เกิดอะไรขึ้น”

มู่เวยเวยไม่ได้เป็นแบบเดิมอีก ที่ต้องใจดี และปลอบเธอว่าไม่ต้องเป็นห่วง เพราะคนที่ฉีกงานของตนเองก็คือเธอ ในใจตอนนี้มีแต่ความเย็นชาเท่านั้น

“ซินโยว เธอออกไปกับฉันแปบนึง” มู่เวยเวยพูดอย่างจริงจัง

เห็นท่าทีของเธอ เฉียวซินโยวก็พอจะเดาได้ว่าเธอดูออกแล้ว แต่ก็ดี รีบพูดให้ชัดๆตอนนี้ จะได้ไปให้พ้นทาง

เมื่อมาถึงประตูใหญ่ของบริษัทเย่ฮวางซึ่งเป็นจุดนัดพบ เฉียวซินโยวก็เห็นมู่เวยเวยหน้าซีดมาแต่ไกล ราวกับเธอเจอเรื่องกระแทกใจอย่างจัง ตอนนั้นเฉียวซินโยวก็รู้ในทันทีว่าเธอสำคัญต่อมู่เวยเวยไม่น้อย

เฉียวซินโยวค่อยๆเดินไปตรงหน้ามู่เวยเวย และยกยิ้มอย่างอ่อนโยน แกล้งถามอย่างอย่างสงสัย “เวยเวย ทำไมสีหน้าเธอไม่ดีเลย ไปหาหมอหน่อยมั้ย”

มู่เวยเวยส่ายหน้า พยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง และพูดออกมาอย่างว่างเปล่า “ซินโยว เธอบอกความจริงฉันมา เธอเคยเห็นฉันเป็นเพื่อนจริงๆรึเปล่า”

ในเมื่อเธอพูดเรื่องนี้ ก็แสดงว่าเรื่องนั้นเธอกำลังสงสัยตัวเองอยู่ ถ้าเป็นปกติ เฉียวซินโยวคงแกล้งทำใสซื่อ ขอร้องให้เธอให้อภัย แต่ตอนนี้เธอเหนื่อยแล้ว ไม่อยากแสดงละครอีกต่อไปแล้ว

เธออยากยืนอยู่ตรงข้ามมู่เวยเวย และเอาทุกอย่างที่เธอต้องการมาอย่างเป็นทางการ รวมถึงเย่ฉ่าวเฉิน และตำแหน่งคุณผู้หญิงตระกูลเย่ด้วย

เฉียวซินโยวค่อยๆยกมือขึ้นมากอดอก และแสยะยิ้มอย่างที่มู่เวยเวยไม่เคยเห็นมาก่อน พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ “ความรัก มิตรภาพต่่างเป็นของราคาถูก มันไม่เคยอยู่ในสายตาของฉัน”

สีหน้ามู่เวยเวยซีดเผือด ราวกับโดนรีดเลือดออกไปจนหมด พร้อมร่างกายอ่อนแรง แทบไม่สามารถยืนอยู่ได้ “ซินโยว”

เธอไม่ทันพูดจบ เฉียวซินโยวก็พูดขัด “แกเห็นตอนฉันฉีกงานแกหรอ”

“เปล่า แต่ฉันเห็นผนึกซองปิดกลับด้าน” มู่เวยเวยปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนแรง

“หึหึ….อย่างนี้นี่เอง” เฉียวซินโยวแสยะยิ้ม นี่เป็นนิสัยของเธอ ตอนที่เรียน เธอก็มักจะเป็นแบบนี้บ่อยๆ แต่หลังๆเธอก็พยายามแก้ไขได้แล้ว อาจเป็นเพราะตอนนั้นเครียด เลยทำผิดไป

เฉียวซินโยวถอนหายใจ แสยะยิ้มอย่างสบายใจ และพูดอย่างเย็นชา “ฉันเป็นคนทำเอง”

มู่เวยเวยมองเธออย่างหมดแรง สิ่งที่เธอรับไม่ได้ยิ่งกว่าการรู้ความจริงคือ การยอมรับอย่างเต็มปากเต็มคำ

น้ำตาเย็นๆหยดลงบนใบหน้าเศร้าหมองของเธอ ก่อนเธอจะถามเสียงสั่น “ทำไมเธอต้องทำอย่างนี้ด้วย”

เฉียวซินโยวหันหน้าหนี อย่างไม่อยากดูสภาพนี้ของเธอ และตอบเสียงเย็น “มู่เวยเวย บางครั้งฉันก็รู้สึกว่าเธอโง่จริงๆ พวกเราไม่ใช่คนโลกเดียวกันตั้งแต่แรก ฉันไม่เคยใช้ค่ากับมิตรภาพตลกๆนั้น ฉันอยากมีชีวิตเธอทุกคน”

มู่เวยเวยส่ายหน้า น้ำตาเม็ดโตไหลลงมาไม่หยุด ทุกคำพูดของเฉียวซินโยวทำร้ายเธออย่างรุนแรง

“เธอรู้มั้ย ทุกครั้งที่เธอเอาเหตุผลใหญ่หลวงพวกนั้นมาบอกฉัน ฉันรำคาญขนาดไหน เธอดูสภาพชีวิตเธอสิมันแย่ขนาดไหน ยังมีหน้ามาสอนคนอื่นอีก” คำพูดของเฉียวซินโยวค่อยๆแรงขึ้น พร้อมกับอารมณ์ที่ทวีความโกรธเกลียดมากขึ้น ราวกับจะเหยียบให้มู่เวยเวยจมดิน

สมองมู่เวยเวยว่างเปล่า หลงเหลือเพียงแค่คำต่อว่าของเฉียวซินโยว เธอปวดใจจนแทบหยุดเต้น

“เธอเป็นคนดี แต่ความดีของเธอก็ทำให้เธอต้องมีชีวิตที่น่าสมเพศแบบนี้ เมื่อก่อนเธอปฏิบัติกับลู่จื่อหางยังไง เธอแทบจะควักหัวใจออกมาให้เขา แล้วดูเขาสิ ทำกับเธอยังไง อย่านึกว่าฉันไม่รู้นะ ว่าเขาไปขึ้นเตียงกับลูกพี่ลูกน้องเธอน่ะ” เฉียวซินโยวมองเห็นเธอสิ้นหวังก็ยิ่งพอใจ จึงยิ่งพูดตรงขึ้นอีก

“ไม่ต้องพูดแล้ว” มู่เวยเวยยกมือขึ้นมาปิดหู และตะโกนเสียงดัง “ฉันไม่อยากฟัง”

เมื่อเห็นท่าทางของเธอ เฉียวซินโยวก็เดินตรงมาดึงมือเธอออก บังคับสายตาเธอให้มองมาที่ตัวเอง และพูดอย่างเย็นชา “รู้มั้ยทำไมชีวิตของเธอถึงทุเรศอย่างนั้น เพราะเธอไปคว้าอะไรที่มันไม่ควรเป็นของเธอไงล่ะ”

มู่เวยเวยถามอย่างอึ้ง “หมายความว่าไง”

“หึหึ….” เฉียวซินโยวหัวเราะ และพูดอย่างรุนแรงว่า “กากับหงส์มันต่างกัน เธอคิดว่าเธอคู่ควรกับเย่ฉ่าวเฉินตรงไหนไม่ทราบ มีสิทธ์อะไรได้เป็นคุณผู้หญิงบ้านตระกูลเย่”

มู่เวยเวยตัวแข็งทื่อ มือสองข้างกำแน่น และถามอย่างเจ็บปวด “เธอมาใกล้ชิดฉันเพราะเย่ฉ่าวเฉินหรอ”

“หลังจากที่เธอแต่งงานกับเขาน่ะใช่ แต่เมื่อก่อนเป็นเพราะความธรรมดาของเธอ ทุกครั้งที่ฉันอยู่กับเธอ คนอื่นจะมองฉันสูงส่งขึ้น อย่างนี้ฉันก็เลยรู้สึกพอใจ ราวกับ….ดอกไม้ที่เจอใบไม้ที่เข้ากับตัวเอง”

คำพูดของเฉียวซินโยวเย็นชามาก เย็นชาจนทำให้มู่เวยเวยสั่นไปทั้งตัว ที่แท้ที่ทำมาทั้งหมด ก็เพื่อความปรารถนาของตัวเอง

น่าขำสิ้นดี

เธออดคิดไม่ได้ว่า เมื่อก่อนตอนที่เธอดีใจ ซึ้งใจ ผู้หญิงคนนี้จะหัวเราะเยาะในความไม่รู้ของเธอขนาดไหน

“แค่นี้หรอ” มู่เวยเวยรู้สึกปวดหัวอย่างหนัก ร่างทั้งร่างไร้ซึ่งเรี่ยวแรง แต่ก็ยังพยายามมีสติ ถามออกไปอย่างอ่อนแรง

“ใช่ ฉันแค่ใช้ประโยชน์จากเธอ” เฉี่ยวซินโยวพูดจบ ก็ปล่อยมือเธอ

เมื่อขาดที่ค้ำจุน มู่เวยเวยก็รู้สึกหน้ามืด ร่างกายร่วงลงไปหมดสติบนพื้นในทันที

เมื่อเห็นมู่เวยเวยสลบอยู่บนพื้น เฉียวซินโยนก็ตกใจขึ้นมา พลางคิดจะเอื้อมมือลงไปพยุงเธอขึ้น แต่สุดท้ายก็ดึงมือกลับมา จากนั้นก็มองเธอนิ่งๆ และพูดว่า “เวยเวย เธอจะโทษไม่ได้นะ ฉันก็แค่ไล่ตามสิ่งที่ฉันต้องการ”

พูดจบก็หันหลังเดินจากไป เฉียวซินโยวเพิ่งจะไปได้แปบเดียว จู่ๆก็มีเสียงผู้ชายตะโกนดังขึ้นจากด้านหลัง เธอจึงหันกลับไปมองทันที

หนานกงเฮ่าเพิ่งเดินออกมาจากประตูบริษัทเย่ฮวาง ก็เห็นร่างคุ้นตานอนสลบอยู่ตรงหน้า เมื่อมองดีๆก็เห็นว่าคนคนนั้นคือ มู่เวยเวย

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset