ดังนั้นจึงไม่สามารถตำหนิหนานมู่หรงที่ตื่นตระหนกได้เพราะสมาชิกในครอบครัวที่มีพลังอำนาจเช่นนี้ บอกว่าเปลี่ยนก็เปลี่ยน
ไม่ว่าเขาจะมีความคิดอย่างไรก็รู้สึกว่ามันไม่ปกติ
แน่อนว่าหนานกงจิ่นรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
เขาพูดเสียงขรึม: “ถ้าอย่างนั้นนายยังจำได้ไหมว่าท่านหัวหน้าตระกูลหนานคนแรกมีชื่อว่าอะไร?”
เมื่อคำพูดนี้ถูกพูดออกมาหนานมู่หรงก็อึ้งไป
ถ้าหากเขาจำไม่ผิดหัวหน้าตระกูลหนานคนแรกชะ ชื่อ… หนานจิ่น!
ใช่แล้ว ชื่อนี้แหละ
ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ถึงแม้จะรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อ แต่ก็ยังเบิกตาโพลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หนานกงจิ่นยกมุมปากเล็กน้อยและไม่พูดอะไร
หนานมู่หรงกลับอ่านความมุ่งมั่นอย่างชัดเจนจากสายตาของเขา และความทะเยอทะยานที่ถูกปลูกฝังมาตลอด
หัวใจของเขาสั่นอย่างรุนแรง
หนานกงยวู่พูดขึ้นในเวลาที่พอเหมาะ: “ยังไม่ทำความเคารพท่านหนานอีก!”
ตอนนี้ใบหน้าของหนานมู่หรงเปลี่ยนเป็นซีดขาว หน้าผากของเขามีเหงื่อเย็นผุดออกมาไม่หยุด
เขาส่ายหน้าอย่างไม่น่าเชื่อและเอาแต่พึมพำ: “ไม่ เป็นไปไม่ได้ ทำไมถึงเป็นไปได้…”
ใช่แล้ว ในฐานะผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าที่เติบโตขึ้นมาในศตวรรษใหม่ เขาไม่เคยเชื่อเลยว่าจะมีใครในโลกนี้มีชีวิตอยู่ถึงพันปี!
หนึ่งพันปี กระดูกควรจะต้องกลายเป็นผุยผง ไม่อย่างนั้นก็ต้องกลายเป็นหิน มันจะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร!
ความตื่นตระหนกของหนานมู่หรงตกลงไปในดวงตาของหนานกงจิ่น
เขากลับไม่ใส่ใจ สุดท้ายแล้วการศึกษาในปัจจุบันที่หนานมู่หรงได้รับมาและโลกทัศน์ที่เขาอยู่ คงจะแปลก ถ้าเขาเชื่อเป็นครั้งแรกจริงๆ ว่าหนานกงจิ่นเป็นคนจากเมื่อพันปีก่อนจริง ๆ
หนานกงจิ่นยิ้มบาง ๆ และไม่รีบร้อน เขายกถ้วยชาขึ้นจิบ
หลังจากวางถ้วยชาลงจึงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย: “ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้เรื่องนี้มันจะเหลือเชื่อจริง ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นไปไม่ได้ โลกนี้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้เสมอ ใช่ไหมล่ะ”
หนานกงยวู่ที่อยู่ข้าง ๆ ส่งเสียงรับคำ “ใช่ ๆ ๆ นายท่านพูดถูก”
เขาได้รับเลือกจากหนานกงจิ่นและเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าตระกูล ตั้งแต่วันที่เขารับช่วงต่อ เขาได้เจอกับหนานกงจิ่น
ในช่วงแรกเขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อ แม้แต่ยังไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ยังมีคนที่อยู่เหนือตนเองซึ่งเป็นถึงหัวหน้าตระกูลขึ้นไปอีก
แต่หลายปีมานี้ก็ทำให้เขาค่อย ๆ เข้าใจมากขึ้นว่าด้วยผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ ด้วยวิถีทางและกำลังของเขายิ่งทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น
หากตนเองไม่เชื่อฟังเขาแล้ว เกรงว่าอย่าว่าแต่ตำแหน่งหัวหน้าตระกูล แม้แต่ชีวิตก็คงรักษาไว้ไม่ได้
ไม่เพียงเท่านั้น ความลึกลับและพลังของเขาไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาอย่างเขาสามารถต่อต้านเขาได้
ดังนั้นหนานกงยวู่จึงค่อยๆ ปล่อยความไม่พอใจออกไป
และยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าหนานกงจิ่นจะแบ็งแกร่งแต่เขาก็ไม่ได้สนใจผลประโยชน์ภายในของตระกูลเท่าใดนัก อีกทั้งยังไม่ใส่ใจด้วย
ในสายตาของเขา เงินทองเหล่านี้เปรียบเสมือนสิ่งของนอกกาย
การใช้ชีวิตประจำวันของเขาไม่มีอะไรที่ฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อ
แม้แต่เวลาที่หนานกงยวู่พยายามจะเอาใจเขาด้วยการนำของมีค่าซึ่งเป็นของหายากแม้ในปัจจุบันมาให้ เขาก็ได้แต่มีสีหน้าเฉยเมยและมองผ่านไป
ต่อมาเขาจึงได้ให้เขาเอามันออกไปด้วยความรำคาญและบอกว่าไม่ต้องเอามาให้อีก
หนานกงยวู่จึงได้รู้ตัวว่าผู้ชายคนตรงหน้าเขาคนนี้ไม่สนใจเรื่องเงินทอง
และใช่ ตระกูลหนานทั้งหมดเป็นของเขาและพูดได้ว่าเขาสร้างมันมาด้วยมือของเขาเอง
แล้วเขายังจะสนใจเงินทองเล็กน้อยพวกนั้นอีกอย่างนั้นหรือ?
มีอะไรที่เขาต้องการแล้วจะไม่ได้บ้าง?
แม้ว่าหากเขาจะอยากได้ตำแหน่งเป็นหัวหน้าตระกูล เพียงประโยคเดียว การกระทำเดียว และแม้แต่ยืนขึ้นเพื่อยืนยันตัวตนของเขา จะมีคนจำนวนมากที่เกาะติดเขาและติดตามเขา เขาไม่ต้องการจะยืมมือคนอื่น ต้องการอะไรจากใคร
แน่นอนว่าย่อมจะมีคนที่ไม่เชื่อเขา
แต่ในเมื่อหนานกงยวู่เชื่อ ผู้ชายตรงหน้าเขาคนนี้ย่อมมีวิธีและความสามารถทำให้คนที่ไม่เชื่อ เชื่อเขาได้
เหมือนกับหนานมู่หรงที่อยุ่ตรงหน้าเขา
เมื่อเห็นใบหน้าซีดขาวของหนานมู่หรง เหงื่อเย็นไหลไม่หยุด เขาพูดอย่างเรียบเฉย: “ในเวลาเพียงฉับพลัน คุณจะรับไม่ทันก็เป็นเรื่องปกติ ผมจะให้เวลาคุณ คุณก็
ค่อย ๆ ทำใจยอมรับไป”
น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยเหมือนกำลังพูดเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันแบบนั้น
และไม่รู้เลยว่าในใจของหนานมู่หรงนั้นกำลังเหมือนคลื่นที่ถาโถมอย่างบ้าคลั่ง
หนานมู่หรงมองดูเขา และหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พยายามฮึดขึ้น
เขาถาม: “ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อคุณ เพียงแต่เรื่องนี้มันยากเกินไปที่จะเชื่อ พูดตามจริง หากไม่ใช่ว่าหัวหน้าตระกูลก็อยู่ด้วย ผมคงเข้าใจผิดว่า คงคิดว่า…”
เขาก้มหน้าลง
หนานกงจิ่นยิ้ม
รอยยิ้มนั้นเหมือนสายลมและพระจันทร์ที่สดใสอ่อนโยนมาก
“เข้าใจว่าอะไร? เข้าใจว่าผมเป็นสิบแปดมงกุฎงั้นเหรอ?”
หนานมู่หรงพยักหน้าด้วยความอึดอัด
“เรื่องปกติ”
เขายิ้มอย่างแผ่วเบา หยิบกาน้ำชาขึ้นมา และรินน้ำชาในถ้วยเปล่าบนโต๊ะ
“หากคุณไม่เชื่อ ก็ยังมีอีกวิธีที่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหก”
เขาพูดพลางวางกาน้ำชาลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ยกข้อมือขึ้น
และเห็นเพียงสิ่งที่น่าแปลกใจ
ถ้วยอยู่ตรงหน้าหนานมู่หรงยกขึ้นตามมือของเขาที่ยกขึ้นราวกับเป็นมายากล “ฟึ่บ” มันลอยเข้าไปอยู่ในมือเขา
หนานมู่หรงไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น วินาทีถัดมา ถ้วยอยู่ในมือของเขาแล้ว
เขาเบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจ
หนานกงจิ่นรินน้ำชาใส่แก้วในมือแล้ววางลงตรงหน้าเขา ยิ้มและพูด: “แบบนี้เชื่อได้รึยัง?”
หนานมู่หรงถึงกับพูดไม่ออกด้วยความสยดสยอง
นะ นี่…มันคืออะไร?
พลังโทรจิต?
เขากำลังเล่นมายากลงั้นเหรอ?
เมื่อเห็นว่าเขายังดูไม่เชื่ออยู่ หนานกงจิ่นก็ถอนหายใจและส่ายหัวราวกับว่าค่อนข้างกังวล
“ช่างเถอะ ดูแล้วคุณคงจะยังไม่เชื่อ งั้นผมจะแสดงให้คุณดูอีกครั้ง”
ขณะที่พูด ทันใดนั้นก็เงยหน้า ครั้งนี้ไม่ได้เล็งไปที่ถ้วยที่อยู่ข้างหน้าเขา แต่ไปที่กระถางดอกไม้บนดอกไม้ที่ยืนอยู่ข้างพวกเขา ห่างออกไปประมาณสามเมตร
เห็นเพียงใบหน้าของหานกงจิ่นกระชับ และข้อมือของเธอตึงเล็กน้อย ดอกไม้นั้นดูเหมือนจริง ๆ แล้วถูกปกคลุมไปด้วยเวทมนตร์เกิดเสียง “ฟุ่บ”
วินาทีถัดมามันก็ปรากฏตัวอยู่ในมือของหนานกงจิ่น
เขามองไปที่หนานมู่หรงอีกครั้ง
“ครั้งนี้ คุณจะเชื่อได้รึยัง?”
ใบหน้าของหนานมู่หรงซีดเสียจนไม่สามารถจะซีดไปมากกว่านี้ได้แล้ว
เรียกได้ว่ามันซีดจนถึงขีดสุด สายตาที่มองไปที่หนานกงจิ่นนั้นเหมือนกับกำลังจ้องมองสัตว์ประหลาดตนหนึ่ง
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดขึ้น: “คุณ…ไปเรียนวิชาแบบนี้มาจากไหน?”
หนานกงยวู่พูดเสียงขรึม: “สามหาว ทำไมถึงพูดกับนายท่านแบบนี้?”
หัวใจของหนานมู่หรงสั่นเทา
หนานกงจิ่นยกมือขึ้นหยุดการดุของหนานกงยวู่แล้วพูดเบา ๆ: “เมื่อนานมาแล้วบนแผ่นดินนี้ มีวิชากังฟูมากมายที่ยังไม่หายไป ตอนนี้พวกคุณอยากจะฝึกก็ไม่ได้แล้ว ฉันก็แค่ฝึกมาเมื่อนานมาแล้ว ไม่มีอะไรหรอก และไม่ใช่สิ่งที่พวกคุณคิดว่าเป็นมายากลอะไร พูดแบบพวกคุณมันก็เพียงการใช้กระแสลมและกำลังภายในนิดหน่อยเท่านั้น”