เขารู้ถึงบทบาทของตนเองดี ภายในตระกูลนี้ ตนเองก็แค่คนที่อยู่ปลายแถวสุดท้ายเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นหนานกงจิ่นหรือหนานกงยวู่ เพียงแค่พวกเขาต้องการก็สามารถกำจัดตนเองไปได้ทุกเมื่อ
ง่ายดายเหมือนกับการบี้มดให้ตายไปอย่างนั้น
ดังนั้นต่อให้จะเกิดความสงสัยในใจหรือไม่เข้าใจมากไปกว่านี้ เขาเองก็ไม่กล้าจะเอ่ยปากถาม
เหมือนกับกลัวว่าจะโดนปิดปากหากว่าตนเองนั้นรู้มากเกินไป
จนถึงตอนนี้ แน่นอนว่าหนานมู่หรงไม่อาจจะแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาและคิดเอาว่าตระกูลหนานของตนเองนั้นใสสะอาดเหมือนดั่งที่ตนเองรับรู้มาในอดีตอีกแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่นใด แค่สัตว์ประหลาดเฒ่าที่มีอายุพันปีที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ก็ทำให้รู้สึกไม่น่าเชื่อมากแล้ว
ถึงแม้หนานมู่หรงจะยังตะขิดตะขวงใจเรื่องอายุของเขาอยู่
แต่วิชาโทรจิตของหนานกงจิ่นเมื่อครู่ก็ไม่ได้ดูเหมือนจะเป็นของปลอม อย่างน้อยเขาก็ดูไม่ออกว่ามันเป็นของปลอม
ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากว่าคนตรงหน้าเขาจะพูดความจริง
แต่หากเขาบอกว่ามันเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นเรื่องนี้ก็คงจะน่ากลัวเกินไป
ที่สุดแล้วหากเป็นคนทั่วไปต่อให้อีกฝ่ายจะอุบายลึกซึ้งแค่ไหน น่ากลัวแค่ไหนแต่ก็เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น
แต่กับคนที่มีใช้ชีวิตมาหนึ่งพันปี หนานมู่หรงไม่รู้เลยว่าควรจะยังใช้คำว่ามนุษย์กับเขาได้อยู่หรือไม่
ยิ่งกว่านั้นตั้งแต่เขาได้รู้ความจริง ความผูกพันในปัจจุบันของเขากับวงศ์ตระกูลก็หายไปด้วย
แม้แต่รู้สึกศรัทธาที่ล่มสลาย
แต่หนานกงจิ่นไม่ได้สนใจความคิดของเขาอย่างชัดเจน
ตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดี
เขามีชีวิตอยู่มานาน นี่เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ อีกทั้งยังรู้สึกอับอายที่ถูกคนตลบหลังอีกด้วย
สำหรับหนานกงจิ่นผู้หยิ่งยโส เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยมันไปง่าย ๆ
ผ่านไปครู่ใหญ่ ชายแก่ที่ชื่อเหล่าโม่ จึงได้นำกล่องที่ทำจากหยกขนาดประมาณครึ่งเมตรเข้ามา
“นายท่าน ต้นเงินทองบรรจุเรียบร้อยแล้วครับ”
หนานกงจิ่นยื่นมือและรับกล่องหยกนั้นมาแล้วเปิดมัน
เห็นเพียงมีต้นเงินทองนอนอยู่ข้างใน
ตามกิ่งก้านของต้น ยังมีผลสีทองอยู่บ้าง ซึ่งเป็นยาที่เขากินช่วงเวลาปกติไม่ใช่เหรอ?
หนานมู่หรงอึ้งไปชั่วขณะ
ก่อนหน้านี้เขารู้เพียงว่ายาชนิดนี้นั้นหาได้ยาก ในฐานะลูกหลานของตระกูลจะได้รับการจัดสรรยานี้ในทุกปี
เดิมทีเข้าใจผิดว่าเป็นเพราะส่วนผสมที่หาได้ยาก แต่คิดไม่ถึงว่าที่แท้มันคือพืชชนิดหนึ่งงั้นเหรอ?
ที่จริงแล้วตระกูลหนานสามารถพัฒนาและมีอิทธิพลมาได้ถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะหัวหน้าตระกูลมีความสามารถในการจัดการเท่านั้น
แต่ยังเป็นเพราะพวกเขามีโรคประจำตัว และโรคนี้จะแสดงอาการเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ไม่ช่วงใดก็ช่วงหนึ่ง เมื่อแสดงอาการแล้วหากไม่ได้รับยาก็จะต้องตาย
ไม่มีใครยอมตาย และหากไม่อยากตาย หนทางเดียวที่จะทำได้ก็คือต้องอยู่ในตระกูลหนานและทำเพื่อวงศ์ตระกูลต่อไป
ดังนั้นคนตระกูลหนานในหลายปีมานี้ไม่ว่าพวกเขาจะกลายเป็นคนร่ำรวยแค่ไหนหรือมีฐานะทางสังคมสูงแค่ไหน
ขอเพียงพวกเขาไม่สามารถจะวิจัยได้ว่ายาที่ช่วยชีวิตพวกเขาคืออะไร พวกเขาก็ทำได้เพียงทำงานต่อไปเพื่อวงศ์ตระกูล
หนานกงจิ่นมีชีวิตเป็นพันปีและปกครองตระกูลมาแล้วพันปี
ดังนั้นจึงพูดได้ว่าการมีชีวิตต่อไปเพื่อวงศ์ตระกูลก็เท่ากับมีชีวิตต่อเพื่อเขา
หากเทียบทั้งตระกูลเหมือนเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ เช่นนั้นหนานกงจิ่นก็เปรียบเสมือนศูนย์กลางสำคัญที่สุด
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หนานมู่หรงก็ซีดเผือด
ทันใดนั้นเขาก็คิดขึ้นได้ว่าวันนี้เขาได้ล่วงรู้ความลับมากเกินไปเสียแล้ว
ไม่เพียงแต่ฐานะของหนานกงจิ่น ยังมีเรื่องยานั่น…
ความลับประเภทนี้ ทันทีที่ถูกแพร่งพรายออกไป ไม่เพียงจะทำให้เกิดความโกลาหล แต่คนในตระกูลย่อมมีความคิดที่แตกต่างและการกระทำต่าง ๆ ด้วย
เมื่อเป็นแบบนั้น…
เหงื่อเย็นของเขาไหลออกมาทันที
หนานกงจิ่นเป็นผู้มากประสบการณ์ ใยจะไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร?
เขามองไปที่หนานมู่หรงอย่างเฉยชาแล้วถามอย่างไม่ใส่ใจ: “ดีจริง ๆ อากาศก็ไม่ร้อน ทำไมคุณถึงเหงื่อออกเยอะแบบนี้ล่ะ? กลัวอะไรอยู่งั้นเหรอ?”
หนานมู่หรงสีหน้าขาวซีด
เขาเช็ดเหงื่อที่หน้าผากแล้วพูดเบา ๆ: “เปล่าครับ ผม…”
เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะพูดอะไรดีและไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะพูดอะไรเพื่อให้หนานกงจิ่นยอมปล่อยเขาไป
ทันใดนั้นกลับเห็นหนานกงจิ่นหัวเราะออกมา
เสียงหัวเราะของเขาแผ่วเบาราวสายลมฤดูใบไม้ผลิ หากเปลี่ยนฉาก เกรงว่าจะทำให้คนมองว่าคนนี้ใจดีและมีเสน่ห์มาก
เขายื่นมือออกมาและตบบ่าของหนานมู่หรง
“ไม่ต้องตื่นเต้น คุณวางใจ วันนี้ที่ผมให้เหล่าโม่พาคุณมา ก็ไม่ได้คิดว่าคุณทำแพร่งพรายความลับนี้ออกไป”
หนานมู่หรงฝืนยิ้ม
“ขอบคุณนายท่านที่ไว้ใจ ผมจะรักษาความลับนี้ไปปจนตายและถือว่าวันนี้ไม่ได้ยินอะไรเลย”
หนานกงจิ่นพยักหน้า
เขายกมือขึ้นและยื่นกล่องหยกที่บรรจุต้นเงินทองไว้ให้เขา
“คุณช่วยเอาของสิ่งนี้ส่งมอบให้กู้ซือเฉียนที และเอาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์กลับมา เข้าใจไหม?”
หนานมู่หรงสีหน้าซีดเผือดและมองดูพืชสีทองอร่ามที่อยู่ในกล่องหยกนั้น
ภายในกล่องหยกไม่มีทั้งดินและน้ำ แต่ต้นไม้ต้นนั้นกลับดูเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี เมื่อส่องไฟไปที่ผลที่ทองเหล่านั้น มันดูเหมือนทองเป็นก้อน ๆ จริง ๆ
เขากลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้
หนานกงจิ่นพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย: “ผมเชื่อว่าคุณจะทำได้ ใช่ไหม?”
หนานมู่หรงพยักหน้า
ในขณะที่รับกล่องหยกมา เขาได้ยินเสียงหัวใจเต้นราวกับเสียงฟ้าร้องรัว ๆ
นี่คือกุญแจสู่ชะตากรรมของวงศ์ตระกูลเป็นเวลาหลายพันปี
หลายคนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลเพื่อสิ่งนี้
เมื่อหัวหน้าตระกูลบอกซ้าย ทุกคนไม่กล้าไปขวา หัวหน้าตระกูลให้ส่งส่วยจำนวนเท่าไหร่ในทุกปี ไม่มีใครกล้าให้น้อยกว่านั้นสักบาทเดียว
จะบอกว่านี่คือหัวหน้าตระกูลงั้นเหรอ นี่มันเรียกว่าราชาชัด ๆ
ในสังคมปัจจุบันนั้นยังจะมีสักกี่คนที่ได้สิทธิพิเศษเช่นนี้?
และในตอนนี้ดูเหมือนโอกาสนั้นจะอยู่ตรงหน้าตนเองแล้ว…
ขอเพียงตนเองเลี้ยงดูมันและให้มันเจริญเติบโต ชีวิตที่ต้องเชื่อฟังคำสั่งของหนานกงยวู่ก่อนหน้านี้ ก็คงจะ…
ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ เขาก็ต้องตกใจอย่างรุนแรง
รู้สึกเหมือนโดนบางอย่างในหัวอย่างแรง และจู่ ๆ ก็มีสติขึ้นมา
เขาได้สติและหันไปมองหนานกงจิ่นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
แต่หนานกงจิ่นยังคงนั่งอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเช่นเดิมราวกับไม่ได้มองเห็นสีหน้าที่แปลกไปและความคิดในใจของเขาแต่อย่างใด
เขาเพียงแต่จ้องมองหนานมู่หรงนิ่ง ๆ แต่หนานมู่หรงกลับรู้สึกเหมือนถูกสายตาเย็นเยียบของเจ้างูร้ายจ้องมองจนต้องเสียงสันหลังวาบ
ไม่ ไม่ถูก
หนานกงจิ่นไม่ใช่คนที่จัดการได้ง่ายอย่างนั้น
ถึงแม้กู้ซือเฉียนจะใช้แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์มาบีบเขา หรือแม้แต่ใช้วิธีเผาหยกดั่งหินอย่างไม่ลังเล
แต่จากบทสนทนาเมื่อครู่แล้ว ก็รู้ว่ากู้ซือเฉียนไม่รู้ว่าหนานกงจิ่นเป็นสัตว์ประหลาดที่มีชีวิตมาแล้วพันปี
เมื่อครู่เขาพูดผ่านกล้องรูเข็มว่าถ้าเขาและเฉียวฉีเสียชีวิต จากนั้นหนานกงจิ่นก็จะลงนรกไปพร้อมกับพวกเขา