มู่เวยเวยที่เป็นสาเหตุของเรื่องในครั้งนี้ รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก หนานกงเฮ่าชอบเธอหรอ
เธอมีค่าตรงไหนให้เขาชอบ
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว เขาพูดเสียงเย็นชา อย่างไม่สามารถเดาอารมณ์ได้ “มึงชอบเธอเหรอ อย่าลืมนะว่านั่นมันผู้หญิงของกู”
หนานกงเฮ่าหยักยิ้มอย่างไม่เห็นด้วย และเบนสายไปมองมู่เวยเวย พลางพูดอย่างหาเรื่อง “ฉ่าวเย่ พวกเรารู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว จุดประสงค์ที่แท้จริงที่มึงแต่งงานกับเวยเวยคืออะไร นอกจากต้องการทำให้เธอเจ็บปวดแล้ว มึงยังมีอะไรที่ให้เธอได้อีก”
“แล้วไง”
“กูให้ความรักทั้งหมดแก่เธอได้ กูสามารถทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลกได้”
เขาพูดทุกคำอย่างหนักแน่น
มู่เวยเวยยืนอึ้งอยู่กับที่ พร้อมสายตาที่จ้องแค่หนานกงเฮ่า ถึงเธอ….จะไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ต้องบอกว่าคำพูดประโยคนั้นของเขา ทำให้จิตใจที่เศร้าหมองของเธอรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
ขอบคุณนะคะ คุณหนานกงเฮ่า นี่เป็นคำพูดที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่เธอเคยได้ยินมาแล้ว มู่เวยเวยพูดในใจ
เย่ฉ่าวเฉินเริ่มไม่แน่ใจในอารมณ์ตอนนี้ของเขา ตอนนี้อารมณ์เขาเดือดขึ้นมาอีกครั้ง อยากจะเดินไปซัดปากหนานกงเฮ่าสักที
เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจตอนนี้คืออะไร แต่ที่รู้ๆก็คือเขาไม่มีความสุข
เย่ฉ่าวเฉินสะบัดตัวจนหลุดออกจากการจับกุมของจางเห่อ และเดินไปดึงตัวมู่เวยเวยมาไว้ในอ้อมกอด พร้อมมองหนานกงเฮ่าอย่างเย็นชา และพูด “กูจะถือว่าไม่ได้ยินที่มึงพูดเมื่อกี้”
ร่างใหญ่ของหนานกงเฮ่อมาขวางทางเขาไว้ พร้อมพูดอย่างหนักแน่นว่า “ฉ่าวเฉิน พวกเรามาสู้กันแฟร์ๆดีกว่า แล้วมาดูกันว่าใครจะได้หัวใจของเวยเวยไป”
หนานกงเฮ่อแสยะยิ้ม และพูดเสียงต่ำ “กูเอาหุ้นหนึ่งในสิบของกูเป็นเดิมพัน”
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว เส้นเลือดบนหน้าผากกระตุกตุบๆ แล้วถามเสียงเครียด “นี่มึงจริงจังหรอ”
“เออ” หนานกงเฮ่อยิ้มอย่างกวนๆ และพูดว่า “มึงกล้าพนันมั้ยล่ะ”
“ได้”
หนานกงเฮ่าถอนหายใจ และพูดอย่างจริงจัง “กูเตือนไว้ก่อนเลย ถ้าเวยเวยรักกูขึ้นมาเมื่อไหร่ มึงอย่ามาตามตอแยอีก”
“สบายใจได้”
มู่เวยเวยนั่งเงียบอยู่ในรถมาตลอดทาง จิตใจเธอว้าวุ่น จึงดึงความสนใจไปที่วิวสวยๆนอกหน้าต่างแทน ภายในรถจึงมีแค่เสียงเพลงเปิดคลอเบาๆ
เมื่อมาถึงสี่แยก แทนที่เย่ฉ่าวเฉินจะขับตรงไปต่อ เขากลับหักเลี้ยวโค้งอย่างสวยงามเข้าไปในซอยแคบๆแทน
“จางเห่อไม่ต้องตามฉันแล้ว ทุกคนกลับบ้านไปเลย” เย่ฉ่าวเฉินพูดกับหูฟังบลูธูท
เสียงของจางเห่อดังออกมาจากหูฟัง “ครับคุณชาย”
เมื่อปิดหูฟังแล้ว เย่ฉ่าวเฉินก็ขับรถต่อไปอย่างไม่วอกแวก
มู่เวยเวยเครียดจนมือชื้นเหงื่อ เธอมองทางที่แคบลงไปเรื่อยๆ และอดคิดในใจไม่ได้ว่า : เขาคงไม่กำลังหาที่ฆ่าเธอ แล้วฝังทันทีหรอกใช่มั้ย
“พวกเรา….จะไปไหนคะ” มู่เวยเวยพยายามทำใจให้สงบที่สุด และถามเขาเสียงเบา
เย่ฉ่าวเฉินเหลือบไปมองเธอ และตั้งใจไม่ตอบ เขารู้ว่าเธอกลัว และนี่ก็เป็นสิ่งที่เขาตั้งใจให้เป็น เมื่อคิดว่าผู้หญิงคนนี้ทำให้เขากับเพื่อนแตกคอกัน เขาก็แทบอยากจะฆ่าเธอซะ
สุดท้ายรถก็มาจอดที่กลางป่าเล็กๆ ไม่มีผู้คนโดยรอบ มีเพียงเสียงฟ้าร้อง และเสียงลมพัดต้นไม้เป็นครั้งคราว
มู่เวยเวยยิ่งรู้สึกตึงเครียดมากขึ้น จนอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ด้วยใบหน้ากลัวๆ ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูก็ดึงขึ้น และเย่ฉ่าวเฉินก็มาดึงเธอลงไป
“คุณจะทำอะไร” มู่เวยเวยถามอย่างสงสัย
เย่ฉ่าวเฉินแสยะยิ้มจ้องเธออย่างน่ากลัว และพูด “คุณคิดว่าไงล่ะ”
“คุณจะฆ่าฉันหรอ” มู่เวยเวยถามเสียงสั่น
เย่ฉ่าวเฉินกระตุกยิ้มมุมปากมองท่าทางน่าตลกของเธอ จากนั้นความโกรธในใจของเขาก็หายไปจนหมด เขาค่อยๆก้มหน้าไปใกล้ๆเธออย่างขู่ๆ “เมื่อกี้ผมมีความคิดนี้จริงๆ”
มู่เวยเวยตะลึง พูดเสียงเย็น “คุณจะฆ่าฉันไม่ได้นะ”
“ทำไม”
“ถ้าคุณฆ่าฉัน พี่ชายฉันต้องไม่ปล่อยคุณเอาไว้แน่”
ตอนแรกมู่เวยเวยตั้งใจจะเอาพี่ชายมาข่มเขา แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับปฏิกิริยาตรงข้าม เย่ฉ่าวเฉินเกลียดมู่เทียนเย่ขนาดไหน แต่เธอกลับกล้าพูดถึงเขาซึ่งๆหน้า
เมื่อได้ยินมู่เวยเวยพูดถึงมู่เทียนเย่ อารมณ์ของเย่ฉ่าวเฉินก็ดุดันมาก ดวงตาสีฟ้าของเขาส่องประกายสังหารออกมา พลางพูดเสียงเย็น ราวกับน้ำแข็ง “ได้ ฉันยินดีเสมอ กลัวก็แต่ว่ามันจะไม่ยอมโผล่หัวมามากกว่า”
พระเจ้า ปีศาจชัดๆ
เย่ฉ่าวเฉินให้เธอกลับไปนั่งที่นั่งข้างคนขับเหมือนเดิม แล้วเขาก็ประจำที่ตำแหน่งคนขับ สตาร์ทรถ และขับออกไปอย่างรวดเร็วราวกับลมในทันที
กลับมาถึงบ้าน มู่เวยเวยก็มองแสงที่ส่องลอดเข้ามาผ่านหน้าต่างรถด้วยความลังเล
สภาพอย่างเธอจะเข้าไปได้ยังไง
มู่เวยเวยกัดริมฝีปาก ตัดสินใจไม่สนใจผู้ชายใจยักษ์คนนั้นอีก จากนั้นเธอก็ดึงเสื้อสูทเข้าหากัน เปิดประตูรถ และเดินไปทางประตูบ้าน
“ว้ายย”
…………
ร้านกาแฟกุหลาบแดง
เฉียวซินโยวยกมือสองข้างเท้าคาง ก่อนคนแก้วกาแฟอย่างเหม่อลอย ก่อนที่จะมีเสียงเท้าเดินเข้ามา เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นร่างหล่อเหลาของหนานกงเฮ่า
“คุณเฉียวนัดผมมามีอะไรรึเปล่า” เขายกยิ้มอย่างหน่ายๆ และพูดด้วยน้ำเสียงแหบเสน่ห์ของเขา
เฉียวซินโยววางช้อนลง และยกรอยยิ้มอย่างสดใส พลางพูดอย่างอ่อนโยน “หนานกง คุณยังจำวันที่เรามาร้านกาแฟร้านนี้ได้ไหม ว่าเราคุยกันเรื่องอะไร”
หนานกงเฮ่าใช้มือแตะคางอย่างครุ่นคิด จากนั้นก็สายหน้า และพูดว่า “ขอโทษ จำอะไรไม่ได้เลย”
เฉียวซินโยวพูดอย่างไม่โกรธ “งั้นฉันจะช่วยทวนความจำให้คุณหน่อยนะคะ คุณพูดถึงเรื่องงานออกแแบบนั้น และก็ยังบอกว่าเย่ฉ่าวเฉิินกำลังหาเจ้าของงานออกแบบนั้นอยู่ ที่นี้คุณพอจะจำได้รึยัง”
หนานกงเฮ่าเพิ่งจะตระหนักได้ เขาจึงถามเสียงอ่อนขึ้น “ทำไมถึงพูดถึงเรื่องนี้ล่ะ”
เฉียวซินโยวยกกาแฟมาจิบอย่างสง่างาม และพูดช้าๆ “ตอนนั้นฉันคิดว่าคุณแค่บังเอิญพูดขึ้นมาเฉยๆ แต่หลังจากที่ฉันรู้เรื่องหนึ่ง ฉันก็รู้ว่าคุณตั้งใจพูดออกมา”
“หืม”
“เมื่อวานฉันเห็นตอนที่มู่เวยเวยเป็นลม และคุณก็รีบมาพยุงเธอ มันทำให้ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า….คุณชอบมู่เวยเวย” เฉียวซินโยวพูดอย่างแน่ใจในประโยคสุดท้าย
หนานกงเฮ่อไม่ได้รีบตอบกลับไป
เธออดรู้สึกกังวลไม่ได้ แต่ก็ต้องแกล้งทำเป็นสงบ และพูดต่อว่า “คุณตั้งใจบอกฉันเรื่องนั้น เพื่อที่จะให้ฉันรู้ว่าเย่ฉ่าวเฉินกำลังตามหาฉันอยู่ จากนั้นก็ให้ฉันเข้าหาเย่ฉ่าวเฉิน และรอจนกระทั่งเราคบกัน คุณก็จะได้คว้ามู่เวยเวยมาง่ายๆ ฉันเดาไม่ผิดหรอกใช่มั้ย”
หนานเกาเฮ่าหัวเราะเสียงเย็น และพูดว่า “คุณเฉียวก็ฉลาดเหมือนกันนี่นา ในเมื่อคุณเดาออก ผมก็จะไม่ปิดบังอีกต่อไป ผมมีความคิดอย่างนั้นจริงๆ”
เฉียวซินโยวถอนหายใจอย่างโล่งอก และถามต่อว่า “คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันจะต้องเข้าหาเย่ฉ่าวเฉินแน่”
หนานกงเฮ่าเชิดหน้าขึ้นและพูดอย่างหน่ายๆ “เพราะผมมองเห็นความทะเยอทะยานในสายตาของคุณ”
ทะเยอทะยานหรอ
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เฉียวซินโยวก็ไม่คิดจะปิดบังอีกต่อไป “ที่วันนี้ฉันนัดคุณมาก็เพราะจะมาหาเพื่อนร่วมขบวนการ คุณอยากได้มู่เวยเวย ฉันอยากได้เย่ฉ่าวเฉิน ในเมื่อเรามีจุดมุงหมายเดียวกัน ทำไมเราไม่รว่มมือกันล่ะ”
หนานกงเฮ่อคิ้วกระตุก และคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเรียบๆ “ในเมื่อจะร่วมมือกัน ทำไมคุณไม่แสดงความจริงใจออกมาล่ะ”
เฉียวซินโยวอึ้ง ไม่เข้าใจความหมายของเขา “ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่คุณจะสื่อ”
หนานกงเฮ่าชี้ไปที่กระเป๋าซ้ายมือของเธอ และพูด “ในเมื่อจะร่วมมือกัน ทำไมต้องใช้เครื่องบันทึกเสียง หรือว่าไม่ไว้ใจกัน”
เฉียวซินโยวฟังเขาพูดจบก็ตกใจในทันที
…
ในกระเป๋าของเธอมีเครื่องบันทึกเสียงจริงๆ ถึงเธอจะมาดึงหนานกงเฮ่าไปเป็นพวก แต่เธอก็ต้องกันไว้ก่อน เธอกลัวว่าถ้าแผนไม่สำเร็จ แล้วเขาก็เป็นเพื่อนสนิทของเย่ฉ่าวเฉิน ถ้าเขาเอาเธอไปประจานต่อเย่ฉ่าวเฉิน ความพยายามที่เธอแกล้งเป็นคนดีก็จะสูญเปล่า”
เฉียวซินโยวสูดหายใจเข้าลึกๆ และหยิบเครื่องบันทึกเสียงออกมาส่งให้เขา จากนั้นก็ถามอย่างสงสัย “คุณรู้ได้ยังไงว่าในกระเป๋าฉันมีของชิ้นนี้”
หนานกงเฮ่าหัวเราะออกมา ก่อนจะพูด “ฉันมีสัมผัสด้านนี้เป็นพิเศษ”
คนอื่นอาจจะคิดว่าเขาเอาแต่มั่วผู้หญิง แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยผ่านความเป็นความตายมาก่อน
และในตอนที่อาการโคม่า และคิดว่าตัวเองต้องตายแล้วจริงๆ ก็มีเวยเวยมาช่วยเขาไว้
เฉียวซินโยวพยักหน้า และพูด “อย่างนี้นี่เอง”
หนานกงเฮ่าตั้งใจมองเธอด้วยสายตายากจะคาดเดา และพูดด้วยเสียงแหบอันมีเสน่ห์ของเขา “เพื่อให้การร่วมมือของเราในครั้งนี้ต่างฝ่ายต่างมั่นใจ ผมอยากจะยืนยันกับคุณอีกเรื่องนึง”
เฉียวซินโยวขมวดคิ้วพูด “อะไร”
“ผมรู้ว่าที่จริงแล้วคนที่วาดรูปนั้นก็คือมู่เวยเวย”
เฉียวซินโยวตะลึง ยกแก้วกาแฟตรงหน้าขึ้นมาคนน้อยๆ และถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณรู้ได้ยังไง”
“คุณไม่ต้องรู้หรอกว่าผมรู้ได้ยังไง เอาแค่อยากให้คุณช่วยอะไรจากเรื่องนี้อย่างหนึ่ง”
“ช่วยอะไร”