“คราวหน้าถ้าจะเจอผม อย่าเอาของทำลายบรรยากาศแบบนี้มาด้วยอีก”
เขากำลังจะบอกเธอว่า จะร่วมมือกัน ต้องมีความซื่อสัตย์ต่อกันงั้นหรอ
เฉียวซินโยวพยักหน้าพูด “ได้ค่ะ”
หนานกงเฮ่ายกยิ้มพูดอย่างพอใจ “ผมชอบทำงานกับคนฉลาด ในเมื่อทำงานร่วมกัน ผมก็ควรก็แสดงความจริงใจของตัวเองเหมือนกัน รู้มั้ยทำไมเย่ฉ่าวเฉินถึงตามหาเจ้าของรูปนั้น”
เฉียวซินโยวส่ายหน้า นี่เป็นเรื่องที่กวนใจมานานแล้วเหมือนกัน เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะได้รู้ความจริง ก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
คำตอบนี้จะเป็นกุญแจสำคัญว่าเธอจะได้เข้าใกล้เย่ฉ่าวเฉินมั้ย
หนานกงเฮ่าเห็นท่าทีของเธอก็กระตุกยิ้มพูด “เย่ฉ่าวเฉินกับเจ้าของแบบนั้นเคยนอนด้วยกัน และหลังจากคืนนั้นเย่ฉ่าวเฉินก็ไม่สามารถลืมค่ำคืนนั้นได้เลย เข้าใจรึยัง”
เมื่อพูดถึงนอนด้วยกัน เฉียวซินโยวก็อิจฉาขึ้นมา แต่ก็เบาใจในทันที เมื่อได้ยินครึ่งประโยคหลัง นั่นก็หมายความว่าเย่ฉ่าวเฉินยังไม่รู้ว่าที่จริงผู้หญิงคนนั้นคือมู่เวยเวย
ถ้าเป็นอย่างนั้น เธอก็รู้แล้วว่าเธอจะทำยังไง
มู่เวยเวยแกจะได้ครอบครองเย่ฉ่าวเฉินแค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ เพราะฉันจะใช้อดีตของแก มาชิงอนาคตของเย่ฉ่าวเฉิน
…….
ตอนเช้ามู่เวยเวยมาถึงบริษัท ก็เผลอมองไปที่ที่นั่งของเฉียวซินโยวอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะเห็นเธอกำลังตั้งใจพิมพ์งานอยู่ ทันใดนั้นใจเธอก็รู้สึกราวกับถูกชกด้วยหมัดอย่างรุนแรง เจ็บภายในจนเกือบจะรับไหว
ปกติเธอจะยิ้มให้อย่างสดใส และทักเธอว่า “อรุณสวัสดิ์ เวยเวย”
แต่ตอนนี้แม้แต่หน้าก็ไม่อยากมอง
มู่เวยเวยสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามบังคับตัวเองให้สงบลง และดึงความสนใจให้มาอยู่ที่งานในมือ
เฉียวซินโยวตั้งใจจ้องหน้าคอม และพิมพ์เอกสารอย่างรวดเร็ว ซึ่งเอกสารที่พิมพ์อยู่นั้นมีหัวข้อว่า จดหมายลาออก
เมื่อพิมพ์เสร็จ เฉียวซินโยวก็ส่งไปที่อีเมลล์เย่ฉ่าวเฉินอย่างไม่ต้องคิด
เมื่อทำทั้งหมดนี้เสร็จ เธอก็ถอนหายใจ และยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ตอนนี้เธอแค่รอให้เย่ฉ่าวเฉินเรียกพบเท่านั้น และขั้นตอนต่อไป เธอก็มีแผนไว้แล้ว
จากนั้นไม่ถึงหนึ่งนาที เบอร์ส่วนตัวของเย่ฉ่าวเฉินก็โทรเข้ามาที่เธอ
เฉียวซินโยวรับสายอย่างรวดเร็ว และยังไม่ทันได้พูดอะไร ปลายสายก็บอกก่อนว่า “มาที่ห้องผมหน่อย”
“ค่ะ”
วางสายเสร็จ เธอก็ดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้า และลุกเดินเข้าลิฟต์ไป
มู่เวยเวยมองตามหลังเฉียวซินโยวไปด้วยแววตาหม่นหมอง
ซินโยวมิตรภาพของเราจบลงแล้วจริงๆหรอ
……
เฉียวซินโยวเคาะประตู เมื่อได้รับอนุญาตจากเย่ฉ่าวเฉินแล้ว จึงเดินเข้าไปในห้องทำงานของเขา
เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้น มองสังเกตเฉียวซินโยว และเขาก็รู้สึกว่าในสายตาของเฉียวซินโยวดูมีความสิ้นหวัง
เขาค่อยๆวางปากกาลง ถามอย่างอบอุ่นและตรงไปตรงมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ทำไมอยู่ดีๆจะลาออก”
เฉียวซินโยวก้มหน้าลงเพื่อซ่อนความรู้สึกผิดในใจ เธอแสดงสีหน้าตึงเครียด มือสองข้างจับมุมเสื้อแน่น ผ่านไปครู่ใหญ่ เธอถึงเค้นเสียงพูดออกมาว่า “ฉันกำลังจะแต่งงานค่ะ”
เย่ฉ่าวเฉินตะลึง เขาไม่รู้ความรู้สึกนี้คืออะไร รู้แต่เพียงว่ามันเต็มไปด้วยความผิดหวัง และคลุมเคลือ “ยินดีด้วย”
เฉียวซินโยวอึ้ง จากนั้นก็แสดงสีหน้าสิ้นหวังออกมา พลางพูดเสียงเบาว่า “รู้มั้ยคะ ว่าประโยคนี้เป็นประโยคที่ฉันไม่อยากได้ยินจากคุณที่สุด”
สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ เขาถามอย่างเย็นชาว่า “ทำไม”
เฉียวซินโยวสูดหายใจเข้าลึกๆ ราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ จากนั้นก็พูดอย่างหนักแน่น “ฉันไม่เคยคิดจะพูดมาก่อน เพราะฉันรู้ว่าคุณแต่งงานแล้ว ถึงฉันจะพูดถึงเรืองในโรงแรมคืนนั้นขึ้นมา มันก็คงไม่มีความหมายแล้ว”
เย่ฉ่าวเฉินคิ้วกระตุก ร่างใหญ่ของเขาลุกยืนขึ้น และเพราะว่าเขาหันหลังให้กับแสง ทำให้คนมองไม่สามารถเดาอารมณ์จากสีหน้าของเขาได้ชัด น้ำเสียงของเขาสูงขึ้น “โรงแรมหรอ”
เฉียวซินโยวกัดริมฝีปาก และพูดออกมาอย่างขมขื่น “เป็นคืนที่ฉันลืมงานออกแบบไว้ ฉันได้เสียสิ่งสำคัญไป ตอนแรกฉันก็ตั้งใจจะเก็บมันไว้เป็นความทรงจำที่สวย แต่จากนั้นหนานกงเฮ่าก็มาบอกว่าคุณกำลังตามหาฉันอยู่”
เย่ฉ่าวเฉินมองตาเธอ และไล่มามองใบหน้าของเธอ และพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้ “ยังจำเลขห้องได้มั้ย”
เฉียวซินโยวคิดครู่หนึ่งและตอบ “เหมือนจะเป็นที่โรงแรมนานาชาติCK ห้อง 1026 ค่ะ”
เธอพูดจบ ก็เห็นมีเงาหนึ่งพุ่งเข้ามา ก่อนจะรู้ตัวว่าเขาดึงเธอเข้าไปไว้ในอ้อมกอด
เธอสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงของเขา และลมหายใจที่เจือไปด้วยกลิ่นบุหรี่นั้น เธอรู้สึกว่าใจของตัวเองแทบหยุดเต้น
กลิ่นน้ำหอมฉุนๆของเธอ ดึงสติของเย่ฉ่าวเฉินกลับมา เขาขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ปล่อยมือออก
เขาค่อยๆปล่อยเธอ ก่อนจะนึกถึงประโยคก่อนหน้านี้ของเธอได้ เขาจึงถามอย่างสุขุม “เมื่อกี้คุณบอกว่าจะแต่งงานหรอ”
เฉียวซินโยวใจเต้นแรง เธอยังคงแสดงสีหน้าเศร้าหมอง และพูดอย่างลำบากใจ “แม่เลี้ยงของฉันให้ฉันไปแต่งกับคนแก่ที่ร่ำรวย ฉันไม่กล้าปฏิเสธ เธอบอกว่าถ้าฉันกล้าขัดคำสั่ง เธอจะไล่ฉันออกจากบ้าน…..”
ฟังเธอพูดจบ เย่ฉ่าวเฉินก็ใจอ่อนยวบ เขาคิดไปถึงตอนที่เธอเอาข้าวเที่ยงมาให้ ทุกครั้งที่เขาทำงานนานเกินไป เธอก็จะเตือนเขาอย่างอ่อนโยนเสมอว่าให้ดูแลสุขภาพ
เธอเป็นผู้หญิงที่แสนดีจริงๆอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
เย่ฉ่าวเฉินยื่นมือวางบนของเธอ และพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ผมจะไปหาแม่เลี้ยงคุณกับคุณ และห้ามไม่ให้เธอทำแบบนี้”
ฟังเขาพูดจบ เฉียวซินโยวก็นิ่งไปอย่างพยายามหาทางออก เพราะทุกอย่างที่พูดออกมาเธอแต่งเอาทั้งนั้น จะให้เขาเจอหน้าได้ยังไง
เฉียวซินโยวส่งยิ้มอย่างมีความสุข แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหมดหวัง “ช่างเถอะค่ะ ฉันคิดดีแล้ว จากนี้ไม่นอนโรงแรม ก็ต้องนอนข้างถนน ฉันชินแล้วหละ”
เย่ฉ่าวเฉินเห็นน้ำตาของเธอ ก็รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา มือใหญ่กุมมือเล็กของเธอ และพูดว่า “โรงแรมไม่ปลอดภัย ข้างถนนยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่ บ้านผมมีหลายห้องมาก ช่วงนี้มาอยู่ด้วยกันก่อน”
เฉียวซินโยวแกล้งทำเป็นตกใจ ทั้งๆที่ในใจตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เธอก้มหน้าพูดว่า “อย่างนี้คงไม่ดีมั้งคะ ถ้าสถานะของฉัน…..ถูกเวยเวยรู้เข้า จะทำยังไง”
เมื่อเขาได้ยินเธอพุดถึงมู่เวยเวย ก็รู้สึกเย็นชาขึ้นมาฉับพลัน เขาพูดเสียงเย็นว่า “คุณเป็นแขก เธอไม่มีสิทธิพูดอะไรทั้งนั้น”
ได้ยินอย่างนั้น เฉียวซินโยวก็ส่งยิ้มออกมาอย่างสดใส และพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ขอบคุณนะคะ”
เมื่อเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเธอ เย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ความรู้สึกนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว
เขาอาจจะคิดมากไปเอง
หลังจากเลิกงานกลับบ้าน ขณะที่มู่เวยเวยกินข้่าวอยู่นั้น เธอก็รู็ว่าเย่ฉ่าวเฉินยังไม่กลับมา จึงกลับไปพักผ่อนที่ห้อง โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าเย่ฉ่าวเฉินกำลังอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน และพาเฉียวซินโยวกลับมาด้วย การแทรกแซงของเฉียวซินโยวจะทำให้ชีวิตของเธอทุกข์ระทมอย่างถึงที่สุด
……
เช้าวันต่อมา
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นตรงเวลา มู่เวยเวยตื่นขึ้นมาอย่างสะลืมสะลือ และลงจากเดินไปเข้าห้องน้ำ และทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามา มู่เวยเวยคิดว่าคงเป็นฉินหม่ามาเตือนให้เธอไปกินข้าว เธอจึงพูดว่า “เดี๋ยวลงไปค่ะฉินหม่า”
ทันใดนั้นก็มีใบหน้าที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นบนกระจกหน้าอ่างล้างหน้า ทำให้เธอตกใจทันที เธอคิดว่าตัวเองตาฝาด จึงพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว “ซินโยว”
เธอหันหน้ากลับไป แล้วก็พบว่าเฉียวซินโยวมายืนอยู่ตรงหน้าเธอจริงๆ
เฉียวซินโยวแสยะยิ้มอย่างเย็นชา ค่อยๆเดินเข้่าไปใกล้เธอ และพูดเสียงเบา “แปลกใจมากหรอ คงอยากถามฉันล่ะสิว่าทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่แต่เช้า”
มู่เวยเวยพยักหน้ารอเธออธิบาย
เฉียวซินโยวม้วนผมเล่น พลางพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ตั้งแต่วันนี้ไป ฉันก็จะอาศัยอยู่บ้านหลังนี้เหมือนกัน เหตุผลก็เพราะว่า เมื่อคืนเย่ฉ่าวเฉินนอนกับฉัน”
แน่นอนว่าเธอโกหก แต่เธอก็มั่นใจว่า อีกไม่นานเธอก็จะได้เป็นของเย่ฉ่าวเฉิน เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น
ฟังเธอพูดจบ ใบหน้าของมู่เวยเวยก็ซีดเผือด ตัวชาดิกไปทั้งร่างกาย พร้อมพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ซินโยว เธอจะทำอย่างนี้จริงๆหรอ เธอไม่เห็นแก่มิตรภาพของเราสักนิดเลยหรอ”
เฉียวซินโยวเบะปากใส่ และตะคอกอย่างเย็นชา “แกจะให้ฉันพูดอีกกี่ครั้ง ฉันไม่เคยเห็นแกเป็นเพื่อน และตอนนี้สิ่งที่แกควรคิดก็คือ คิดว่าฉันจะไล่แกออกไปจากที่นี่ยังไงต่างหาก”
มู่เวยเวยพิงอ่างล้างหน้าอย่างอ่อนแรง เธอหายใจอย่างรุนแรง และจิกมือค้ำกับอ่างล้างหน้าแน่น สีหน้าผิดหวังของเธอ ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นเย็นชา
เมื่อวานเธอก็ยังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงถึงจะกลับมาคบกันได้ แต่เพียงแค่ผ่านไปคืนเดียว ทุกอย่างก็ไม่สามารถย้อนกลับไปเป้นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
เมื่อเห็นเธอข่มขื่น เฉียวซินโยวก็ยิ่งดีใจ เธอพูดต่อว่า “ฉันแนะนำให้แกออกไปเองตั้งแต่ตอนนี้ดีที่สุด อย่างนั้นแกคงจะไม่รู้สึกอับอายเท่าไหร่ แต่ถ้าแกยังยืนกรานว่าจะต่อกรกับฉัน ก็อย่าคิดว่าฉันจะเมตตา”
เฉียวซินโยวแสดงสีหน้าเจ้าเล่ห์ร้ายกาจออกมา จึงทำให้มู่เวยเวยเพิ่งรู้ว่าที่แท้เฉียวซินโยวน่าเกลียดขนาดไหน ร่างของเธอรู้สึกราวกับจมลงไปในน้ำเย็นจัด จากนั้นก็ร้อนระอุราวกับระเบิดภูเขาไฟ ทำให้เธอเจ็บปวดแทบตาย
เฉียวซินโยวยังคงกระตุ้นประสาทของเธออย่างไม่ยอมปล่อยเธอไป ทันใดนั้นสติของเธอก็หายไปจนหมดสิ้น เธอตะโกนออกมาเสียงดังว่า “หยุดพูดได้แล้ว”
“ปัง”
จากนั้นกระจกตรงหน้าก็แตกออกอย่างรุนแรง ทำให้เฉียวซินโยวสะดุงอย่างตกใจ
มู่เวยเวยหายใจรุนแรง เลือดสีแดงสดค่อยๆไหลตามมือเรียวลงไปที่อ่างล้างหน้าสีขาวสะอาด
เฉียวซินโยวสะดุ้ง และกำลังจะพูดอะไรออกมา แต่นอกประตูก็มีเสียงเท้าหนักๆเดินมาเสียก่อน และเมื่อหันไปมอง คนคนนั้นก็คือ เย่ฉ่าวเฉิน
“เกิดอะไรขึ้น” เย่ฉ่าวเฉินได้ยินเสียงดังไปห้องข้างๆ เขาจึงเดินมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อเขาเห็นมือขวาของมู่เวยเวยเต็มไปด้วยเลือด เขาก็ขมวดคิ้วแน่น และตะโกนเสียงต่ำว่า “อาหวัง เอากล่องยามาด่วน”
อาหวังได้ยินก็รีบเอากล่องยามาอย่างรวดเร็ว และเมื่อเห็นมือที่เต็มไปด้วยเลือดของมู่เวยเวย เขาก็อึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบเปิดกล่องปฐมพยาบาล และหยิบผ้าพันแผลกับกรรไกรออกมา เดินไปตรงหน้ามู่เวยเวยและพันแผลให้อย่างชำนาญ
พันแผลเสร็จ เลือดที่แขนของมู่เวยเวยก็หยุดไหล เย่ฉ่าวเฉินจึงให้คุรอาหวังออกไป แล้วจึงถามเสียงเย็น “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น”
เฉียวซินโยวชิงพูดออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ “ฉันมาคุยกับเวยเวย แล้วเวยเวยถามว่าทำไมฉันถึงมาอยู่นี่ได้ ฉันเลยบอกว่า…..ช่วงนี้ฉันมาอยู่ที่นี่สักพัก”
เย่ฉ่าวเฉินมองหน้ามู่เวยเวย และเห็นว่าเธอไม่พูดอะไรเลย เขาจึงถามอย่างเสียงเย็น “แค่นี้หรอ”
เฉียวซินโยวแกล้งบีบน้ำตา พร้อมพูดอย่างเศร้าหมอง “ฉันเข้าใจเธอดีค่ะ ถ้าเป็นฉัน ฉันก็คงรู้สึกไม่สบายใจ ฉันขอโทษจริงๆที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ฉันจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้แหละ”
เฉียวซินโยวหันหลังจะออกไป แต่ข้อมือก็ถูกเย่ฉ่าวเฉินรั้งไว้ก่อน เขาพูดอย่างเย็นชา “คุณอยู่ที่นี่แหละ ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น”
มู่เวยเวยชาไปทั้งร่าง หลังจากได้ยินคำพูดโกหกของเฉียวซินโยว เธอถึงเพิ่งรู้ว่าที่จริงผู้หญิงคนนี้เป็นคนยังไง
เธอเป็นเหมือนงูเห่าที่ซ่อนตัวอย่างชาญฉลาดมาตลอด แต่ตอนนี้กลับเปิดเผยตัวตน และพ่นพิษใส่เธออย่างไร้ความปราณี
เรื่องนี้จะโทษใครได้ ก็เหมือนที่เธอพูดนั่นแหละ ว่าคนโง่ก็สมควรถูกรังแก
เย่ฉ่าวเฉินหันกลับมามองคนที่ยืนเหม่ออยู่ ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา และพูดอย่างเย็นชา “มู่เวยเวย ฉันเพิ่งจะเห็นตัวตนที่แท้จริงของเธอก็วันนี้แหละ ตอนนี้เพื่อนสนิทกำลังตกที่นั่งลำบาก แต่เธอกลับเหยียบซ้ำ”
มู่เวยเวยตะลึงมองเขาเงียบๆ ก่อนจะพูดเน้นๆ “เธอกำลังโกหก”
ดวงตาสีดำบริสุทธ์ แฝงไปด้วยความคาดหวัง
เธอต้องการให้เขาเชื่อเธอ
เย่ฉ่าวเฉินใจกระตุกขึ้นมา ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร เฉียวซินโยวก็ร้องไห้ และพูดออกมาเสียงสั่นๆ “เวยเวยฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ เธออย่าทำอย่างนี้ ฉันกลัว”
มู่เวยเวยนิ่งมาก เมื่อเห็นเฉียวซินโยวแกล้งบีบน้ำตา ตาของเธอก็นิ่งมากขึ้น
เสียงนั้นทำให้ต่อมเหตุผลของเย่ฉ่าวเฉินหยุดทำงานกะทันหัน เขาเห็นมู่เวยเวยยังคงยืนนิ่ง ไม่รู้สึกอะไร จึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้ใจเธอมันด้านชาขนาดไหน
เย่ฉ่าวเฉินเดินไปดึงแขนข้างที่ไม่เจ็บของเธอออกไปนอกห้อง เดินลงบันไดมาจนถึงห้องโถง จากนั้นจึงปล่อยแขนเธออย่างรังเกียจ และประกาศต่อหน้าทุกคนว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณเฉียวซินโยวจะอยู่ที่นี่”
พูดจบ ทุกคนก็มองหน้ากันอย่างงงๆ
มู่เวยเวยเศร้าอย่างหมดอาลัยตายอยาก เลือดที่หยุดไปแล้วก็พลันไหลออกมาอีกครั้ง
เย่ฉ่าวเฉินเห็นว่าเธอยังนิ่งเฉยก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พูดต่อว่า “เฉียวซินโยวเป็นแขกพิเศษที่ฉันพามา ทุกคนต้องดูแลเธอเหมือนดูแลฉัน ใครกล้าแตะต้องเธอ ก็เตรียมออกไปจากที่นี่ได้เลย เข้าใจรึยัง”
“ครับ”
“ค่ะ”
เฉียวซินโยวยืนอยู่ข้างหลังเย่ฉ่าวเฉินยกยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ พลางคิดในใจว่า มู่เวยเวย แกไม่มีทางเอาชนะฉันได้หรอก แกคิดว่าเย่ฉ่าวเฉินจะเชื่อแกหรอ มั่นหน้าเกินไปรึเปล่า
อีกไม่นานเธอจะมาเป็นคุณผู้หญิงของที่นี่
จนทุกคนออกไปหมดแล้ว มู่เวยเวยก็ยังยืนอยู่กับที่ มองทั้งสองคนที่กินข้าวกันอย่างมีความสุขด้วยใจเย็นชา
เมื่อสักครู่เขาตั้งใจประกาสต่อหน้าทุกคน ไม่ให้ทุกคนละเลยซินโยว เขาทำให้มันดูเหมือนการบอกกับคนอื่น ทั้งๆที่จริงแล้ว เขาตั้งใจบอกกับเธอ
ไม่รู้ทำไม อยู่ดีๆเธอก็รู้สึกว่าทั้งคู่เหมาะสมกันมาก เย็นชาเหมือนกัน ไร้มนุษยธรรมเหมือนกัน อย่างกับผีเน่ากับโรงผุ
ถ้าตำแหน่งนี้ซินโยวจะแย่งไป เธอก็ยินดี อย่างน้อยเธอก็จะได้ไม่ต้องทนรับการทรมานจากเย่ฉ่าวเฉินอีก
เฉียวซินโยวนั่งคีบอาหารให้เขาอย่างแนบชิด และไม่วายส่งสายตาเย้ยหยันมาให้เธอ
เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นเธอยังยืนนิ่งเป็นรูปปั้น ก็พูดอย่างเย็นชาว่า “ยังยืนนิ่งอยู่ทำไม จะรอให้คนอื่นไปป้อนรึไง”
มู่เวยเวยตวัดสายตาไปมองเขาอย่างเย็นชา และหันหลังเดินขึ้นบันไดไป
ยัยผู้หญิงสมควรตาย กล้าดียังไงมาเมินเขา
เย่ฉ่าวเฉินจ้องแผ่นหลังเธอเขม็ง และวางตะเกียบลงอย่างโมโห ก่อนที่ใจจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้
เขารู้สึกว่าเธอเปลี่ยนไป แม้เมื่อก่อนเธอจะไม่กล้าต่อต้าน แต่ในสายตาของเธอก็ยังแสดงอารมณ์โกรธออกมา ไม่เหมือนตอนนี้ที่สายตามีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีอารมณ์ใดๆ ราวกับได้ถึงขีดสุดแล้ว จึงเหลือแต่ใจที่ว่างเปล่าเย็นชา
“เวยเวยโกรธหรอคะ งั้นฉันไปเรียกเธอลงมาดีมั้ย” เฉียวซินโยวเห็นเย่ฉ่าวเฉินเหม่อไป และเธอก็รู้ด้วยว่าเป็นเพราะใคร มันจึงทำให้เธอรู้สึกอิจฉาขึ้นมาในใจ
เย่ฉ่าวเฉินหลุดออกจากพวังแล้ว จึงตอบเธออย่างเย็นชา “ไม่ต้องไปสนใจ ฉินหม่า”
เมื่อได้ยินเสียงเรียก ฉินหม่าก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว และพูดอย่างนอบน้อม “คุณชาย มีอะไรให้รับใช้คะ”
เย่ฉ่าวเฉินถอดเนคไทด์ออกอย่างหงุดหงิด และรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก เขาสั่งเสียงต่ำว่า “วันนี้ไม่ต้องเตรียมอาหารไว้ให้คุณผู้หญิง ดูซิว่าจะทนได้สักกี่น้ำ”
ฉินหม่าตกใจ และพูดอย่างทนไม่ได้ “คุณชายคะ อย่างนี้ไม่ดีมั้งคะ คุณผู้หญิงเพิ่งเลือดออกเยอะขนาดนั้น”
เย่ฉ่าวเฉินพูดเสียงเข้ม “นั่นเป็นเพราะเธอทำตัวเอง และอย่าให้เห็นว่าเตรียมไว้ให้นะ ไม่งั้นก็ออกจากบ้านตระกูลเย่ไป”
ฉินหม่าสะดุ้ง ไม่กล้าพูดมากอีก เธอรีบกลั้นใจตอบออกไปว่า “ทราบแล้วค่ะคุณชาย”
เมื่อเธอออกไปแล้ว เย่ฉ่าวเฉินก็ยืนขึ้นอย่างหงุดหงิด และบอกเฉียวซินโยวว่า “ผมไปทำงานที่ห้องหนังสือก่อน ถ้าคุณว่างก็ให้คุณอาหวังพาไปเดินดูรอบๆบ้านได้”
เฉียวซินโยวพยักหน้า พูดอย่างอ่อนโยนและห่วงใย “ค่ะ อย่าทำงานหนักนะคะ”
เย่ฉ่าวเฉินนิ่งไป ก่อนจะพยักหน้า และเดินขึ้นไปอย่างไม่หันกลับมาอีกเลย
เฉียวซินโยวมองตามแผ่นหลังสง่างามของเขา และยกยิ้มออกมาอย่างมีชัย ก่อนพึมพำว่า “มู่เวยเวย ตอนนี้แกคงจะหนีไปร้องไห้ในห้องแล้วสินะ”
……
มู่เวยเวยนอนมองเพดานอยู่บนเตียงนิ่ง เพราะเสียเลือดมากเกินไป บวกกับไม่ได้กินอาหารมาทั้งวัน ทำให้เธอรู้สึกหน้ามืดทันทีที่ขยับตัว
เมื่อวานหลังจากที่ได้ยินคำสั่งของเย่ฉ่าวเฉิน เธอก็อยู่แต่ในห้อง เธอต้องการเวลาแยกแยะเรื่องราวที่เกิดขึ้นช่วงนี้ เธอยังคิดไม่ตก เมื่อคนที่อยู่ข้างกายกลายมาเป็นศัตรู
ทันใดนั้น ประตูก็ถูกเปิดเข้ามา ตามด้วยแสงแดดส่องกระแทกตาเธออย่างจัง จนต้องยกมือขึ้นมาบังไว้
เสียงรองเท้าส้นสูงดังขึ้น ก่อนจะเห็นใบหน้าพอใจของเฉียวซินโยว
เฉียวซินโยวมองสภาพเธอ และพูดอย่างสมเพศ “เวยเวย ทำไมล่ะ ดูสภาพแกตอนนี้สิ พอคิดถึงตอนที่แกได้ทุนสมัยเรียนแล้ว แกไม่รู้สึกว่ามันไม่คุ้มบ้างหรอ”
มู่เวยเวยนิ่งเฉย หัวใจรู้สึกเสียดแทงอย่างเจ็บปวด เธอถามเสียงแหบพร่า “ซินโยว ทำไมฉันถึงทนใจร้ายแบบเธอไม่ได้ ฉันอยากถามเธอแค่คำถามเดียว เธอไม่รู้สึกอะไรกับฉันเลยจริงๆหรอ”
พูดจบสายตาของมู่เวยเวยก็เป็นประกาย แสดงความคาดหวังอันริบหรี่
เฉียวซินโยวแสยะยิ้ม ตอบรังเกียจ “ไม่เลยสักนิด”
พูดจบ ความหวังอันริบหรี่ของมู่เวยเวยก็ดับสลาย เหลือไว้เพียงความมืดมิด
“เธอมาหาฉันทำไม” มู่เวยเวยไอเบาๆ และถามอย่างหม่นหมอง
เฉียวซินโยวแสดงสีหน้ารังเกียจ ราวกับเธอเป็นตัวเชื้อโรค และนั่นก็ทำให้มู่เวยเวยหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาและสิ้นหวัง
“ฉันจะมาถามแกว่า แกตั้งใจจะหย่ากับเย่ฉ่าวเฉินเมื่อไหร่” เฉียวซินโยวมองไปหน้าซูบผอมของเธอ และถามอย่างเย็นชา
มู่เวยเวยมองเธอ และพูด “ถ้าเป็นเรื่องนี้ ตอนนี้ฉันไม่อยากฟัง เชิญออกไปด้วย”
เมื่อได้ยินเธอพูดอย่างนี้ เฉียวซินโยวก็ขมวดคิ้ว และพูดอย่างเกรี้ยวกราด “เรื่องนี้ยังไงแกก็ต้องได้เผชิญ เจ็บสั้นๆดีกว่าเจ็บยาวนะ ทำไมแกต้องไม่ยอมปล่อยมันผ่านไปด้วย”
“เธอพูดแบบนี้ในฐานะอะไรล่ะ ผู้หญิงของเย่ฉ่าวเฉิน หรือคุณผู้หญิงของบ้านนี้” มู่เวยเวยเจ็บใจจนแทบตาย จึงพูดออกมาอย่างรุนแรง
เธอไม่ได้สนใจผู้หญิงคนนี้แล้ว แต่ทำไมตัวเองยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่
เฉียวซินโยวตะลึง ไม่คิดว่ามู่เวยเวยจะพูดอย่างนี้ใส่ จึงคิดคำพูดไม่ออกกะทันหัน
“เธอออกไปเถอะ ตอนนี้ฉันไม่อยากพูดเยอะ” มู่เวยเวยรู้สึกว่าตัวเองเจ็บไปทั้งตัวใจ ขนาดน้ำเสียงยังอ่อนแรง
เฉียวซินโยวมองเธอ และพูดอย่างโกรธๆ “มู่เวยเวย ยังไงตำแหน่งคุณผู้หญิงของบ้านตระกูลเย่ก็ต้องเป็นของฉัน แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
เสียงรองเท้าส้นสูงค่อยๆดังห่างออกไปเรื่อยๆ มู่เวยเวยรู้สึกหนักหัวขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็หลับไป
มู่เวยเวยรู้สึกว่าตัวเองเบาๆ ราวกับกำลังลอยออยู่บนเมฆ รอบๆตัวเป็นสีขาวไปหมด ที่นี่คือที่ไหน
ขณะที่เธอสงสัยอยู่นั้น ข้างหน้าเธอไม่ไกลก็มีสองร่างยืนอยู่ เธอจ้องมองดีๆ ก่อนจะเห็นว่าเป็นพ่อกับแม่ของเธอเอง
มู่เวยเวยดีใจมาก รีบโบกมือไป และพูดว่า “คุณพ่อ คุณแม่ หนูอยู่นี่”
แต่พวกเขาก็ไม่ตอบสนองกลับมา เพียงแค่ลมพัดผ่าน เงาของพ่อกับแม่ของเธอก็เริ่มหายไป
มู่เวยเวยตกใจ รีบวิ่งตรงไปเพื่อจะรั้งร่างทั้งสองไว้ ก่อนที่เธอจะได้ยินทั้งคู่พูดว่า “เวยเวยเด็กดี ลูกไม่ควรมาที่นี่ รีบกลับไป ลูกกับเทียนเย่ต้องใช้ชีวิตให้ดี….”
“อย่าไป คุณพ่อ คุณแม่ อย่าทิ้งหนู” มู่เวยเวยรีบตะโกนเสียงดัง สุดท้ายก็เห็นร่างทั้งสองหายไปกับตา
มู่เวยเวยยืนอยู่กับที่อย่างหมดหวัง จากนั้นเธอก็รู้สึกเจ็บตรงแขนขึ้นมาจนต้องขมวดคิ้ว บรรยากาศสีขาวรอบตัวค่อยๆหายไป เหลือแต่สีดำมืดมิด
“มู่เวยเวย เธอลืมตาขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะไม่ปล่อยเธอแน่ ฉันจะทำลายตระกูลมู่ ฉันจะฆ่าพี่ชายเธอ”
เสียงดังจัง…..
เสียงคุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างหูไม่หยุด แต่เธอไม่สามารถลืมตาได้จริงๆ
ทันใดนั้น แขนของเธอก็เจ็บจนทนไม่ไหว
“เจ็บ….” มู่เวยเวยค่อยๆลืมตา ก่อนจะเห็นใบหน้าน่าเกลียดของเย่ฉ่าวเฉิน อารมณ์ของเขาดูแทบจะระเบิดออกมา เป็นประสาทอะไรขึ้นมาอีกล่ะ