บทที่ 100 ปฏิเสธงานละคร
อีกด้านหนึ่ง
จิ่งหนิงกำลังทำงาน จู่ๆก็ได้รับสายจากลู่จิ่งเซิน
ถามเธอว่ากลางวันว่างหรือไม่ ให้เธอไปหาเขาที่นั่นหน่อย มีคนต้องการพบเธอ
จิ่งหนิงรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ตอนกลางวันเธอว่างพอดี จึงรับปากไป
ตอนกลางวัน จิ่งหนิงไปที่ลู่ซื่อ พอเข้าไปในห้องทำงาน ก็พบว่านอกจากลู่จิ่งเซินแล้ว ลู่หยั่นจือก็อยู่ด้วย
เธอประหลาดใจเล็กน้อย ยิ้มไปถามไปว่า : “ผู้กำกับลู่ ทำไมมาที่นี่ได้คะ?”
ลู่หยั่นจือยิ้มเล็กน้อยพลางมองที่เธอ ยิ่งมองก็ยิ่งพอใจ
ทำไมถึงได้สวยขนาดนี้นะ?
นัยน์ตา จมูก เหมือนกันกับเซ่ฟางหัวในจินตนาการของเขาเป๊ะเลย
ลู่จิ่งเซินมองไปที่ลู่หยั่นจือทีหนึ่ง พูดเบาๆว่า : “เขามาเพื่อตามหาคุณโดยเฉพาะเลยนะครับ”
“หาฉัน?”
“ครับ” ลู่จิ่งเซินบอกกับลู่หยั่นจือว่า : “คุณพูดกับเขาเองเถอะ!”
ลู่หยั่นจือตกใจ
จิ่งหนิงสงสัยเล็กน้อย “ผู้กำกับลู่ คุณตามหาฉันมีเรื่องอะไรหรือคะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่อยากถามคุณว่า สนใจเล่นละครบ้างไหม?”
จิ่งหนิงยิ้ม
“สนใจคะ! คุณมีโปรเจคใหม่หรือคะ?”
ลู่หยั่นจือเบิกตาโพลง
“เปล่าหรอก ตอนนี้กำลังถ่ายทำเรื่อง อยู่ ถังลั่วเหยาที่คุณแนะนำมาก่อนหน้านี้ดีมาก ไม่ว่าจะฝีมือการแสดงหรือว่ากิริยามารยาท ล้วนดีเยี่ยมกว่านักแสดงคนอื่นๆในวัยเดียวกัน ดังนั้นผมจึงต้องขอบคุณคุณอีกครั้ง!
จิ่งหนิงแอบรู้สึกว่า ที่ลู่หยั่นจือมาในวันนี้ จะต้องไม่ใช่แค่มาขอบคุณเธออย่างเดียวแน่
แต่ว่าดูออกก็ไม่จำเป็นต้องบอก เธอไม่ได้พูดอะไรต่อ ได้แต่ยิ้ม
“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ฉันจะแนะนำนักแสดงให้คุณอีกสักสองสามคนดีไหม?”
ลู่หยั่นจือโบกมือปฏิเสธ
“ไม่ต้องแล้วครับ ตอนนี้ผมยังไม่ขาดแคลน แต่ยังขาดอีกบท บทนี้ ใครก็ไม่เหมาะ”
“อ้อ? บทอะไรหรือคะ?”
“เซ่ฟางหัว”
จิ่งหนิงตะลึง
“เซ่ฟางหัวไม่ได้กำหนดให้จิ่งเสี่ยวหย่าแสดงไว้แล้วหรือคะ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ลู่หยั่นจืออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
“อย่าพูดถึงมันเลย แต่เดิมเป็นเพราะหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ อีกอย่างเขาเป็นคนพาสปอนเซอร์มาให้ ดังนั้นจึงตกลงรับเขาแสดงบทนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้มีข่าวอื้อฉาวดังขนาดนี้ ภาพลักษณ์ก็เขาก็เสียไปแล้ว ขืนใช้เขาต่อไป ผมกลัวว่าจะส่งผลกระทบถึงละครไปด้วย ดังนั้นจึงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ตัดสินใจหานักแสดงใหม่มารับบทแทนดีกว่า”
จิ่งหนิงยิ้ม
“แล้วคุณจะเลือกใครคะ?”
“คุณไงล่ะ!”
“ฉันน่ะหรือ?”
เธอตกใจชี้ไปที่ตัวเอง มองตาของลู่หยั่นจืออย่างจริงจัง และยืนยันว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น
หันไปมองหน้าลู่จิ่งเซิน เห็นเพียงสายตาของเขาลุ่มลึก เสียงเคร่งขรึมว่า : “ผมปฏิเสธแทนคุณไปแล้ว แต่เขายืนกรานว่า ต้องถามคุณต่อหน้าอย่างเดียว”
จิ่งหนิงอยากจะหัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมๆกัน
“ผู้กำกับลู่คะ ฉันไม่ใช่นักแสดง และไม่เคยเล่นละครมาก่อนเลยคะ”
ลู่หยั่นจือไม่สนใจ “แล้วยังไงครับ? คุณมีพรสวรรค์ บวกกับการฝึกฝนของผม ผมเชื่อว่าคุณจะต้องเฉิดฉายในละครเรื่องนี้ได้”
เขาพูดไป พลางตบหน้าอก ด้วยท่าทางที่มั่นใจ
จิ่งหนิงกลับส่ายหน้า
“ขอโทษด้วยนะคะผู้กำกับลู่ ฉันคงไม่สามารถทำตามที่คุณร้องขอได้”
เมื่อลู่หยั่นจือได้ยินดังนั้น สีหน้าเปลี่ยนทันที
จ้องมองจิ่งหนิงอย่างคาดคั้น “ทำไมละครับ?”
“เพราะว่าฉันไม่เคยคิดว่าจะเป็นนักแสดง จะไม่ชอบชีวิตที่ต้องถูกใครห้อมล้อม”
นักแสดง ฟังดูแล้วช่างยิ่งใหญ่
แต่สำหรับจิ่งหนิงที่อยู่ในวงการนี้มาหลายปีกลับเข้าใจแจ่มแจ้ง ถึงความลำบากของเบื้องหลังความยิ่งใหญ่ผิวเผินเหล่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นที่ชื่นชอบแค่ไหน ก็เป็นเพียงแหล่งทำเงินในมือของนายทุนเท่านั้น ภายใต้ความสนใจของผู้คนนับไม่ถ้วนเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ใครๆก็ชื่นชอบ
เธอไม่ชอบความรู้สึกแบบนั้น
ดังนั้น ศิลปินที่อยู่ในสังกัดเธอ เธอมักจะให้ความเคารพในการตัดสินใจของพวกเขาเสมอ
แต่เธอเองกลับไม่เต็มใจที่จะให้ตัวเองถลำลึกลงไป
ลู่หยั่นจือเห็นท่าทางของเธอเด็ดเดี่ยว รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
จิ่งหนิงกระพริบตา แล้วส่งยิ้มให้ : “ผู้กำกับลู่คะ ไม่งั้นฉันแนะนำคนๆหนึ่งให้คุณดีไหม!”
ลู่หยั่นจือถามอย่างสนใจ “ใครล่ะ?”
“หัวเหยา คุณเคยติดต่อไหมคะ?”
“หัวเหยา?”
เขาขมวดคิ้ว
เขารู้จักคนๆนี้ เพราะเธอสวย และมีชื่อเสียง แต่ได้ยินมาว่าอีกฝ่ายอารมณ์ร้าย และมีภูมิหลังที่ลึกซึ้ง ยากที่จะรับมือ
พูดจริงๆ ในฐานะผู้กำกับละครอย่างเขา ไม่ยินดีที่จะต้องไปง้อนักแสดง ด้วยเหตุนี้ จึงไม่เคยคิดที่จะใช้งานผู้หญิงคนนั้น
จิ่งหนิงพยักหน้า “เหยาเหยาหน่วยก้านดีมาก ข้างนอกเป็นข่าวลือทั้งนั้น ถ้าคุณสนใจ ฉันจะคุยกับเธอให้คะ!
ฉันคิดว่าแทนที่คุณจะมอบบทบาทที่สำคัญขนาดนี้ให้กับคนธรรมดาอย่างฉัน คุณควรจะมอบให้เธอมากกว่า เทียบกับฉันแล้ว เธอเหมาะกับบทเซ่ฟางหัวมากกว่าฉันเสียอีก”
ลู่หยั่นจือมองหน้าเธอทีนึง ด้วยสายตาคลุมเครือ
“งั้นก็ได้! คุณช่วยบอกกับเขาหน่อย ถ้าเขาสนใจ ผมจะติดต่อเขาไปเอง”
“ได้คะ ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้”
เมื่อส่งลู่หยั่นจือกลับไปแล้ว จิ่งหนิงก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นานนัก ที่แผนกประชาสัมพันธ์ยังมีคดีความอีกกองหนึ่งรอการสะสางอยู่ ดังนั้นเธอจึงบอกกล่าวลู่จิ่งเซิน แล้วเตรียมตัวกลับ
แต่ว่าชายคนนั้นกลับเรียกเธอไว้
“เย็นนี้มีงานเลี้ยง ไปเป็นเพื่อนผมหน่อยได้ไหมครับ?”
จิ่งหนิงอึ้ง “แต่ว่าตอนเย็นฉันยังมีงาน…..”
ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้ว
ดวงตาที่ลึกล้ำของเขาจับจ้องที่เธอ กล่าวด้วยสายตาขมขื่นว่า : “ผมคิดว่า การพาคุณมาที่อานหนิงกั๋วจี้ ดูเหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด”
จิ่งหนิงงงนิดหน่อย “ทำไมพูดแบบนี้ละคะ?”
“คุณมัวแต่ยุ่งจนไม่มีเวลาให้ผมเลยนี่ครับ”
จิ่งหนิง : “…..”
“หนิงหนิง หรือว่าคุณควรจะปล่อยวางตรงนี้ แล้วสนใจเพียงซิงฮุยของคุณ แบบนี้จะสบายกว่า….”
“ไม่ได้หรอกคะ”
จิ่งหนิงสวนกลับไปทันควัน “ก็คุณเองเป็นคนเชิญฉันมา ตอนนี้คิดจะกลับคำ คงไม่มีทางแก้ไขแล้วคะ!”
เธอทำงานที่อานหนิงกั๋วจี้ได้สักระยะหนึ่งแล้ว บอกตามตรงเธอชอบบรรยากาศที่นี่มาก
เธอไม่ใช่คนที่เบื่ออะไรง่ายๆ โดยเฉพาะกับการทำงาน ดังนั้นเธอจะไม่ยอมถอนตัวออกไปตอนนี้แน่
จิ่งหนิงโบกมือ “เอาล่ะ คุณอยากให้ฉันไปร่วมงานเลี้ยงตอนเย็นกับคุณด้วยใช่ไหม? ฉันรับทราบแล้วคะ”
ลู่จิ่งเซินถึงเผยยิ้มออกมาได้
“ถ้างั้นเย็นนี้ผมมารับคุณนะครับ”
“คะ”
จิ่งหนิงออกไปจากลู่ซื่อ ตอนหกโมงเย็น ลู่จิ่งเซินก็มารับเธอ
พวกเขาไม่ได้ไปที่อื่น แต่ขับรถตรงไปยังวิลล่าลู่สุย
จิ่งหนิงยังไม่รู้ว่าเย็นนี้เขาจะไปพบใคร เพียงแต่รู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนี้อารมณ์ดี ถามเขาก็ไม่ยอมบอก ในใจอดแปลกใจไม่ได้กับงานเลี้ยงในคืนวันนี้
ในวิลล่าลู่สุย ห้องส่วนตัวลานโบตั๋น
คนวัยหนุ่มสาวหลายคนกำลังนั่งอยู่ที่โซฟา
เฟิงยี่นั่งไขว่ห้าง มองไปที่ประตูอย่างรอคอย ยิ้มพลางกล่าวว่า : “วันนี้พี่สามบอกว่า จะพาพี่สะใภ้มาให้พวกเขาดู พวกเธอเดาสิว่าพี่สะใภ้คนนั้นจะเป็นใคร?”
ข้างๆ เซ่เซียวเลิกคิ้วอย่างภูมิใจ “นายไม่รู้หรือ? เฮ้! ผมเคยเห็นแล้ว เป็นไงล่ะ? จะให้ผมเล่าให้ฟังหน่อยไหมล่ะ?”
เฟิงยี่มองค้อนเขา และกล่าวอย่างเหยียดหยาม
“ภูมิใจอะไรนักหนา? ผมไม่อยากรู้หรอก อีกเดี๋ยวผมก็จะได้เห็นเองแล้ว”