รูปนั้นถ่ายตอนที่เธอยังเรียนอยู่มอปลาย ตอนนั้นเธอยังเป็นเด็กสาวที่อ่อนโยนและไร้เดียงสา เธอยิ้มเหมือนดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานและอยู่ในอ้อมแขนของมู่เทียนเย่
ลูบไปที่หน้าของพี่ชายเธออย่างเบามือ ในตอนนั้นเขาหล่อมาก คิ้วเข้มโค้งงอเป็นรูปทรง จมูกโด่งๆ รอยยิ้มบนหน้าที่สมบูรณ์แบบ ทำให้สาวๆหลงเสน่ห์และน่าดึงดูดมากๆ
น้ำตาไหลรินมากขึ้นเรื่อยๆ จิตใจของเธอเต็มไปด้วยความขมขื่น นี่เป็นรูปคู่รูปสุดท้ายที่เธอได้ถ่ายกับพี่ชายเธอ
ในเช้าวันถัดมา เธอก็ได้ข่าวจากคุณลุงของเธอว่าพี่ชายเธอหายตัวไป ตั้งแต่วันนั้นเธอก็ติดต่อกับพี่ชายเธอไม่ได้อีกเลย……
เธอในตอนนั้นร้องไห้ทุกวันจนน้ำตาไหลเป็นลำธารได้แล้ว เธอไม่มีกระจิตกระใจที่จะเรียนเลยแม้แต่นิด เธออยากจะลาออกแล้วออกไปตามหาเขา แต่ว่าสุดท้ายเธอก็รวบรวมและสงบสติได้แล้วคิดว่าแล้วถ้าพี่ชายเธอกลับมาหาเธอ แล้วไม่เจอเธอล่ะ?
และยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่มีข้อมูลอะไรเลยที่จะสามารถตามหาพี่ชายเธอ
” พี่ชาย พี่อยู่ที่ไหน? พี่รู้มั้ยว่ามู่เวยเวยคิดถึงพี่มาก พี่ลืมเวยเวยแล้วใช่มั้ย? พี่ต้องมีปัญหาที่ลำบากมากใช่มั้ย? ”
ค่อยๆออกจากอัลบั้มรูปแล้วเปิดตามองเพดานอย่างช้าๆ เมื่อคิดถึงเรื่องที่พี่ชายบาดเจ็บสาหัส เธอยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้นกว่าเดิม
ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ชายจะเป็นยังไงบ้าง?
เวลาผ่านมาก็หนึ่งเดือนแล้ว คุณลุงน่าจะได้ข่าวคาวของพี่ชายบ้างแล้วแหละใช่มั้ย?
เมื่อคิดได้แบบนี้ มู่เวยเวยก็รวบรวมพลังให้กับตัวเอง แล้วพรุ่งนี้จะไปหาคุณลุงสักหน่อย
……
เช้ารุ่งในวันถัดมา มู่เวยเวยลงมาชั้นล่างมองไปที่เย่ฉ่าวเฉินและเฉียวซินโยวที่กำลังรับประทานอาหาร แล้วพูดขึ้นว่า ” วันนี้ฉันขอลาหยุดหนึ่งวัน ”
เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้นมามองเธอแวบหนึ่งด้วยหน้าตาที่ท่าทีที่ไม่แยแสแล้วพูดขึ้นอย่างนิ่งว่า ” เหตุผล ”
มู่เวยเวยหยุดคิดไปชั่วขณะและพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบเล็กน้อยว่า ” เมื่อวานคุณลุงโทรมาอกว่าให้ฉันกลับไปตระกูลมู่สักหน่อย ”
เมื่อเธอพูดขึ้นยังงั้นเย่ฉ่าวเฉินก็ตาเป็นประกายแล้วพูดขึ้นอย่างไม่แยแสว่า ” ต้องการให้ฉันไปเป็นเพื่อนเธอมั้ย? ”
เธอจะไปถามเรื่องเกี่ยวกับพี่ชายของเธอ แน่นอนว่าเย่ฉ่าวเฉินจะรู้ไม่ได้
มู่เวยเวยส่ายหัวเบาๆ แล้วหาเหตุผลโกหกเขาว่า “วันนี้เป็นวันระลึกถึงคุณพ่อฉัน ฉันและคุณลุงนัดกันว่าจะไปทำความดีให้พ่อ ”
เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้า และยอมโดยปริยาย
มู่เวยเวยรู้สึกโล่งอกไปที แล้วเธอก็นั่งลงรับประทานอาหารอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เก็บกระเป๋าแล้วออกจากบ้านไปทันที
มองมู่เวยเวยที่กำลังเดินออกไป เฉียวซินโยวก็เริ่มมีแผนการของเธอ แล้วจู่ๆเธอก็พูดว่า ” ฉ่าวเฉิน ฉันขอลาหยุดหนึ่งวันได้มั้ย? ”
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วแล้วถามอย่างนิ่งๆว่า ” เธอเป็นอะไรอีก? ”
เฉียวซินโยวรีบใช้สมองแล้วหาข้ออ้างพูดด้วยน้ำเสียงที่เหลืออด
” พอดีว่า เมื่อวานพ่อฉันก็โทรหาฉันบอกว่า…… ขอโทษแทนแม่เลี้ยงฉันด้วย แล้วยังบอกอีกว่าให้ฉันหาเวลากลับบ้านสักหน่อย ”
เย่ฉ่าวเฉินหยุดคิดไปชั่วขณะแล้วพูดขึ้นนิ่งว่า ” ไปสิ เดี๋ยวฉันให้คุณอาหวังเตรียมของขวัญให้เธอนำไปให้พ่อเธอด้วย ”
เฉียวซินโยวดีใจมาก เธอไม่คิดว่าเย่ฉ่าวเฉินจะใส่ใจคนในครอบครัวเธอด้วย แล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า ” ขอบคุณนะ ฉ่าวเฉิน พ่อฉันต้องดีใจมากแน่เลย”
” ไม่เป็นไร ”
มู่เวยเวยตรงไปที่รถแล้วบอกกับคนขับว่าไปที่บริษัทมู่ซื่อ และสั่งให้เขากลับไปก่อนเลยไม่ต้องรอ คนขับรถรับทราบแล้วขับรถออกไปทันที
ที่เธอยอมนั่งรถของตระกูลเย่ออกมาก็เพราะไม่อยากให้เย่ฉ่าวเฉินสงสัย
เธอหันหลังกำลังจะขึ้นตึก คิดไม่ถึงว่าจะเจอคนที่คุ้นเคยเป้นอย่างดีสองคนนี้ มู่เวยเวยขมวดคิ้วและกำลังจะเดินออกจากตรงนี้แต่กลับโดนคนใดคนหนึ่งขวางไว้
” โอ้ นี่มันพี่สาวลูกพี่ลูกน้องนี่นา? ทำไมจะหันกลับโดยไม่ทักทายลูกพี่ลูกน้องคนนี้เลยล่ะ? ” คนนี่พูดก็คือมู่อี้เหยานั่นเองถึงเธอจะแต่งตัวสวยสดงดงามแต่ท่าทางของเธอน่ารังเกียจสิ้นดี เสียดายหน้าสวยๆของเธอยิ่งนัก
มู่เวยเวยเหลือบมองเขาอย่างไร้ความรู้สึกไปแวบหนึ่ง แล้วค่อยๆพูดขึ้นว่า ” ที่แท้ก็อี้เหยาเองหรอ ต้องโทษสายตาฉันที่ดูไม่ออกว่าเป็นเธอ”
“เธอ! ” มู่อี้เหยาจ้องเธอด้วยสายตาที่อาฆาต แล้วค่อยๆหัวเราะออกมา แล้วสะกิดคนข้างๆอย่างลู่จื่อหาง จงใจทำตัวอย่างสนิทสนมกันแล้วพูดว่า ” จื่อหาง เจอลูกพี่ลูกน้องฉันทำไมไม่ทักทายสักหน่อยล่ะ? ”
ลู่จื่อหางเดินไปข้างหน้า แล้วมองหน้ามู่เวยเวยด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนแล้วพูดว่า ” เวยเวย ”
มู่เวยเวยสังเกตเห็นสีหน้าของมู่อี้เหยาบึ้งตึง เธอจึงยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ถากถางว่า ” คุณลู่อย่าเข้าใจผิดในลำดับญาติสิ ตอนนี้คุณควรจะเรียกฉันว่า พี่สาวมากกว่านะ ”
ลู่จื่อหางอึ้งไปเลยมองไปที่ใบหน้าของเธอที่ไม่มีความรู้สึกใดใดเลย ทำให้ในใจของเขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เห็นว่าลู่จื่อหางกำลังลังเล มู่อี้เหยาเบะปากแล้วพูดขึ้นอย่างเหวี่ยงๆว่า ” จื่อหาง ไม่ได้ยินที่พี่เวยเวยบอกหรอ? ในเมื่อเธออยากให้คุณเรียกคุณก้เรียกหน่อยสิ! ”
ลู่จื่อหางเงยหน้าขึ้นมองมู่เวยเวยด้วยหน้าตาที่เหลือเชื่อแล้วพูดขึ้นว่า “เวยเวยเธอเปลี่ยนไปแล้ว แต่ก่อนเธอไม่เคยเป็นแบบนี้! ”
มู่เวยเวยหัวเราะแห้ง แต่ก่อนงั้นหรอ? พวกเขาลืมไปรึป่าวที่เธอต้องเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ก็เพราะพวกเขาทั้งนั้น?
มู่เวยเวยแสดงออกด้วยท่าทีนิ่งๆแล้วพูดว่า ” คนเปลี่ยนไปอยู่เสมอ! ”
ลู่จื่อหางอึ้งไปเลย สีหน้าของเขาเต็มด้วยความโกระแค้นแล้วพูดเสียงเข้มว่า ” เธอคงคิดว่าแต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉินแล้วมันแน่มากสินะ? ตอนเวลาจะพูดจะจาอะไรเลยไม่ต้องคิดถึงความรู้สึกคนอื่น!
” แล้วแต่เลยว่าคุณจะคิดยังไง ” มู่เวยเวยพูดจบก็เดินออกไปโดยไม่สนใจเขา
” มู่เวยเวย หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ”
ได้ยินเสียงมู่อี้เหยามาจากข้างหลัง
” มู่เวยเวยหันหลังกลับมาอย่างช้าๆแล้วถามว่า ” มีอะไร? ”
” เธอมาบริษัทของพวกเราทำไม? เธอมีแผนการอะไรใช่มั้ย! มู่อี้เหยาพุ่งตัวมาข้างหน้าแล้วถามเธออย่างเยือกเย็น
มู่เวยเวยยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความรังเกียจ ” เธอคิดว่าฉันมีแผนอะไร ถ้าฉันมีแผนจริงๆคิดหรอว่าฉันจะบอกเธอ? ”
มู่อี้เหยาโกรธจนหน้าแดง จ้องมองเธอด้วยสายตาอาฆาต แทบจะอยากตบหน้าเขา และพูดด้วยน้ำเสียงโกรธมากว่า ” เธอ! ถ้าไม่พูดก็อย่าคิดเลยว่าจะได้เข้าไป! ”
มู่เวยเวยยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา เธอคิดถึงเฉียวซินโยวทันที นิสัยของทั้งสองคนไม่ต่างกันเลยเหมือนกันสุดๆ
แต่เมื่อคิดถึงเฉียวซินโยวที่ร้ายกาจ เธอก็คิดได้ทันทีว่ามู่อี้เหยาก็แค่หมาน้อยนิสัยเสียคนหนึ่ง เธอรู้สึกยังไงก็แสดงออกยังงั้น ไม่ต้องกลัวว่าเธอจะมีพิษมีภัยอะไร
มองดูมู่อี้เหยาที่ไร้เหตุผล มู่เวยเวยก็หันหลังแล้วเดินไปทางถนนข้างนอกทันที
“เฮ้ย! มู่เวยเวย! เธอจะไปไหน? ”
มู่เวยเวยเดินไปเลยโดยไม่หันหลังกลับ
มู่เวยเวยไปนั่งที่ร้านกาแฟใกล้ๆ ตอนแระเธอกะว่าจะขึ้นตึกไปหามู่จางรุ่นทันทีเลย แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามู่อี้เหยาจะมาเกาะแกะเธอ ทำให้เธอหมดอารมณ์และอยู่ที่ร้านกาแฟนั่นต่อไป
ในเมื่อมันเป็นแบบนี้แล้ว เธอก็ทำได้เพียงนัดมู่จางรุ่ยมาเจอข้างนอก
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาหมายเลขที่คุ้นเคยและรอปลายสายรับโทรศัพท์
” ฮัลโหล? ” ปลายสายเป็นเสียงมู่จางรุ่ย
มู่เวยเวยมองออกไปที่หน้าต่าง แล้วมองไปยังถนนที่สุดครึกครื้น แล้วพูดอย่างนิ่งๆว่า ” คุณลุง ฉันเอง ”
” เวยเวย โทรหาฉันเวลานี้ มีอะไรเลยรึป่าว? ”
” ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ คุณออกมาเจอฉันหน่อยได้มั้ย? ”
มู่จางรุ่ยหยุดคิดไปชั่วขณะ แล้วยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัยแล้วพูดว่า ” ได้ ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอพอดี ตอนนี้เธออยู่ไหน? ”
champs Elysees cafe
” อือ รอสักครู่ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้ ”
” โอเค ”
มู่เวยเวยใช้เวลาว่างๆนี้ให้เกิดประโยชน์โดยการหยิบปากกาขึ้นมาแล้วออกแบบงานเมื่อวานที่เธอทำค้างไว้ต่อ เธอไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งที่มองจ้องทุกการกระทำของเธออยู่
ก็คือตำแหน่งด้านหลังเธอที่ห่างออกไปประมาณหนึ่งเมตร ด้วยความมีกระถางต้นไม้ใหญ่กระถางหนึ่งอยู่จึงไม่เป็นจุดสนใจนัก
เฉียวซินโยวปลอมตัวเวอร์วังอลังการมาก เธอแต่งหนักเข้มมาก แล้วใส่แว่นกันแดด
สายตาของเธอก้มมองไปที่ด้านข้างของกระเป๋า และยิ้มมุมปากเล็กน้อย แล้วนั่งเงียบๆรอดูฉากสำคัญ
เวลาไม่ถึงสิบนาที มู่จางรุ่ยก็มาถึงร้านกาแฟ มู่เวยเวยเก็บงานออกแบบของเธอทันทีแล้วยกกาแฟขึ้นมาจิบเบาๆ
มู่จางรุ่ยนั่งลงตรงข้ามเธอทันที แล้วพูดขึ้นเบาๆว่า “เวยเวย เธอเรียกฉันมามีอะไรรึป่าว? ”
มู่เวยเวยจ้องหน้าเขาด้วยท่าทีนิ่งๆแล้วยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยจากนั้นพูดขึ้นเบาๆว่า “ฉันอยากถามถึงเรื่องพี่ชายฉันหน่อย ”
มู่จางรุ่ยหน้าตาเป็นประกายแล้วกระแอมสองที หน้าตาของเขาเหมือนคนที่ไม่รู้จะทำตัวยังไงแล้วเขาก็พูดขึ้นโดยใช้น้ำเสียงต่ำลงเล็กน้อยว่า “มันเป็นแบบนี้ คือว่าทางเทียนเย่ตอนนี้มีปัญหานิดหน่อย ตอนนี้จึงติดต่อเขาไม่ได้ ”
มู่เวยเวยอึ้งไปเลย หน้าตาของเธอลุกลี้ลุกลนแล้วเธอก็ถามขึ้นอย่างกังวลว่า ” คุณลุง พูดให้ชัดเจนหน่อย ตอนนี้พี่ชายฉันเป็นยังไงบ้าง? ”
มู่จางรุ่ยทำหน้าตาหนักใจแล้วเขาจงใจพูดอย่างช้าๆว่า ” เธอใจเย็นๆก่อน จริงๆแล้วก็ไม่ได้เป็นปัญหาที่ใหญ่อะไรเลย พี่ชายเธอบอกว่าพอดีเจอศัตรูนิดหน่อย ตอนนี้จึงเปลี่ยนที่หลบซ่อนใหม่ บอกว่าให้พวกเราอย่าพึ่งติดต่อไปชั่วคราว ”
พอฟังเขาพูดจนจบ มู่เวยเวยก็ขมวดคิ้วทันที เขาตั้งใจก้มหน้าลง แล้วสายตาเขาก็มองไปทางอื่นสายตาลอกแลกเขาตั้งใจหลบสายตาเธอ หน้าตาเขาก็มีพิรุธ เธอจึงรู้ทันทีว่า
เขากำลังโกหกเธอ
นี่เป็นความรู้สึกแรกที่มู่เวยเวยรับรู้ได้
หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะหลายวันมานี้เธอเจอเรื่องราวต่างๆมามากมายทำให้เธอไม่ไร้เดียงสาเหมือนแต่ก่อน ไม่เชื่อคำพูดใครง่ายๆถึงแม้ว่าเขาจะเป็นญาติเธอก็ตาม
เขากำลังถ่วงเวลาเพราะเขาไม่รู้ว่าจะพูดยังไง เมื่อพูดถึงเรื่องพี่ชายเธอทีไรคุณลุงก็จะมีพิรุธทันที
แต่ก่อนเธอไม่เอะใจเลยสักนิด แต่ตอนนี้เธอรู้แล้ว
ถ้าเป็นแบบนี้ก็เป็นไปได้สองทาง คือหนึ่งคุณลงไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับพี่ชายของเธอ หรือทางที่สองคือที่คุณลุงทำแบบนี้เป็นเพราะมีแผนการอื่น
เป็นไปตามคาดมู่จางรุ่ยก็พูดขึ้นว่า ” เวยเวย พี่ชายเธอฝากฉันมาบอกเธอว่าตอนนี้พี่ชายเธอต้องการใช้เงิน อยากใหเธอส่งเงินไปให้เขาอีกก้อนหนึ่ง ”
มู่เวยเวยจงใจทำหน้าตกใจแล้วถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า ” ครั้งที่แล้วที่ฉันส่งไปหนึ่งล้านใช้หมดไปแล้วหรอ? ”
มู่จางรุ่ยถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วแสร้งทำหน้าเศร้าแล้วพูดต่อว่า ” เวยเวย อยู่ข้างนอกไม่ได้เหมือนอยู่บ้าน จำเป็นต้องใช้เงินมากอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นครั้งก่อนพี่ชายเธอบาดเจ็บสาหัสถึงแม้ว่าจะหายดีแล้วแต่ก็ต้องใช้เงินไม่น้อยเลยทีเดียวในการพักฟื้น! ”
มู่เวยเวยใช้มือทั้งสองข้างยกแก้วกาแฟขึ้นแล้วลูบไล้ไปที่ลวดลายบนแก้วนั้นแล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้พร้อมกับถามขึ้นว่า ” แล้วพี่ชายฉันได้พูดรึป่าวว่าต้องการเงินอีกเท่าไหร่? ”
มู่จางรุ่ยหยุดคิดไปชั่วขณะ แล้วเอามือมาปิดปากตัวเองแล้วแสร้างทำเป็นลำบากใจแล้วพูดขึ้นว่า ” ยังต้องการอีก……หนึ่งล้าน ”
“หนึ่งล้านงั้นหรอ? “มู่เวยเวยแสดงออกอย่างตกใจมาก แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นพูดออกมาอย่างลำบากใจ ” ฉันจะมีเงินมากขนาดนั้นได้ยังไง? ”
” เวยเวย ทำไมเธอถึงยังซื่อบื้อแบบนี้? ” มู่จางรุ่ยพูดเสียงเข้ม ” ตอนนี้เธอเป็นคุณหนูแห่งตระกูลเย่แล้ว เธอต้องรู้จักใช้มันให้เป็นประโยชน์ ถ้าพูดถึงฐานะของเย่ฉ่าวเฉินแล้วเงินแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก! ”
มู่เวยเวยหัวเราะออกมาแบบแห้งๆ เขาจะไปรู้อะไรว่าที่เย่ฉ่าวเฉินแต่งงานกับเธอเพื่อจุดประสงค์อะไร
บางทีในสายตาเขาอาจจะคิดว่ามู่เวยเวยคือหนูตกถังข้าวสาร แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาจะไปรู้อะไร?
” คุณลุง เรื่องระหว่างฉันกับเย่ฉ่าวเฉินไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด แล้วยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ฉันกับเย่ฉ่าวเฉินเรามีปัญหากันนิดหน่อย เขาไม่ทางจะให้ฉันยืมเงินอีกแน่ๆ ”
มู่จางรุ่ยอึ้งไปเลยและขวดคิ้วทันทีจากนั้นถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า ” มันเรื่องอะไรกัน? เธอกับฉ่าวเฉินมีปัญหาอะไรกัน? ”
มู่เวยเวยก้มหน้าลงแล้วคิดว่าจะหาข้ออ้างอะไรมาโกหกเขาดี
แต่มู่จางรุ่ยกลับคิดว่าเวยเวยไม่อยากจะพูดถึง เขาทำหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันทีจากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า ” เวยเวย อย่าให้ลุงต้องสอนเลยนะ ฉ่าวเฉินเปิดบริษัทใหญ่โตขนาดนี้ ปกติเขาก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว เธอเป็นภรรยาก็ต้องแบ่งเบาภาระเขาบ้าง ก็ผู้ชายอะนะ อ้อนๆหน่อยเขาก็หายงอนแล้ว! ”
มู่จางรุ่ยพูดอย่างจริงจัง แต่มู่เวยเวยกลับรู้สึกแดกดันมาก
เธอไม่ได้ขัดจังหวะเขา เธอปล่อยให้เขาแสดงให้จบก่อน และเมื่อเขาพูดจบแล้ว เธอก็ค่อยพูดขึ้นเป็นนัยๆว่า “คุณลุง ความรักของเรามีปัญหานิดหน่อย และดูเหมือนว่าจะกลับไปรักกันเหมือนแต่ก่อนไม่ได้อีกแล้ว ”
อย่างน้อยในสายตาของเธอชีวิตแต่งงานในครั้งนี้มันสิ้นสุดลงแล้ว
” อย่าบอกนะว่าฉ่าวเฉิน……ฉ่าวเฉินเขา……” มู่จางรุ่ยพูดด้วยสีน่าลึกลับแล้วหันไปมองรอบๆว่ามีคนแอบฟังอยู่รึป่าวจากนั้นก็ค่อยๆพูดกับมู่เวยเวยว่า ” คงไม่ใช่เพราะฉ่าวเฉินมีผู้หญิงอยู่นอกบ้าน……”
มู่เวยเวยพยักหน้ายืนยันความคิดของเขาว่าถูกแล้ว
เขาไม่ได้พูดผิดเลย ในสายตาของเธอ เธอถือว่าเย่ฉ่าวเฉินและเฉียวซินโยวคบกันแล้ว เฉียวซินโยวเองก็ยอมรับออกมาเอง
มู่จางรุ่ยสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาก เขาไม่สนใจหรอกว่ามู่เวยเวยจะมีความสุขมั้ย แต่เขาต้องใช้ประโยชน์จากมู่เวยเวยในการทำงานกับเย่ฉ่าวเฉิน
ตั้งแต่มู่เวยเวยแต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉิน บริษัทมู่ซื่อก็มีพันธมิตรร่วมโครงการเพิ่มขึ้นมากมาย หุ้นของบริษัทมู่ซื่อพุ่งสูงขึ้นมาก ทั้งหมดนี้ก็เพราะพึ่งงบารมีของเย่ฉ่าวเฉิน
เขาพึ่งจะเริ่มต้นลงทุนโครงการใหญ่ๆของบริษัทไปและก็ใช้เงินไปจำนวนมากเลยทีเดียว ทั้งหมดนี้มันแค่พึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง ตอนนี้สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือการเปลี่ยนแปลงนี่แหละ
เขาก็คิดว่าจะพึ่งบารมีของเย่ฉ่าวเฉินจึงได้มั่นใจในการลงทุนมาก แต่ว่าถ้าทั้งสองหย่ากัน โครงการทั้งหมดที่ลงทุนร่วมกันไปก็ต้องยุติลงน่ะสิ งั้นบริษัทตระกูลมู่ก็……
มู่จางรุ่ยไม่กล้าแม้แต่จะคิด ในใจก็เอาแต่โทษมู่เวยเวยว่าไม่สามารถกุมหัวใจของเย่ฉ่าวเฉินให้อยู่มัดได้ และพูดขึ้นด้วยความที่เป็นญาติผู้ใหญ่ว่า ” เป็นเรื่องปกติของผู้ชายที่จะหากินนอกบ้านบ้าง เธออย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือเลยนะ! ”
” คุณลุง ฉันไม่เข้าใจความหมายคุณคุณจริงๆ? ถ้าไม่ได้รักกันแล้วยังจะอยู่ด้วยกันไปทำไมอีก? ” มู่เวยเวยหัวเราะเบาๆแล้วตั้งใจทำเป็นไมรู้อะไรเลย