เธอขยับเข้ามาข้างหน้า และกอดท่านย่าเชิ๋นอย่างอบอุ่น
“ท่านย่า ท่านดีจริงๆเลย”
เมื่อท่านย่าเชิ๋นถูกเธอสวมกอดเช่นนี้ ทันใดนั้นหล่อนก็ยิ้มอย่างดีอกดีใจ
กลางวัน จิ่งหนิงรับประทานอาหารอยู่ที่คฤหาสน์หลังเก่า
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ โม่หนานก็มารับเธอไปที่บริษัท
เมื่อจัดการธุระตลอดช่วงบ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตกเย็นก็เดินทางกลับบ้าน จิ่งหนิงจึงได้เล่าเรื่องที่เมื่อช่วงเช้าเธอได้คุยกับท่านย่าเชิ๋นพูดให้ลู่จิ่งเซินฟัง
เมื่อลู่จิ่งเซินเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็ได้สั่งการลงไปและได้วางแผนกำหนดการที่จะออกเดินทางในอีกสองวันข้างหน้า
เนื่องจากในครั้งนี้ ผู้ใหญ่ต่างออกเดินทางกันหมด ทำให้เด็กสองคนไม่สะดวกที่จะอยู่ที่บ้าน เดิมทีจิ่งหนิงต้องการที่จะฝากให้กวนจี้ หมิงดูแลสักสองสามวัน
เพราะถึงยังไงเขาก็เป็นลุงแท้ๆของจิ่งหนิง ถึงยังไงคงไม่ปฏิบัติไม่ดีต่อเด็กทั้งสอง
แต่ลู่จิ่งเซินกลับคิดว่า ในเมื่อไปตระกูลจิ้น อีกทั้งยังไปพบโม่ไฉ่เวย ถ้างั้นก็พาไปด้วยกันเถอะ
เพราะยังไงจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย อีกอย่างโรงเรียนก็ปิดเทอมพอดี ทิ้งให้เด็กทั้งสองอยู่ที่บ้านกลับทำให้พวกเรารู้สึกไม่พอใจเสียมากกว่า
เมื่อไปที่นั้น นอกจากจะช่วยเฉียวฉีและกู้ซือเฉียนจับตาดูเรื่องของแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์แล้วก็ไม่มีเรื่องที่สำคัญอะไร
ดังนั้นก็ถือซะว่าพาพวกเขาไปเที่ยวก็แล้วกัน
เมื่อจิ่งหนิงเห็นเช่นนั้น ในใจก็รู้สึกว่าช่วงนี้ตนเองยุ่งมากๆ วิ่งวุ่นไปทั่ว ก็ถือว่าติดค้างเด็กทั้งสองมากจริงๆ อีกทั้งหากเด็กสองในท้องคลอดออกมา เวลาที่มีให้กับอานอานและจิ้งเจ๋อน้อยก็คงน้อยลง
ดังนั้นหากจะรอให้ถึงเวลาที่ไม่สามารถปลีกตัวมาได้ สู้อยู่เป็นเพื่อนเขาตอนนี้น่าจะดีกว่า
เมื่อคิดเช่นนี้ เธอจึงไม่ได้ปฏิเสธอีก
เมื่อเด็กทั้งสองรู้ว่าพวกเขาจะได้ออกไปเที่ยวข้างนอกกับจิ่งหนิงและลู่จิ่งเซิน ก็ดีใจเป็นอย่างมาก
แต่ว่า ลู่จิ่งเซินก็ได้ตั้งกฎกับพวกเขาไว้สามข้อ
เนื่องจากออกไปข้างนอก ทำให้ไม่สามารถมีคนใช้ติดตามข้างกายได้จำนวนมาก ทำให้มีเรื่องมากมายที่จิ่งหนิงและเขาจะต้องจัดการด้วยตนเอง
สำหรับเขายังพอโอเค แต่ตอนนี้สุขภาพของจิ่งหนิงไม่ค่อยสะดวก เขาเป็นกังวลว่าจะทำให้จิ่งหนิงเหนื่อย
ดังนั้น ก่อนออกจากบ้าน จึงได้มีการนัดแนะกับเด็กๆทั้งสองไว้เรียบร้อยแล้ว
ห้ามทะเลาะกัน ห้ามใช้อารมณ์แบบเด็กๆ ต้องเชื่อฟัง ต้องมีเหตุผล เมื่อได้พบกับคุณทวดจิ้น ต้องมีมารยาท มิฉะนั้นจะไม่อนุญาตให้พวกเขาออกไปข้างนอก
เด็กน้อยทั้งสองรอคอยที่จะได้ออกไปข้างนอกจนแทบจะเป็นบ้าแล้ว
ตอนนี้เมื่อได้ฟังแล้ว จะไม่รับปากได้ยังไงกัน?
จึงรีบรับปากอย่างนอบน้อม
เมื่อพูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะถึงวันออกเดินทาง สัมภาระของเด็กน้อยทั้งสองก็เตรียมเรียบร้อยแล้ว จิ่งหนิงพาพวกเขาไปที่คฤหาสน์หลังเก่าก่อน เมื่อไปรับท่านย่าและท่านปู่เรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางไปที่สนามบินด้วยกัน
จากเมืองหลวงไปที่ประเทศFต้องใช้เวลาในการเดินทางสี่ชั่วโมง เมื่อขึ้นบินแล้ว เด็กน้อยทั้งสองดีอกดีใจจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว
ดีที่เป็นเครื่องบินส่วนตัว ด้านบนนอกจากตระกูลลู่และหมอที่คอยติดตาม ก็ไม่มีคนอื่นอีก
ลู่จิ่งเซินสั่งให้เด็กทั้งสองนั่งอยู่ในที่ของตนเอง จากนั้นก็สอนเล่นเกมง่ายๆที่สามารถเล่นอย่างเงียบๆได้
เมื่อจิ่งหนิงเห็นสามคนพ่อลูกมีปฏิสัมพันธ์กัน ก็เม้มริมฝีปากอย่างพึงพอใจ
ท่านย่าเชิ๋นและท่านปู่ลู่ นั่งอยู่บริเวณด้านหน้าเครื่อง กำลังพักผ่อน
ลู่จิ่งเซินพูดขึ้นกับจิ่งหนิงด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า:“ถ้าคุณเหนื่อย คุณก็หลับตาพักผ่อนสักครู่เถอะครับ”
จิ่งหนิงส่ายศีรษะ
“ฉันไม่เหนื่อยหรอกค่ะ”
ขอเพียงแค่เธอคิดถึงว่าการเดินทางในครั้งนี้ อีกไม่นานก็สามารถได้พบกับโม่ไฉ่เวยและยังได้เห็นสถานที่ที่แม่ของเธออาศัยตลอดสิบ ปีเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจ แล้วจะเหนื่อยได้ยังไงกัน?
ตอนนี้เธอเข้าใจอานอานกับจิ้งเจ๋อน้อยแล้ว ความรู้สึกของพวกเขาก่อนหน้านี้ที่รอคอยให้เธอกลับบ้าน
คนเรา ไม่ว่าจะโตแค่ไหน ล้วนมีความรู้สึกผูกพันกับผู้เป็นแม่
แม้ว่าเธอจะไม่ใช่ลูกแท้ๆของโม่ไฉ่เวย แต่โม่ไฉ่เวยก็เป็นคนเลี้ยงเขาจนโต สิบแปดปีที่ผ่านมา เป็นสิบแปดปีที่เธอมีความสุขก่อนที่จะได้มาพบกับลู่จิ่งเซิน
แม้ว่าจะมีคนถ่อยอย่างหวังเสว่เหมยและจิ่งเซี่ยวเต๋ออยู่ แต่ชีวิตของเธอก็ไม่มีรอยด่างเลยแม้แต่น้อย ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนเป็นคุณงามความดีของแม่เธอทั้งสิ้น
คนที่โชคดี ก็มักที่จะใช้ความสุขในช่วงวัยเด็กรักษาตน แต่คนที่โชคไม่ดีจะต้องใช้ทั้งชีวิตในการรักษาวัยเด็กของตน
บางครั้งเธอก็รู้สึกปลง ปลงในโชคชะตาของตนเอง แม้ว่าตอนเด็กๆจะถูกทอดทิ้งให้อยู่ข้างนอก แต่ก็ไม่ได้รับอันตรายใดใด
อย่างน้อยสิบแปดปีที่ผ่านมา ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยความรักและแสงสว่าง
และสิ่งนี้ทำให้เธอมีความมั่นใจในตนเอง และยืนหยัดมาโดยตลอด
สิ่งที่โชคดีกว่านั้นก็คือ แม่แท้ๆที่ตนคิดว่าเสียชีวิตไปแล้ว แต่กลับยังมีชีวิตอยู่ และในเวลานี้ทั้งสองจะได้เจอหน้ากันแล้ว
ถ้าไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถพูดได้ว่าฟ้าลิขิต ?
เรื่องทุกเรื่องล้วนลิขิตไว้แล้ว คนดีมีเมตตาก็ต้องได้รับสิ่งดีๆเป็นการตอบแทน
เธอนั่งอยู่ตรงนั้น คิดอะไรเรื่อยเปื่อย
ลู่จิ่งเซินที่นั่งอยู่ข้างๆ เล่นเป็นเพื่อนกับเด็กๆ ทำให้บางครั้งมีเสียงหัวเราะดังเข้ามา
เธอหลับตาลงด้วยความพึงพอใจ
เดิมทีจิ่งหนิงไม่คิดที่จะนอน
เพราะว่าเธอไม่ได้รู้สึกง่วงนอนแม้แต่น้อย
แต่ว่าบรรยากาศบนห้องเครื่องค่อนข้างดี อีกทั้งคนที่ตนรักก็อยู่ข้างกาย ในใจรู้สึกสงบ ทำให้เธอหลับอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เมื่อตื่นขึ้นมา เครื่องบินก็ได้จอดลงแล้ว
ลู่จิ่งเซินที่อยู่ข้างๆลูบไหล่ของเธอเบาๆ“หนิงหนิง ตื่นๆ พวกเรามาถึงแล้ว ”
จิ่งหนิง“อืม”เสียงหนึ่ง ลืมตาขึ้นมา ขณะที่ยืนขึ้นกับพบว่าไม่รู้ว่าร่างกายของตนมีผ้าห่มบางๆห่มอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่
เธอรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ จัดระเบียบผมที่ยุ่งเหยิงของตน
“ทำไมฉันถึงนอนหลับได้ล่ะ?”
ลู่จิ่งเซินยิ้มอ่อนๆ“อาจจะเป็นเพราะว่าเหนื่อยเกินไป มา พวกเราเดินไปกันเถอะ”
จิ่งหนิงพยักหน้า
ลู่จิ่งเซินประคองเธอยืนขึ้น ยื่นมือเข้าไปจัดระเบียบคอเสื้อที่ไม่เป็นระเบียบให้กับเธอ แล้วจูงมือเธอออกไปข้างนอก
เมื่อลงจากเครื่องบิน ก็เห็นว่าบรรยากาศภายนอกมืดครึ้ม ไม่ใช่ท้องฟ้าที่มีแสงแดดจ้า สดใส
เมื่อตระกูลจิ้นรู้ว่าเขาจะมา จึงได้เรียกรถให้มารอตั้งนานแล้ว
เครื่องบินจอดอยู่ที่สนามบินส่วนตัว อานอานและจิ้งเจ๋อน้อย ได้ถูกท่านย่าและท่านปู่จูงมือไปแล้ว ในเวลานี้ พวกเขาได้รอคอยจิ่งหนิงและลู่จิ่งเซินอยู่ที่สนามบินที่โล่งกว้าง
หลังจากที่จิ่งหนิงและลู่จิ่งเซินลงจากเครื่องบิน ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็ยิ้มแล้วเดินมา
“คุณลู่ คุณนายลู่ รถมาถึงแล้วครับ เชิญทางนี้ครับ”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้า
เขาหันไปมองท่านย่าเชิ๋นครู่หนึ่ง ท่านย่ายิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“พวกคุณนั่งคันนั้น ส่วนฉันกับท่านปู่และเด็กๆจะนั่งคันนี้
พวกเขามีกันทั้งหมดหกคน แน่นอนว่านั่งรถคันเดียวคงไม่เพียงพอ ลู่จิ่งเซินจึงพยักหน้า
เมื่อทุกคนขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว รถก็ขับตรงไปยังตระกูลจิ้น
ระหว่างทาง จิ่งหนิงส่งข้อความให้กับหัวเหยาฉบับหนึ่ง เพื่อบอกว่าตนได้ลงจากเครื่องแล้ว
จากนั้น ก็ได้ส่งข้อความให้กับเฉียวฉีฉบับหนึ่ง บอกว่าพวกเขามาถึงแล้ว และถามเขาว่าพวกเขาจะมาเมื่อไหร่
เฉียวฉีตอบกลับอย่างรวดเร็ว
กลับพบว่า หล่อนตอบกลับมาว่าพวกเขามาถึงตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
เนื่องจากไม่ต้องพาสมาชิกในครอบครัวมาด้วย ทำให้ทีท่ารวดเร็วกว่าลู่จิ่งเซิน พวกเขาเร็วกว่า อีกอย่างเรื่องของแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์พวกเขาทั้งสองคนต่างรอกันไม่ไหวแล้ว ดังนั้นเมื่อคืนวานจึงรีบมาก่อนล่วงหน้า
เมื่อจิ่งหนิงเห็นดังนั้น ก็อดได้ที่จะหน้าเจื่อน