การแสดงออกของมู่เวยเวยเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างเห็นได้ชัด และพูดด้วยน้ำเสียงที่เฉยเมย ” เย่ฉ่าวเฉิน ฉันมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธไม่คุยกับคุณ? คุณคิดว่าหลังจากที่คุณทำเรื่องเลวเลวพวกนั้นกับฉันลงไปแล้ว แล้วฉันยังจะพูดกับคุณเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นได้อยู่อีกหรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินทำหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า ” เธอคิดว่าเธอมีสิทธิ์จะปฎิเสธงั้นหรือ? ”
มู่เวยเวยแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเหนื่อยล้ามากและไม่อยากมองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวจากนั้นพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น ” ฉันเหนื่อยแล้ว ตอนนี้คุณออกไปก่อน ”
” เหอะเหอะ……” เย่ฉ่าวเฉินหัวเราอย่างเยือกเย็นแล้วพูดขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็น่าเสียดายจริงๆเลย ตอนแรกกะว่าจะพาเธอไปดูฉากเด็ดๆสักหน่อย ”
มู่เวยเวยหันหลังแล้วไม่สนใจเขาอีกเลย
เย่ฉ่าวเฉินมองแผ่นหลังของมู่เวยเวย ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดเขาก็ค่อยๆออกจากห้องไป
เย่ฉ่าวฉินปิดประตูเบาๆ ดวงตาสีน้ำเงินของเขาแผ่รังสีอำมหิตออกมา แล้วเดินลงบันไดมาที่ชั้นหนึ่งพุดขึ้นเสียงเข้มว่า ” จางเห่อ ”
เสียงพูดพึ่งจบไป จางเห่อก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูแล้วเดินเข้าไปข้างหน้าแล้วพูดขึ้นอย่างนอบน้อมว่า ” คุณชาย ”
” เรื่องที่ฉันสั่งให้นายไปทำไปถึงไหนแล้ว? “สีหน้าท่าทางของเย่ฉ่าวเฉินเย็นชาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไร้ความรู้สึก
” ผมให้คนไปจับตัวมู่จางรุ่ยมาเรียบร้อยแล้วครับนาย ตอนนี้รอเพียงคำสั่งท่าน ”
เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้าแล้วกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา น้ำเสียงของเขาดุดันขึ้นพูดว่า ” เอาตัวมามา ฉันจะสอบปากคำมันเอง”
” ครับ ”
ผ้าปิดตาสีดำถูกถอดออก มู่จางรุ่ยมองไปรอบรอบด้วยความหวาดกลัว เขาพบว่าที่นี่เป็นที่ที่แปลกมาก ในห้องมีเพียงเตียงหนึ่งเตียงและเก้าอี้หนึ่งตัวเท่านั้น
ความรู้สึกแรกของเขาก็คือโดนลักพาตัว!
เป็นใครกันแน่? ทำไมต้องลักพาตัวเขา?
เขาดิ้นสุดแรง แต่ว่าแขนขาของเขาถูกมัดไว้แน่นมาก เขาจึงไม่สามารถหลุดออกมาได้!
ในตอนนั้นเองประตูห้องก็ถูกเปิดออก ใบหน้าที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีปรากฎตรงหน้า มู่จางรุ่ยตกใจมาก
เย่ฉ่าวเฉิน! ทำไมถึงเป็นเขา?
เย่ฉ่าวเฉินมองเขาด้วยสายตาเย็นชา สังเกตุได้ถึงความกลัวของเขาแล้วพูดขึ้นอย่างนิ่งว่า ” คุณมู่ เห็นหน้าฉันแล้วตกใจมากเลยหรอ? ”
มู่จางรุ่นอึ้งไปเลย เขาเรียกว่าคุณมู่งั้นหรอไม่ใช่คุณลุง ดูแล้วเรื่องราวในห้องนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็กนะ
” ฉ่าวเฉิน นี่มันหมายความว่าอะไร? แล้วที่นี่ที่ไหน? ทำไมต้องให้คนพาฉันมาที่นี่ด้วย? ”
เมื่อเห็นคนที่เข้ามา สีหน้าของมู่จางรุ่ยลุ่มลึก และน้ำเสียงของเขากระวนกระวาย
ผู้ชายบึกบึนที่เดินตามหลังเข้ามา ในมือของเขาถือเบาะหนังไว้แล้วเอามาวางไว้ข้างหลังของเย่ฉ่าวเฉิน
นั่งลงบนโซฟาอย่างช้าๆแล้วจ้องไปที่เขาอย่างไม่แยแส ดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นมีรังสีบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้แล้วเขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นมาก ” มู่เทียนเย่อยู่ที่ไหน? ”
มู่จางรุ่ยหน้าตาอึ้งไปเลย สติเขาหลุดออกจากตัว แล้วค่อยๆคิดอย่างถี่ถ้วนว่าที่ให้คนไปพาตัวเขามาที่แท้ก้เป็นเรื่องมู่เทียนเย่งั้นหรอ?
ระหว่างเขาและเทียนเย่มีเรื่องอะไรกันกันแน่? เป็นเรื่องที่ดีหรอเรื่องร้าย?
มู่จางรุ่ยคิดไปต่างๆนาๆ สีหน้าของเขาจริงจังแล้วถามขึ้นด้วยความสงสัย ” ฉ่าวเฉิน คุณรู้จักกับเทียนเย่หรอ?มู่เวยเวยบอกให้นายมาหาฉันงั้นหรอ? ”
เย่ฉ่าวเฉินยังคงนิ่ง ท่าทีของเขาดูออกว่าเขาหมดความอดทนแล้ว พูดขึ้นน้ำเสียงที่เย็นชาเชิงบังคับ ” ความอดทนของฉันมีขีดจำกัด คุณรีบบอกมาดีกว่า ไม่งั้นฉันจะไม่ใจดีกับคุณเพราะมู่เวยเวยหรอกเนอะ! ”
เสียงของเขานั่นเย็นชามาก ทำให้มู่จางรุ่นแข็งทื่อไปทั้งตัว เขาพอจะรู้ข่าวลือขิงเย่ฉ่าวเฉินมาบ้าง ถึงแม้ว่าต่อหน้าเขาจะเป็นนักธุรกิจหนุ่มที่ประสบความสำเร็จแต่เบื้องหลังตัวตนของเขานั้นก็ไม่ธรรมดา ถึงว่าเขาจะไม่รู้อย่างถ่องแท้แต่ว่าเขาก็ไม่กล้าจะทำให้เขาโกรธ
” ฉันไม่รู้การเคลื่อนไหวของมู่เทียนเย่จริงๆ ฉันไม่ได้เจอเขามานานมากแล้วอย่าพูดถึงว่าเขาอยู่ที่ไหนเลย ” มู่จางรุ่ยสีหน้าไม่ดีแล้วพูดขึ้นอย่างช้าๆ
” คนในตระกูลมู่นี่สร้างเรื่องโกหกกันเก่งจริงๆ “เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะอย่างเยือกเย็น เขายกมือขึ้นแล้วพยายามข่มความโกรธของขาไว้
” ฉันจะให้โอกาสคุณครั้งสุดท้าย ”
เย่ฉ่าวเฉินทวีความโกรธขึ้นไปอีกแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา ” ต้องให้ฉันเตือนความจำหน่อยมั้ย? เงินหนึ่งล้านที่มู่เวยเวยให้กับคุณ คุณเอาไปใช้ที่ไหน? ”
สีหน้าของมู่จางรุ่ยตกใจมาก มองไปที่ผู้ชายที่อันตรายอย่างยิ่งตรงหน้าเขา ทำให้เขาไม่กล้าสบตาเขา
“เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้รีบร้อนอะไร แล้วพูดขึ้นอย่างสบายๆว่า ” ถ้าดูจากมุมมองอื่นๆแล้ว เราก็มีเป้าหมายเดียวกันนะ ”
มู่จางรุ่ยถามขึ้นด้วยความสับสน ” หมายความว่าไง? ”
” บริษัทมู่ซื่อเป็นบริษัทของน้องชายคุณ ถึงแม้ว่าเขาจะตายไปแล้ว แต่ว่ามู่เทียนเย่มีตำแหน่งเป็นทายาทสืบทอดสมบัติ คุณเองก็กลัวการกลับมาของมู่เทียนเย่กลัวว่าเขาจะกลับมาแย่งของที่เป็นของพ่อเขาคืนไม่ใช่หรอ?
มู่จางรุ่ยตกใจสุด ผู้ชายคนนี้เดาใจเขาได้อย่างง่ายดาย ช่างเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ!
” ที่ท่านพูดว่าเป้าหมายเดียวกันมันหมายความว่ายังไง? “มู่จางรุ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยมาก
” ฉันกับมู่เทียนเย่มีเรื่องบาดหมางกันอยู่ ขอแค่คุณพูดมาว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ฉันรับรองได้ว่าตำแหน่งประธานบริษัทมู่ซื่อจะเป็นของคุณ ” เย่ฉ่าวเฉินอย่างนิ่งๆแต่น้ำเสียงเขาชัดเจนมาก
มู่จางรุ่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ เขาเข้าใจความหมายของเขา และดูจากความสามารถเย่ฉ่าวเฉินแล้วมู่จางรุ่ยเชื่อในสิ่งที่เขาพูด
แต่นี่แหละปัญหา เขาไม่รู้จริงๆว่ามู่เทียนเย่อยู่ที่ไหน จริงๆเงินหนึ่งล้านนั้น……
” ยังคิดไม่ได้งั้นหรอ? ” สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินเยือกเย็น พูดขึ้นเสียงเข้ม “อย่ามาท้าทายกับความอดทนของฉัน เชื่อฉันเถอะ มันไม่ใช่สิ่งที่คุณสามารถต้านทานได้! ”
มู่จางรุ่ตัวสั่นไปหมด เขารู้สึกว่าอุณหภูมิในร่างกายของเขาลดลงในทันที จากนั้นก็ถอนหายใจไปเฮือกหนึ่งแล้วพูดขึ้นอย่างหมดหนทางว่า ” ฉ่าวเฉิน จริงๆแล้วฉันไม่ได้รู้กานเคลื่อนไหวของมู่เทียนเย่หรอก เงินหนึ่งล้านนั้นฉันเก็บไว้ที่บัญชีส่วนตัว ”
เย่ฉ่าวเฉินตกใจเล็กน้อย แล้วกระตุกยิ้มมุมปากอย่างไม่แยแสแล้วพูดขึ้นอย่างไร้อารมณ์ว่า ” คุณจะเป็นศัตรูกับฉันจริงๆใช่มั้ย? ”
มู่จางรุ่ยกลัวจนคอหดแล้วพูดขึ้นด้วยท่าทีที่ร้อนรนว่า ” คุณเชื่อฉันเถอะ ถ้าคุณไม่เชื่อคุณให้คนไปสืบดูได้ฉันไม่กล้าโกหกคุณหรอก! ”
เย่ฉ่าวเฉินเงียบไม่พูดอะไร และลองพิจารณาคำพูดของเขาว่าเป็นความจริงหรือไม่
โล่งอกไปทีแล้วมู่จางชั่วก็พูดต่อว่า ” ฉ่าวเฉิน ฉันไม่กล้าเป็นศัตรูกับคุณหรอก คุณให้คนไปสืบดูได้เลย ถ้าฉันโกหกยังไงฉันก็หนีไปไหนไม่รอด คุณจะจัดการกับฉันยังไงก็ได้! ”
ไม่ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาจะเป็นอะไร มู่จางรุ่ยในตอนนี้ไม่กล้าปิดบังอะไรเขาเลย สัญชาตญาณของเขาบอกมาอย่างชัดเจนว่าที่ตัวเองต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้เป็นเพราะอะไร
ต่อหน้าผู้ชายที่น่ากลัวอย่างปีศาจชั่วร้ายคนนี้ การพูดโกหกหลอกลวงเป็นวิธีที่โง่มากที่สุด
” เย่ฉ่าวเฉินจ้องเขาตาเป็นมัน เห็นถึงท่าทางกระวนกระวายของเขา ก็ยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาแล้วพูดนิ่งๆว่า ” ฉันจะเชื่อคุณสักครั้ง ช่วงนี้คุณก็อยู่ที่นี่ไปก่อนแล้วกันแล้วฉันจะให้คนส่งข้าวส่งน้ำมาให้ ”
มู่จางรุ่ยขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่กล้าแสดงความไม่พอใจออกมาได้แต่พูดว่า ” โอเค ”
เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆลุกขึ้นแล้วเดินออกไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองสักนิด สองคนที่ยืนข้างนั้นก็ค่อยปิดประตูแล้วล็อคกุญแจไว้
มู่จางรุ่ยนั่งลงบนเตียงแข็งๆนั้น
……
มู่เวยเวยนอนอยู่บนเตียงมองไปที่เพดานแล้วคิดถึงเรื่องราวต่างๆนานๆในใจ
เธอคิดไปถึงความทรงจำที่สุดแสนจะมีความสุขของเธอ ตอนนี้มีทั้งพ่อ แม่ พี่ชาย คุณครูและเพื่อนๆ ไม่มีอะไรจะมีความสุขมากไปกว่านี้แล้ว
ความสุขคงเป็นได้แค่ความทรงจำ?
เธอยังจำได้หนึ่งวันก่อนพี่ชายจะหายตัวไป ตอนนั้นเธอเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า จู่ๆพี่ชายเธอก็มายืนรอที่หน้าห้องรอยยิ้มของเขาสง่างามมากพร้อมกับพูดว่า ” เวยเวย มานี่หน่อย ”
พอเห็นว่าเป็นพี่ชาย เธอก็ยิ้มออกมาอย่างสดใจ แล้วลุกออกจากที่นั่งเดินตามลังพี่ชายไป
พี่ชายเธอดูเหมือนว่าจะสูงขึ้นอีกแล้ว……
มู่เวยเวยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกท้อแท้ในใจ เธอสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสำหรับผู้หญิงถือว่าสูงมากแล้ว แต่ว่าเมื่อเทียบกับพี่ชายมันเทียบไม่ติดเลย!
ในขณะนั่นเองที่เธอกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ จู่ๆพี่ชายเธอก็หยุดเดินสะงั้นทำให้เธอเกือบชนเข้าที่หลังพี่ชายสะแล้ว
” ทำไมถึงได้กระโดกกระเดกแบบนี้เนี่ย? ” มู่เทียนเย่ยิ้มอย่างอบอุ่นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
มู่เวยเวยแลบลิ้นแบบกวนๆแล้วค่อยๆพูดขึ้นว่า ” พี่ชาย วันนี้ไม่เข้าบริษัทหรอคะ? ทำไมถึงมาหาหนูที่โรงเรียนได้? ”
สีหน้าของมู่เทียนเย่แสดงออกถึงความอาลัยอาวรณ์อย่างชัดเจน แต่ในขณะนั้นมู่เวยเวยไม่ได้สังเกต เขายื่นมือมาลูบหัวมู่เวยเวยเบาเบาแล้วพูดต่อว่า ” บริษัทมีโครงการใหม่ที่ต่างประเทศ พี่เธอไปจัดการด้วยตัวเอง ช่วงนี้ก็ดูแลตัวเองดีๆนะ ”
มู่เวยเวยอึ้งไปชั่วขณะแล้วถามว่า ” แล้วพี่จะไปนานเท่าไหร่? ”
มู่เทียนยิ้มออกมาอย่างอบอุ่นแล้วพูดนิ่งๆว่า ” อันนี้พี่ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ”
” อืออือ ” มู่เวยเวยพยักหน้าแล้วพูดว่า ” พี่สบายใจได้ หนูจะดูแลตัวเองให้ดี ”
มู่เทียนเย่รู้สึงโล่งอกแล้วพูดว่า ” โอเค ”
“พี่อยู่ต่างประเทศก็ต้องดูแลตัวเองดีๆนะ เดี๋ยวหนูจะโทรหา ”
” โอเค ”
……
หลังจากนั้นไม่มีหลังจากนั้นแล้ว นับตั้งแต่ตอนนั้นพี่ก็หายไปจากโลกนี้เลย
เธอโทรหาเขา แต่กลับบอกว่าไม่มีหมายเลขที่ท่านเรียก เธอใช้บัตรประขำตัวของพี่ชายไปสืบหาเบาะแสการเดินทางแต่กลับได้คำตอบมาว่าไม่มีข้อมูลของบุคคลนี้……
” พี่ชาย พี่จะกลับมาเมื่อไหร่กันแน่? ฉันคิดถึงพี่ คิดถึงพี่มากจริงๆ ”
ในตอนนี้เอง ก็มีคนมาเคาะประตูห้องจากนั้นก็ได้ยินเสียยงของคุณอาหวังพูดขึ้นว่า ” คุณหนู คุณชายหนานกงเฮ่ามาเยี่ยม ”
เธอเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว และสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดนิ่งๆวา ” ฉันรู้แล้ว จะลงไปเดี๋ยวนี้ ”
เธอลุกออกจากเตียงทันทีแล้วออกจากห้องไปจากนั้นค่อยๆเดินลงบันไดไปที่ห้องรับแขกชั้นล่าง เขาก็เห็นบุคคลที่คุ้นเคยนั่งอยู่ที่โซฟา
” หนานกง คุณมาได้ไงคะเนี่ย? ” มู่เวยเวยยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
หนานกงเฮ่าเมื่อได้ยินเสียงของเธอก็ยิ้มออกมาอย่างสดใส แต่เมื่อสังเกตเห็นเฝือกบนคอเธอ รอยยิ้มนั้นก็ได้หายไปทันที
” ฉ่าวเฉินรังแกเธอใช่มั้ย? ”
ไม่ใช่คำถามที่ต้องเอาคำตอบ แต่มันต้องใช่แน่แน่
มู่เวยเวยฝืนยิ้ม จมูกของเธอแดงเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นนิ่งๆว่า ” ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว ”
เธอไม่อยากให้หนานกงเฮ่าเป็นห่วง ความเจ็บปวดของเธอก็คงมีเพียงเธอที่ต้องรับความเจ็บปวดนั้น
มองดูเธอที่พยายามทำตัวเข้มแข็ง หนานกงเฮ่าก็ขมวดคิ้วแล้วเดินเข้าไปกอดเธอไว้แน่นๆเขารับรู้ได้ถึงความอ่อนแอของเธอ ใจของหนานกงเฮ่าเหมือนโดนอะไรต่อยเขขารู้สึกเจ็บแทนเธอ
” เธอจะทนอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ครั้งก่อนคุณหมอหลิวเตือนฉันแล้วว่าเธอไม่ควรบาดเจ็บอีก ไม่อย่างนั้น……” หนานกงเฮ่าไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเงียบไปชั่วครู่แล้วพูดขึ้นว่า ” เธอต้องไปกับฉันเดี๋ยวนี้! ”
มู่เวยเวยรู้สึกอบอุ่น
พอพูดจบเขาก็ไม่รอช้าดึงมือมู่เวยเวยเดินออกไปทางประตูทันที แต่ในขณะนั้นเองเย่ฉ่าวเฉินก็ปรากฏตัวตรงหน้าทั้งสอง
เย่ฉ่าวเฉินทำหน้านิ่งๆและสังเกตเห็นเขาทั้งสองคนจับมือกันอยู่สีหน้าก็เย็นชาขึ้นทันทีแล้วพูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า ” เฮ่า นายดึงมือเมียฉันไว้แบบนี้ นี่กำลังจะไปไหน? ”
หนานกงเฮ่าหน้าตาจริงจัง และพูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธมาก ” นานเคยคิดว่าเวยเวยเป็นภรรยาด้วยหรอ? ทำร้ายเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉ่าวเฉินนายยังเป็นลูกผู้ชายอยู่รึป่าว? ”
วันวันก็เอาแต่ทำร้ายผู้หญิงมีปัญญาแค่นี้หรอ?
เย่ฉ่าวเฉินเหลือบไปมองคนที่อยู่ข้างหลังเขา แต่กลับเห็นเธอจ้องเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ ในใจของเขาก็รู้สึกหวิวหวิวแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า ” นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน นานอย่ามายุ่ง ”
หนานกงเฮ่ากระตุกยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดอย่างเฉนเมยว่า ” เรื่องของนานฉันไม่อยากยุ่งหรอ แต่นี่มันเกี่ยวกับเวยเวยฉันเลยต้องยุ่ง! ”
ท่าทางของหนานกงเฮ่าคือยังไงก็ต้องยุ่งให้ได้
” นายอยากจะยุ่งนักใช่มั้ย? อย่าให้ฉันต้องหมดความอดทน! ”
” นี่ฉันก็หมดความอดทนแล้วเหมือนกัน! ”
ทั้งสองคนจ้องกันตามันมัน คนรอบข้างเองก็รู้สึกว่าความกดอากาศต่ำลงเรื่อยๆจนทำให้ทุกคนรุ้สึกจะขาดอากาศหายใจ
มู่เวยเวยรู้สึกไม่สบายใจ เธอไม่อยากให้หนานกงเฮ่าต้องลำบากเพราะตัวเธอ เธอไม่ต้องการให้หนานกงเฮ่าโดนทำร้าย
บรรยากาศที่ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆชายสองคนที่ไม่มีใครยอมใคร มู่เวยเวยรีบเข้าไปแทรกกลางระหว่างสองคนนั้นแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ฉันไม่อยากเห็นคนทำร้ายกันอีกแล้ว! เย่ฉ่าวเฉิน นายจะยอมทำร้ายเพื่อนสนิทตัวเองเพื่อนผู้หญิงอย่างฉันงั้นหรอ? ”
ตอนที่เธอพูดประโยคนี้ น้ำเสียงของเธอแฝงไปด้วยความโกรธ เหมือนธอจะพูดว่า “ในใจของเขาเธอสำคัญขนาดนั้นเชียวหรอ?
มู่เวยเวยหันหลังไปมองหนานกงเฮ่าด้วยท่าทีที่อ่อนโยวแล้วค่อยๆพูดขึ้นว่า “หนานกง ขอบคุณมากที่ออกหน้าแทนฉัน แต่ว่าฉันไม่ต้องการให้คุณใช้วิธีแบบนี้ ”
ถ้าหากว่าเขาต้องบาดเจ็บเพราะเธอ เธอต้องเสียใจมากแน่ๆ
หนานกงเฮ่ารู้ว่าเธอต้องการจะสื่อถึงอะไร แล้วค่อยๆฉีกยิ้มอกแล้วพูดอย่างนิ่งว่า ” เธอสบายใจได้ ฉันไม่ทำให้เธอเสียใจหรอก ”
พอได้ยินคำพูดของเขา มู่เวยวยก็รู้สึกซาบซึ้งมากแล้วพูดขึ้นอย่างอบอุ่นว่า ” ขอบคุณนะ”
ขอบคุณที่เป็นห่วง ขอบคุณที่เข้าใจ
หนานกงเฮ่าส่ายหัวเบาๆด้วยท่าทีที่นุ่มนวลแล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า ” เพื่อเธอ ฉันเต็มใจ ”
มองดูทั้งสองที่กำลังพลอดรักกันต่อหน้า ในสายตาของเย่ฉ่าวเฉินก็มีรังสีอำมหิตอะไรบางอย่าง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหนานกงเฮ่าจะชอบมู่เวยเวย เพื่อเธอ ถึงขั้นกล้าเป็นศัตรูกับเขา!
มู่เวยเวยมีเสน่ห์มากขนาดนั้นเลยหรอ?
เมื่อฟังคำอธิบายของจางเห่อแล้ว คนที่รักความสนุกสนานอย่างเขา ตอนนี้กลับไม่เข้าผับเลย ถึงนานๆไปทีแต่ก็ไม่มีสาวๆนั่งข้างกายเหมือนแต่ก่อน สำหรับเขาแล้วนี่มันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เยฉ่าวเฉินเองก็รู้สึกประหลาดใจ
เขาชอบอะไรในตัวมู่เวยเวยกันนะ?