วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – ตอนที่ 1007 เจรจาอีกครั้ง

ตอนนี้เกิดความเงียบชั่วขณะ

ไม่มีใครพูดอะไร ทั้งหมดจ้องไปที่กล่องล้ำค่านั้นจนแทบจะลืมหายใจ

ผ่านไปครู่หนึ่งก็เป็นกู้ซือเฉียนที่ได้สติกลับมา

เขาหันไปมองหนานมู่หรงแล้วพูดเสียงขรึม: “มีแค่กิ่งนี้เหรอ?”

หนานมู่หรงโกรธจนจมูกแทบจะหลุด

“ได้กิ่งนี้มาก็ดีมากแล้วเข้าใจไหม? หากไม่ใช่เพราะฉันที่ช่วยเป็นธุระให้พวกนายครั้งนี้ แม้แต่สักกิ่งก็ไม่มีทางได้เห็นหรอก!”

กู้ซือเฉียนรู้ว่าเขาไม่ได้โกหก

ดังนั้น เขาจึงส่งเสียงเย็นเยียบแล้วไม่พูดอะไรอีกแล้วจึงยื่นมือไปรับมา

ในเมื่อหนานมู่หรงเอาของมาให้แล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไล่เขากลับในทันที

ดังนั้น เขาหันหลังแล้วพาขาเข้าไปในบ้าน แล้วนำสิ่งของนั้นส่งให้พ่อบ้านลุงโอนำไปดูแลก่อนชั่วคราว แล้วจึงหันมามองหนานมู่หรงแล้วถามขึ้นเสียงขรึม: “แล้ววิธีเลี้ยงล่ะ? เอาออกมาสิ”

ของล้ำค่าแบบนี้ เขาไม่เชื่ออยู่แล้วว่ามันจะเหมือนต้นไม้อื่น ๆ ที่ปักลงไปในดินก็เติบโตได้แล้ว

คิดไม่ถึงว่าหนานมู่หรงจะตกใจและเบิกตาโพลง

“วิธีเลี้ยง? ฉันไม่รู้อะ”

กู้ซือเฉียนขมวดคิ้วและมีสีหน้าขรึมในทันที

“หนานกงจิ่นไม่ได้บอกนาย?”

“ไม่ได้บอก”

หนานมู่หรงนิ่งไป ทันใดนั้นก็นึกถึงอะไรบางอย่าง ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีแวบเข้ามาในดวงตาของเขา

เขาลองถาม: “ยังไงซะนายก็ติดต่อเขาเองได้ ถ้างั้น…นายลองถามเขาดูสิ?”

กู้ซือเฉียนมีสีหน้าเคร่งขรึมโดยสิ้นเชิง

จนถึงตอนนี้ เขายังไม่เข้าใจอีกงั้นเหรอว่าหนานกงจิ่นยังทิ้งลูกไม้เอาไว้ รอให้เขาติดต่อกลับไปถาม

แต่เมื่อคิดย้อนกลับไป ทุกคนล้วนเป็นคนฉลาดและต่างรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะเล่นงานตนเอง จึงไม่มีทางจะพูดอะไรออกมาทุกอย่างในคราวเดียว

เมื่อคิดได้แบบนี้เขาก็ยิ้มออกมา

“ได้ ฉันเข้าใจแล้ว นายไปเถอะ”

หนานมู่หรงเห็นเขาพูดเช่นนี้แล้วรู้สึกเหมือนเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล

จึงอดที่จะไม่พอใจไม่ได้

“นายถามเลยสิ ฉันก็อยู่พอดี ฉันอยู่ฟังด้วย ไอ้ต้นนี่มันต้องเลี้ยงยังไง?”

กู้ซือเฉียนมองเขาแล้วยิ้มจาง ๆ

“นายมียากินอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ยาที่ได้รับตามส่วนแบ่งของตระกูลหนานของพวกนายยังไม่พอรึไง? จะต้องมาถามหาตำรายาจากฉัน? ทำไม? คิดจะแยกวงรึไง?”

เมื่อพูดแบบนี้ออกไป สีหน้าของหนานมู่หรงก็เปลี่ยนไปในทันที

สีหน้าของเขาเคร่งขรึมและพูดอย่างโกรธเคือง: “ถ้านายไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก ทำไมจะต้องพูดแบบนั้นกับฉันด้วย นายก็รู้ว่าฉันไม่เก่งพอจะทำอย่างนั้น”

กู้ซือเฉียนขี้เกียจจะไปสนใจว่าเขาจะเก่งพอไหม

เขาโบกมือใหญ่ไปมา “เอาล่ะ หน้าที่ของนายเสร็จสิ้นแล้ว นายไปเถอะ เดี๋ยวฉันจะจัดการติดต่อเขาเอง”

หนานมู่หรงเห็นดังนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่เต็มใจแต่ก็ไม่ควรจะพูดอะไรอีก

เขายื่นมือออกมา “งั้นนายก็เอาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ของจริงมาให้ฉัน”

กู้ซือเฉียนนิ่งไปและเกือบจะลืมไปแล้ว

อย่างไรเสียตอนนี้เขาก็ได้ต้นเงินทองมาแล้ว ทำธุรกิจ มันก็เป็นแบบนี้แหละ คุณถอยก้าวหนึ่ง ฉันไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ธุรกิจเป็นอันสมบูรณ์

หากไม่ถอยสักก้าว บางครั้งคุณก็จะผลักกันไปสู่ทางตัน

หลักการนี้ทั้งกู้ซือเฉียนและหนานกงจิ่นต่างเข้าใจดี

ดังนั้นหนานกงจิ่นจึงไม่ได้เป็นกังวลแม้แต่น้อยว่าหนานมู่หรงจะเก็บต้นเงินทองไว้กินคนเดียว เพราะเขารู้ว่าหนานมู่หรงไม่ได้มีความกล้าเท่านี้ที่จะเผชิญหน้าการตามไล่ล่าจะทั้งตระกูลหนาน

และเขาก็ไม่เป็นกังวลใจว่าหลังจากที่กู้ซือเฉียนได้ต้นเงินทองไปแล้วเรื่องมันจะจบไปทั้งอย่างนั้น

ต้องพูดว่าหนานกงจิ่นเป็นผู้ที่มีความสามารถในการเดาใจคนได้แม่นจริง ๆ

เขาเดาใจได้แทบจะทุกคน

กู้ซือเฉียนให้เฉียวฉีนำกล่องออกจากตู้ในห้องหนังสือชั้นบน

เฉียวฉีรู้อยู่แล้วว่ามันอยู่ตรงไหน หลังจากหันหลังและเดินขึ้นไปไม่นานก็กลับลงมา

ในมือของเธอมีกล่องไม้เล็ก ๆ เมื่อมองดูให้ละเอียดก็พบว่ามันหน้าตาเหมือนกับกล่องที่หนานมู่หรงไปไม่ผิดเพี้ยน

หนานมู่หรงยื่นมือรับไปแล้วมองกล่องที่อยู่ในมือ สีหน้าแปลกเล็กน้อย

เขาเงยหน้าขึ้นมองกู้ซือเฉียนแล้วถาม: “ครั้งนี้ นายคงไม่ได้ใส่อะไรเข้าไปหรอกใช่ไหม?”

กู้ซือเฉียนหัวเราะเย็น “ฉันทายาพิษไว้บนกล่อง นายเชื่อไหม?”

หนานมู่หรงตกใจกลัวจนหน้าเปลี่ยนสีจนเกือบจะโยนกล่องนั้นทิ้งไป

แต่ภายในเวลาอันรวดเร็วเขาก็ได้สติ กู้ซือเฉียนกำลังล้อเล่น

สีหน้าของเขาดูแย่ในทันใด เพราะตนเองเพิ่งจะเสียหน้าต่อหน้ากู้ซือเฉียน และอับอาย

เขาพูดอย่างเสียอารมณ์: “เอาเถอะ ยังไงซะก็ไม่มีใครทำอะไรนายได้ นายกล้าเล่นมุกแบบนี้กับฉันก็ได้ หากนายกล้าเล่นมุกแบบนี้กับคนคนนั้น ระวังถึงเวลานั้นจะหน้าแตก ไม่ได้ทำให้นายรู้สึกดีหรอก”

กู้ซือเฉียนเข้าใจหลักการนี้ดี ดังนั้นเขาจึงไม่ได้วางยาพิษอะไรบนกล่องนั้น

เขาโบกมือไปมาด้วยความรำคาญ

“เอาละ ๆ ของนายก็ได้แล้ว ไปเสียที”

หนานมู่หรงส่งเสียงออกมาแล้วจากไป

หลังจากเขาออกไปแล้ว กู้ซือเฉียนจึงได้กลับเข้าไปในห้องหนังสือพร้อมเฉียวฉี

เขาให้ลุงโอนำต้นเงินทองมา จากนั้นก็เปิดคอมพิวเตอร์ เข้าสู่โปรแกรมต่างๆ และในวินาทีต่อมา หน้าจอก็แสดงภาพ

ระหว่างนั้น หนานกงจิ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้เอนกาย หลับตาลง และไม่รู้ว่าหลับหรืออะไร

กระถางไฟเรียบง่ายวางอยู่บนโต๊ะสั้นๆ ข้างๆ กัน และควันบางๆ ม้วนตัวออกมาจากกระถางไฟ และภาพก็สงบและเงียบอย่างสุดจะพรรณนา

กู้ซือเฉียนไม่เกรงใจและไม่สนใจว่าถ้าพูดออกมาตอนนี้จะเป็นการรบกวนเขาหรือทำลายบรรยากาศที่งดงามหรือไม่

เขาพูดเสียงขรึมออกมาทันที: “พูดมา คุณต้องการอะไรถึงจะบอกวิธีการเลี้ยงต้นเงินทองกับผมได้?”

ในภาพหนานกงจิ่นค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

เขาหันไปมองกล่องไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะ

ก่อนหน้านี้หนานกงยวู่หยิบกล้องรูเข็มออกจากกล่องไม้ ต่อมา เขาขอให้หนานกงยวู่ติดตั้งกลับเข้าไป

สิ่งเหล่านี้ในสังคมสมัยใหม่มักทำให้เขาไม่ชอบ สิ่งเล็กๆ ที่ดูเหมือนเมล็ดงา โยนมันลงบนโต๊ะ และหายไปทันทีที่ลมพัดผ่าน

ติดมันไว้กับกล่องยังจะดูปลอดภัยขึ้นมาบ้าง

เมื่อคิดแบบนี้เขาก็ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดอย่างเรียบเฉย: “คุณกู้ สู้เรามาทำการแลกเปลี่ยนกันอีกเป็นไง?”

แน่นอนว่ากู้ซือเฉียนไม่หวังว่าหนานกงจิ่นจะบอกเขาตรง ๆ

ตามความร้ายกาจของเขา หากไม่มีผลประโยชน์ก็คงไม่มีทางเปิดปาก

ดังนั้น เขาจึงแทบไม่ต้องคิดและรับปาก

“ได้สิครับ คุณหนานพูดมาสิครับว่าคุณอยากจะทำการแลกเปลี่ยนอะไร”

หนานกงจิ่นพูดเสียงขรึม: “เราต่างไม่ใช่คนที่จะยอมขาดทุนและไม่เชื่อใจอีกฝ่าย ในเมื่อเป็นแบบนี้ สู้เรามาพูดกันตรง ๆ เลยดีกว่า ต้นเงินทอง ผมให้คุณได้ แต่จะต้องเลี้ยงดูต้นเงินทองอีกครึ่งปีมันถึงจะออกดอกออกผลอีกครั้ง และการออกผลหนึ่งครั้งจะได้ผลจำนวนหกผล พูดก็คือ หนึ่งปีมีเพียงสิบสองผล”

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset