ในที่สุดก็จบสักที มู่เวยเวยทิ้งตัวลงนอนบนเตียงและมองไปที่เย่ฉ่าวเฉินที่แต่งตัวสบายๆด้วยความโกรธ
” คุณจะเอาอะไรอีก? ” มู่เวยเวยพูดด้วยความโมโห
เย่ฉ่าวเฉินกลับมาทำตัวเย็นชาตามปกติแล้วพูดอย่างนิ่งๆว่า “วันนี้หลังเลิกงานกลับบ้านให้ตรงเวลาด้วย ”
มู่เวยเวยสีหน้าโมโหมาก เขาอยากไล่เธอก็ไล่ ตอนนี้จะมาบอกให้เธอกลับบ้าน เธอก็ต้องกลับงั้นหรอ? เขามีสิทธิ์อะไร? เธอไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของเขานะ!
” นี่คุณกำลังสั่งฉันอยู่แล้ว? ตอนแรกคุณเป็นคนไล่ฉันออกไปเอง คุณคิดว่าคุณเป็นใคร? คุณบอกให้ฉันกลับ ฉันก็ต้องกลับหรอ? ตลกสิ้นดี!” มู่เวยเวยหัวเราเยาะและตอบปฎิเสธเสียงแข็ง
ตั้งแต่โดนเฉียวซินโยวใส่ร้าย แค่คิดถึงเรื่องที่เขาดูถูกเธอต่างๆนาๆ เธอก็รู้เลยว่าผู้ชายคนนี้ไม่มีความเป็นมนุษย์เลยสักนิด!
ถึงแม้ว่าเธอจะแสดงออกว่าเธอกลัว เธออ่อนแอ แต่เขาก็ไม่เคยแสดงออกว่าเห็นใจเธอเลยแม้แต่นิดเดียว!
ตอนนี้ก็น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดนะ?เมื่อวินาทีก่อนพวกเขาอยากอยู่ด้วยกันแทบตาย ผ่านมาแค่วินาทีเดียวกลับมาจับคอเธอแบบไม่มีทีท่าจะปล่อย
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว ตั้งแต่เฉียวซินโยวตกบันได เธอก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน
เช่นเดียวกับตอนนี้ เขารู้ว่าเธอในตอนนี้อ่อนแอมาก แต่เธอก็ยังกล้าเผชิญหน้ากับเขาอย่างกล้าหาญ อะไรกันที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้?
ยัยผู้หญิงคนนี้……
มู่เวยเวยรู้สึกได้ถึงลมหายของตัวเองยิ่งอยู่ยิ่งเบาขึ้นเรื่อยๆ เหมือว่าเธอกำลังจะหายใจไม่ออก ทันใดนั้นเย่ฉ่าวเฉินก็ปล่อยมืออกจากเธอ มู่เวยเวยรีบสูดหายใจเข้าอย่างเร็ว เพราะว่าการกระทำที่รุนแรงเธอจึงหายใจไม่ออก
ไม่ง่ายเลยที่เธอจะปรับลมหายใจให้กลับมาปกติได้ มู่เวยเวยจึงเดินผ่ายเย่ฉ่าวเฉินออกไปอย่างนิ่งๆโดยไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
หลังจากออกจากห้องทำงานของเย่ฉ่าวเฉินเธอก็ไปยังห้องออกแบบเลย และในตอนนั้นเองมู่เวยเวยก็เห็นเฉียวซินโยวที่พึ่งออกจากโรงพยาบาล
ที่เฉียวซินโยวออกจากโรงพยาบาลก่อนกำหนดก็เพราะว่าเธอเกรงว่านช่วงเวลาที่เธอไม่อยู่มันจะเกิดกการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น เธอจึงให้คนจัดการทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลอย่างไวที่สุด เพื่อที่เธอจะได้จับตามองมู่เวยเวยอย่างใกล้ชิด
เธอคิดว่าฉ่าวเฉินจะไล่มู่เวยเวยออกจากบริษัทสะอีก เธอเตรียมตัวที่จะหัวเราะเยอะมู่เวยเวยแล้วเชียว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอนั่นแหละที่กลายเป็นตัวตลกไปสะเอง!
ฉ่าวเฉิน ทำไมคุณถึงทำกับฉันแบบนี้? คุณรู้มั้ยว่าใจของฉันเจ็บมากขนาดไหน?
เฉียวซินโยวแค้นใจมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย
เธอใช้เล็บขูดไปที่โต๊ะไม้อย่างแรงจนมีเสียง ซื่อซื่อ– ด้วยความที่เธอขูดอย่างรุนแรงทำให้เล็บของเธอหักจนเลือดอาบไปทั้งโต๊ะ
“คิดไม่ถึงเลยว่ายังจะเจอเธอที่นี่อยู่อีก! ” เฉียวซินโยวตัวแข็งทื่อไปหมด และใบหน้าของเขายิ้มออกมาอย่างเย็นชา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น
มู่เวยเวยไม่สนใจเธอเลยแม้แต่น้อยว่าเธอจะรู้สึกยังไง และเดินผ่านเธอไปเหมือนคนไม่รู้จักกัน
” เธอเป็นใบ้หรอ? หรือว่าไม่กล้าพูด! “เฉียวซินโยวสูดหายใจเข้าอย่างแรงและพูดด้วยความโกรธที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน
มู่เวยเวยก็ยังคงไม่สนใจเธอ และมองดูเอกสารเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เธอเข้าใจแล้วว่าการแก้แค้นที่ดีไม่ใช่การตอบโต้ที่รุนแรงแต่เป็นการเพิกเฉยอย่างไร้ความรู้สึก
เฉียวซินโยวอยากตบเธอมากแต่ก็ต้องอดทันเอาไว้ เพราะที่นี่ไม่ได้มีพวกเขาแค่สองคน แต่ยังมีเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆอีก เธอต้องอดทนให้ได้ เธอต้องทำตัวเป็นคนดีและน่าสงสารต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน
เฉียวซินโยวบังคับให้ตัวเองหันหลังกลับและทำเป็นไม่สนใจเธอ
และในขณะนั้นเอง มู่เวยเวยใช้สายตาที่น่ากลัวของเธอและพูดอย่างนิ่งว่า “ฉันไม่ใช่แค่ยังอยู่ในบริษัทนะ เฉ่าเฉินพึ่งจะตอบตกลงให้ฉันกับบ้านตระกูลเย่ด้วย ”
” อะไรนะ? เฉียวซินโยวพูดขึ้นอย่างแรงกล้า ในตอนหลังเธอรู้ว่าเพื่อนร่วมงานมองอยู่ เธอก็เลยค่อยๆลดเสียงลงแล้วพูดอย่างเบาๆ ” ฝันไปเถอะ! เธอคิดว่าฉันจะเชื่อเธอหรอ? ”
” เหอะเหอะ! “มู่เวยเวยหัวเราะแห้งและตอบกลับอย่างนิ่งๆ “จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เลย ”
เฉียวซินโยวเจ็บไปถึงหัวใจและโกรธมากด้วย สติเธอเกือบหลุดออกจากร่างเลยทีเดียว และพูดขึ้นอย่างหยิ่งๆว่า “เธอยอมหย่ากับเย่ฉ่าวเฉินแล้วไม่ใช่หรอ? ตอนนี้เปลี่ยนใจ? ”
มู่เวยเวยหันไปมองเธอด้วยสายตาเย็นชาแล้วพูดอย่างจงใจเหยียดเสียง ” ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยาก เมื่อกี้ฉันก็พึ่งพูดเรื่องนี้กับเขา คนที่ไม่อยากหย่าไม่ใช่ฉัน ”
สังเกตุเห็นเฉียวซินโยวที่ไม่พอใจหนักมาก มู่เวยเวยก็ยิ่งพูดตอกย้ำไปอีกว่า ” เธอมาทำหน้าทำตาแบบนี้กับฉันก็เปล่าประโยชน์ ทางที่ดีฉันขอแนะนำให้เธอไปพูดกับเย่ฉ่าวเฉินให้ยอมหย่ากับฉันดีกว่า ยังไงสะสิทธิ์ทุกอย่างก็อยู่ที่เขา ”
เฉียวซินโยวน่ะเฉียวซินโยว เธอคิดว่าฉันยังเป็นคนโงเหมือนแต่ก่อนอยู่อีกหรอ?
เธอฉันจะไม่ได้ร้ายกาจแบบเธอ แต่เธอก็อย่าคิดเลยว่าจะทำอะไรฉันได้แม้แต่ปลายเล็บ!
เมื่อถึงเวลาอาหารเที่ยง เฉียวซินโยวก็ไปหาเย่ฉ่าวเฉินตามคาด เธอพยายามปกปิดความรู้สึกของเธอเอาไว้ แล้วมองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเย่ฉ่าวเฉินแล้วค่อยๆพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า ” ฉ่าวเฉิน ได้เวลากินข้าวแล้ว ”
เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้นมอง และวางปากกาลง จากนั้นก็ลากมือเธอมาที่ห้องรับแขกแล้วให้เธอนั่งลงตรงโซฟาและบอกกับเธออย่างนุ่มนวลว่า ” ทำไมไม่พักผ่อนที่โรงพยาบาลให้นานกว่านี้อีกหน่อย? ”
เฉียวซินโยวหน้าซีดทันที ใจของเธอเหมือนโดนกรรไกรตัดออกเป็นชิ้น บรรยากาศเหมือนเต็มไปด้วยความขมขื่น เมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อกี้ ที่คอของมู่เวยเวยที่มีรอยแดงเป็นจ้ำๆอยู่ เธอก็รู้สึกโกรธแค้นมาก!
” ซินโยว เธอเป็นอะไรไป? ” สังเกตว่าเธอผิดปกติมั้ยเย่ฉ่าเฉินจะถามขึ้นอย่างสงสัย
เฉียวซินโยวพยายามอย่างเต็มที่ที่จะอดกลั้นความรู้สึกของเธอในตอนนี้ แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆจากนั้นพูดอย่างนิ่งว่า ” ฉันรู้สึกว่าที่นี่น่าเบื่อนิดหน่อย เราออกไปกินข้างนอกกันดีมั้ย? ”
เย่ฉ่าวเฉินหยุดคิดไปชั่วขณะแล้วค่อยๆพยักหน้าตอบรับ
เมื่อกลับถึงบริษัทอีกครั้ง เฉียวซินโยวก็รู้สึกสบายใจขึ้นมากๆ เธอตักอาหารให้ฉ่าวเฉินอยู่ตลอดๆและพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า ” ฉ่าวเฉิน คุณทำงานหนักตลอดเลย คุณต้องกินเยอะๆนะ ”
” โอเค ” เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้า
เมื่อมองไปที่เฉียวซินโยว เขาไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกอะไรกับเธอเลย เขาเริ่มชินกับความอ่อนโยนและความใส่ใจของเธอ
แม้กระทั่งในใจของเย่ฉ่าวเฉินยังคิดเลยว่าเธอเหมาะสมกับตำแหน่งภรรยามากกว่าเพราะเธอรู้ว่าผู้ชายต้องการอะไร
เฉียวซินโยวรู้ตัวว่าถูกเย่ฉ่าวเเฉินมองอยู่ หน้าเธอก็แดง และเธอก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เขามองเธอ ถึงเธอจะไม่รู้ว่าความรุ้สึกนั้นจะเป็นยังไง แต่เธอมั่นใจว่าเขารู้สึกดีกับเธอ
ถึงแม้เธอจะไม่พอใจมากๆกับเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น แต่เธอต้องจัดการอารมณ์ตัวเองให้ได้ ต้องเตือนตัวเองว่าอย่าตื่นตระหนก เธอต้องเชื่อมั่นในตัวเอง สุดท้ายแล้วชัยชนะนั่นต้องเป็นของเธอ!
เฉียวซินโยวหน้าแดงและพูดอย่างเขินอายว่า ” ทำไมคุณมองฉันด้วยสายตาแบบนี้? ”
เย่ฉ่าวเฉินเอื้อมมือไปสัมผัสหน้าเธอแล้วฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความสุขแล้วค่อยๆพูดขึ้นว่า ” ฉันกำลังคิดอยู่ว่าต้องเป็นพ่อแม่แบบไหนกันถึงเลี้ยงลูกได้น่ารักและเรียบร้อยขนาดนี้? ”
เฉียวซินหน้าแดงเหมือนลูกพีช สายตาของเธอจ้องมองไปที่เขา เธอกัดริมฝีปากตัวเองแน่นและค่อยๆเลือนริมฝีปากไปใกล้ๆหน้าเขาจากนั้นหอมแก้มเขาไปหนึ่งฝอด
กำลังจะเดินกลับ ทันใดนั้นเย่ฉ่าวเฉินก็คว้าเธอมาจูบอย่างเร่าร้อน ตัวของเธอลอยอยู่บนร่างกายของเขา เธอส่งเสียงครางออกมาเล็กน้อย- อือ
เขาต้องการเธอหรอ?
ร่างกายของเฉียวซินโยวร้อนไปทั้งตัว หัวเขามีเพียงความคิดนี้ หัวใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ
“ตืดตืด……” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทันใดนั้นบรรยากาศก็ถูกทำลายลง
มองไปที่แผ่นหลังของเขาที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ตรงระเบียง ในใจของเธอแอบรู้สึกเสียดายนิดๆ เป็นเพราะสายโทรศัพท์นี้เลยที่โทรมาไม่รู้เวลาเลย
ไอ้สายโทรศัพท์บ้านี่ เกือบจะสมใจเธอแล้วเชียว. เธอสามารถรู้สึกได้ว่าเย่ฉ่าวเฉินเริ่มรู้สึกดีกับเธอแล้ว แต่กลับ……
หลังจากวางสาย เย่ฉ่าวเฉินก็มากลับมาข้างๆเฉียวซินอยู่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ ทั่งสองคนต่างรู้สึกเขินๆนิดหน่อย และไม่มีใครกล้าพูดถึงมันอีกเลย
ขณะที่ต่างคนต่างกิน เฉียวซินโยวก็คิดอะไรบางอย่างได้จึงทำขึ้นอย่างเบาๆ “ฉ่าวเฉิน เวยเวยบอกกับฉันว่าที่คุณแต่งงานกับเธอมีเหตุผลอื่น เหตุผลอะไรกันหรอ? ”
เย่ฉ่าวเฉินเคร่งขรึมขึ้นมาก และพูดด้วยน้ำเสียงโกรธๆ ” เธอพูดกับเธอแบบนี้หรอ? ”
เฉียวซินโยวพยักหน้าทันทีแล้วพูดอย่างนิ่งๆว่า ” เธอบอกว่าเธอขอคุณหย่าแต่คุณไม่ยอมหย่า เธอเหมือนว่าจะโกรธเล็กน้อย……”
มู่เวยเวย เธอนี่จริงๆเลย!
ที่ฉันไม่ยอมหย่ากับเธอ เธอคงคิดว่าเธอแน่มากสินะ?
เย่ฉ่าวเฉินหน้าเคร่งขรึมมากขึ้นไปอีก และพูดอย่างนิ่งว่า “แล้วเธอได้พูดถึงเหตุผลที่ฉันไม่ยอมหย่ามั้ย?”
เฉียวซินโยวตกใจและหยุดคิดสักพักหนึ่งแล้วคิดถึงเรื่องที่หนานกงเฮ่าพูดเมื่อวาน และพยายามหาปัญหาของเขาทั้งสองแล้วค่อยๆพูด……
“เวยเวยบอกว่า คุณก็แค่ไม่อยากให้เธอสมใจ สิ่งที่เธออยากทำคุณก็จะไม่ยอมให้เธอได้ดั่งใจ “เฉียวซินโยวค่อยๆพูดและสังเกตสีหน้าท่าทางของเขาไปด้วย
คำพูดพวกนี้เธอคิดและพูดขึ้นเองมั่วๆ จุดประสงของเธอไม่เพียงแต่อยากได้ยินคำนั้นจากเย่ฉ่าวเฉิน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเธอต้องทำลายความสัมพันธ์ของสองคนนั้นให้ได้
” เธอช่างประเมินตัวเองสูงจริงๆ “เย่ฉ่าวเฉินกัดฟันแน่นแล้วพูดขึ้นด้วยความโกรธ
” แล้วมันเพราอะไรล่ะ? ”
เย่ฉ่าวเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มองไปที่ใบหน้าอันอ่อนหวานของเฉียวซินโยว เดิมทีที่อยากจะปฎิเสธก็ไม่กล้าพูดออกจากปาก
“ฉันกับมู่เวยเวยเราไม่มีความสัมพันธ์อะไรต่อกันทั้งนั้น ที่ฉันแต่งงานกับเธอก็เพื่อที่จะล่อให้มู่เทียนเย่ออกมาเท่านั้นเอง ” เย่เช่าเฉินพูดเสียงต่ำ
เฉียวซินโยวมองเขาตาโต แกล้วทำท่าทางตกใจแล้วพูดว่า “เป็นเพราะพี่ชายของมู่เวยเวยหรอ? ”
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว แล้วใช้สายตามองเขาอย่างตาแข็ง แล้วค่อยๆพูดว่า ” รู้จักพี่ชายเธอหรอ”
เฉียวซินโยวส่ายหน้า ค่อยพูดอย่างอ่อนโยน ” ฉันไม่เคยเจอเขาหรอก แต่ว่าตอนที่ฉันเรียนอยู่กับเวยเวยเธอมักจะพูดถึงพี่ชายเธอบ่อยๆว่าเธอคิดถึงพี่ชายมาก เลยได้ยินชื่อพี่ชายเธอมาบ้าง ”
เย่ฉ่าวเฉินทำท่าครุ่นคิดแล้วค่อยๆถามว่า ” ซินโยว เวยเวยได้พูดกับเธอบ้างมั้ยว่าช่วงนี้พี่เธอเป็นยังไงบ้าง? ”
เฉียวซินโยวไม่ได้สนใจเขา เธอเอาแต่ดีใจที่รู้ว่าที่แท้เย่ฉ่าวเฉินแต่งานกับเวยเวยก็เพราะพี่ชายของเธอ!
ถ้าเป็นแบบนี้ก็ยิ่งเข้าทางเธอเลยล่ะ!
เฉียวซินโยวทำท่าหยุดคิดไปพักหนึ่งแล้วค่อยๆส่ายหัวแล้วพูดว่า ” เวยเวยพูดเพียงว่าพี่ชายของเธอหายตัวไปนานมากแล้ว เธอเองก็พยายามตามหาตัวอยู่ ”
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินฟังอย่างนั้น ก็รู้สึกสิ้นหวังทันที
ที่เขายอมพูดเรื่องนี้กับเฉียวซินโยว เพราะว่าเขาอยากรู้ข่าวคาวของมู่เทียนเย่ แต่ตอนนี้จะดูเหมือว่ามู่เวยเวยก็ไม่รู้ข่าวข่าวของพี่ชายเธอเหมือนกัน
มู่เทียนเย่ นานที่มันหลบดีจริงๆ! แต่ว่าไม่ว่าจะต้องพลิกแผ่นดินหา ฉันก็จะหาคุณให้เจอ!
เฉียวซินโยวทำเป็นไม่รู้สึกอะไรแล้วค่อยพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน ” ฉ่าวเฉิน ระหว่างคุณกับพี่ชายของเวยเวยแท้จริงแล้วพวกคุณมีเรื่องอะไรกัน? เวยเวยรู้เรื่องมั้ย? ”
เย่ฉ่าวเฉินสีหน้าหงุดหงิดแล้วพูดโดยใช้เสียงโทนต่ำว่า ” ซินโยว เรื่องบางเรื่องเธอก็ไม่ควรอยากรู้ ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่เป็นผลดีกับเธอมากเท่านั้น เข้าใจมั้ย? ”
เขารู้ว่าซินโยวกำลังจะหลอกเธอเขา ซึ่งเขาไม่ชอบให้ใครมาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวมากเกินไป
ซินโยวอึ้งไปเลย ชาไปทั้งตัว เธอได้ใจมากเกินไปจนเกือบลืมตัว
เธอคิดถึงแต่ก่อนที่เธอเคยเห็นบนหนังสือพิมพ์ ที่เขากำจัดคนที่พยายามจะสอดรู้สอดเห็นเรื่องส่วนตัวเขามันช่างโหดร้ายมาก เธอจึงกลัวจนตัวสั่น
” ฉ่าวเฉิน….. ฉันไม่ได้ตั้งใจ……” เฉียวซินพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่ตกใจ
เมื่อเห็นท่าทีว่าเธอกลัว เย่ฉ่าวเฉินก้กลับมาอ่อนโยนทันที และฉีกยิ้มออกแล้วพูดปลอบเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่ม ” ไม่ต้องกลัวนะ ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก ”
ยัยบื่อนี่ เขาแค่ลองแกล้งหยอกเธอเฉยๆ คิดไม่ถึงว่าจะขวัญอ่อนขนาดนี้
แต่ที่เขาไม่รู้คือ ที่เฉียวซินโยวพูดแบบนี้ก็มีจุดประสงค์บางอย่าง ตอนแรกเธอตกใจคิว่าเขารู้จุดประสงค์ของเธอ พอเขาพูดอย่างงั้นเธอก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา
แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือเขาลืมคิดถึงจุดนี้ไป
พอกินข้าวกลางวันกันเสร็จ เฉียวซินโยวก็กลับไปที่ตำแหน่งเดิมของตัวเอง และเธอก็ใช้สมองที่เธอมีคิดทันทีว่าเธอจะทำอะไรต่อไปดี
ตกลงแล้วฉ่าวเฉินกับมู่เทียนเย่มีเรื่องอะไรกันแน่?
ขณะที่เธอกำลังเกิดความสงสัย เธอก็คิดถึงหนานกงเฮ่าทันที เขากับเย่ฉ่าวเฉินสนิทกัน มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะรู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น?
พอคิดได้อย่างนี้ เธอหยิบโทรศัพทืขึ้นมา และเหลือบตาไปมองมู่เวยเวยแวบหนึ่ง เห็นว่าเธอกำลังออกแบบงานอยู่ จึงรีบใช้เวลานี้ส่งข้อความหาหนานกงเฮ่าทันที
ฉันมีเรื่องอยากจะถามคุณ เจอกันที่เดิม
เวลาไม่เกินห้านาที เธอรีบเปิดกล่องข้อความที่ตอบกลับเพียงข้อความสั้นๆ
ตกลง