เขาพยายามค่อยๆออกมาจากอ้อมกอดของหัวเหยา
พลางโบกมืออย่างใจกว้าง “ผมเป็นแมว พี่ไปซ่อนแล้วกัน”
อานอานพยักหน้า แล้วหันกลับมาจูงมือจิ้งเจ๋อน้อย
“แล้วน้องชายของพี่จะขอเล่นกับพวกเราด้วยได้ไหมคะ?”
ครั้งแรกเสี่ยวลี่หลินไม่พูดไม่จา
เขาเม้มริมฝีปากเล็กน้อย แล้วใช้สายตาของศัตรูมองไปยังจิ้งเจ๋อน้อย
เมื่อสักครู่นี้ที่จิ่งหนิงได้อธิบายไป จิ้งเจ๋อน้อยก็พอที่จะเข้าใจอยู่บ้าง เด็กชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ไม่ได้ทำร้ายพี่สาว พวกเขาแค่กำลังเล่นสนุกกัน
แต่ว่าเขาเป็นคนรักศักดิ์ศรีตั้งแต่เด็ก ต่อหน้าคนในครอบครัวยังพอไหว แต่ต่อหน้าคนนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจอกันครั้งแรก เขาจะยอมรับผิดไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ดังนั้น เด็กน้อยทั้งสองจึงได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้น มองซึ่งกันและกันอย่างดื้อดึง สีหน้าของเด็กน้อยแดงก่ำไม่มีใครยอมให้ใคร
จิ่งหนิงและหัวเหยาอดไม่ได้ที่จำทำหน้าเจื่อน
ท้ายที่สุด ก็จนปัญญา ไม่สามารถที่จะเล่นซ่อนแอบกันได้สำเร็จ
ถึงยังไงเด็กทั้งสองต่างก็เป็นเด็กฉลาดและดื้อรั้น และกล้าหาญ พวกหล่อนเกรงว่าจะเล่นกันจนเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น
ดังนั้นจึงมอบให้พี่เลี้ยงเป็นคนดูแล ให้พวกเขาแยกกันพาไปเล่นเกมอะไรที่เบาๆง่าย เช่นการเล่นฟองสบู่หรือหุ่นยนตร์จับตุ๊กตา
เมื่อมอบเด็กๆให้กับพี่เลี้ยงแล้ว หัวเหยาก็ได้พาจิ่งหนิงไปยังห้องนอนที่อยู่ชั้นบนของหล่อน
“หนิงหนิง เรื่องของเฉียวฉีฉันพอได้ยินมาบ้าง เมื่อวานพวกเขามาถึงแล้ว และได้โทรศัพท์หาฉันแล้วด้วย อีกสักพักหลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จ พวกเราไปเจอพวกเขากันดีไหม”
จิ่งหนิงพยักหน้า
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางถามขึ้นว่า:“เฉินซื่อโป๋ที่คุณเคยพูดถึงก่อนหน้านี้ ก็เป็นแขกคนหนึ่งในวันนี้ใช่ไหม?”
หัวเหยาส่ายหน้า
“เปล่า เขาเป็นญาติห่างๆของตระกูลจิ้น ตัวเขาเองก็มีธุรกิจที่นี่ การมาในครั้งนี้ประการแรกก็เพื่อมาอวยพรวันเกิดให้ท่านย่า ประการที่สองก็เพื่อมาจัดการธุรกิจที่นี่”
“วันนี้เป็นงานเลี้ยงส่วนตัวของครอบครัว และเป็นการต้อนรับการมาเยือนของพวกคุณ หลักๆก็คือต้องการให้ท่านย่าทั้งสองได้คุยเรื่องเก่าๆกัน ส่วนงานเลี้ยงจริงๆนั้นคือวันพรุ่งนี้ตอนกลางคืน ในเวลานั้นเฉินซื่อโป๋ก็น่าจะมาด้วย”
จิ่งหนิงพยักหน้า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็ไม่ต้องรีบ วันนี้ดึกแล้ว วันพรุ่งนี้ตอนเช้าถ้ามีเวลา พวกเราก็ไปเจอเฉียวฉีกันก่อนเถอะ”
หัวเหยาไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร
หล่อนจูงมือจิ่งหนิงมานั่งที่โซฟา
พลางมองหล่อนตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า:“อ้วนไปหน่อย”
จิ่งหนิงตกตะลึง รีบหันไปส่องกระจก
“จริงเหรอ?อ้วนขึ้นเยอะเลยเหรอ?”
เธอส่องกระจกดูตัวเองทุกวัน ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ที่สำคัญคือช่วงนี้ ลู่จิ่งเซินได้เปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเธอ ทำให้เธอไม่ได้ใส่เสื้อผ้าของเมื่อก่อน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้รู้สึกว่าตนอ้วนหรือผอม
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น โดยปกติเธอดูแลรูปร่างของตนอย่างเข้มงวด
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า กลับอ้วนขึ้นได้
เมื่อหัวเหยาเห็นท่าทีเคร่งเครียดของเธอ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“ไม่ได้มากมายอะไร ก็แค่มีน้ำมีนวลขึ้นนิดหน่อย แต่ว่าคุณวางใจเถอะ เมื่อก่อนคุณผอมเกินไป มีน้ำมีนวลขึ้นหน่อยดีแล้ว”
ขณะที่หล่อนพูด ก็พยายามดึงจิ่งหนิงกลับมา
เมื่อได้ยินหล่อนพูดเช่นนี้ ในใจของจิ่งหนิงก็สงบลงเล็กน้อย
หัวเหยาถามขึ้นอีกว่า:“ได้ยินมาว่าคุณตั้งครรภ์?กี่เดือนแล้วเหรอ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ริมฝีปากของจิ่งหนิงก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ใกล้จะสี่เดือนแล้ว”
“เร็วมากเลย?”
ดวงตาของหัวเหยาเบิกกว้าง จ้องมองไปยังท้องของเธอ มองดูพลางยกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
“อ่า ท้องของคุณใหญ่กว่าปกติ ไปตรวจครรภ์แล้วหรือยัง?”
จิ่งหนิงพยักหน้า“ตรวจแล้วค่ะ คุณหมอบอกว่าเป็นลูกแฝด”
แววตาของหัวเหยาเปล่งประกายขึ้นทันที
“ลูกแฝดเหรอคะ?ดีจริงๆ น่าอิจฉาคุณจริงๆเลย”
จิ่งหนิงฉือ ๆสองครั้ง“จะอิจฉาฉันทำไม?ถ้าอยากได้ก็ท้องได้ตลอด จี้หลินยวนก็ไม่ได้ห้ามให้คุณท้องสักหน่อย”
เมื่อพูดประโยคนี้ออกไป สีหน้าของหัวเหยาจู่ๆก็แดงขึ้นในทันที
หล่อนเหลือบมองจิ่งหนิงครู่หนึ่ง พลางพูดขึ้นว่า:“คุณหยอกล้อฉันให้มันน้อยๆหน่อย ตอนนี้ฉันไม่ได้มีความคิดนั้นเลย”
หัวเหยาเป็นคนเกียจคร้าน แค่เสี่ยวลี่หลินคนเดียว หล่อนก็รู้สึกรำคาญ หากมีอีกคน หล่อนคงยิ่งรังเกียจเข้าไปใหญ่
เมื่อจิ่งหนิงเห็นสภาพเช่นนั้น ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ทั้งสองต่างพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนในช่วงนี้สักพักหนึ่ง กระทั่งถึงเวลารับประทานอาหารเย็นจึงได้ลงมา เนื่องจากมีคนจำนวนมาก ทำให้การรับประทานอาหารเย็นค่อนข้างครึกครื้น
ตอนบ่ายลู่จิ่งเซินได้ไปพบกับจี้หลินยวน ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ชายทั้งสองคุยอะไรกัน เมื่ออยู่บนโต๊ะอาหาร จิ่งหนิงรู้สึกอย่างเห็นได้ชัดว่าจี้หลินยวนอ่อนโยนและดูร่าเริงกว่าเมื่อก่อน
หากเมื่อก่อนจี้หลินยวนเป็นก้อนน้ำแข็งก้อนหนึ่ง ตอนนี้ก็ถือว่าเขาเป็นน้ำแข็งก้อนหนึ่งที่ละลายแล้ว
ที่ทั้งปลิ้นปล้อนและรอบคอบมากยิ่งขึ้น
แต่ว่านี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
ในเมื่อต่อไปเขาจะต้องเป็นคนสืบทอดกิจการของตระกูลจิ้น การทำธุรกิจไม่ว่าคุณจะมีความสามารถมากแค่ไหน แต่บางครั้งก็จำเป็นต้องดูแลในภาพรวม
เมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ท่านย่าจิ้นก็ได้จัดเตรียมที่นอนให้กับพวกเขา ลู่จิ่งเซินและคนอื่นๆก็ไม่ได้เกรงใจ และตัดสินใจที่จะนอนค้างที่ตระกูลจิ้น
อานอานได้กลับเข้าไปในห้องนอนของตนเองและนอนหลับแล้ว ส่วนจิ้งเจ๋อน้อยเนื่องจากอายุยังน้อย จำเป็นต้องให้จิ่งหนิงกล่อมนอน
จิ่งหนิงนอนอยู่ข้างๆ เล่านิทานให้เขาฟัง
เมื่อเห็นศีรษะเด็กน้อยค่อยๆโน้มต่ำลง เธอจึงค่อยๆวางหมอนให้กับเขา และห่มผ้าให้กับเขา จากนั้นก็ค่อยๆเดินกลับไป
เมื่อออกจากห้องก็เจอกับลู่จิ่งเซินที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน
ในมือของลู่จิ่งเซินมีนมอยู่แก้วหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเธอออกมาจากห้องนอนของจิ้งเจ๋อน้อย จึงถามขึ้นว่า:“นอนแล้วเหรอ?”
จิ่งหนิงพยักหน้า
เนื่องจากกลัวว่าเขาจะทำให้เด็กๆตื่น จึงจูงมือของเขา แล้วเดินไปยังห้องของตนเอง
เมื่อเข้าห้อง เธอถึงคลายความกังวลลง หลังจากที่ปิดประตู จึงถามขึ้นว่า:“เมื่อกี้คุณไปไหนมาเหรอคะ?”
“ไปรับโทรศัพท์”เขานิ่งครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า:“ลูกน้องของผมพบแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์อยู่ก้อนหนึ่ง”
จิ่งหนิงตะลึงงัน รู้สึกตะลึงงันเล็กน้อย
“เร็วจังเลย?เจอที่ไหนเหรอคะ?”
“เหมืองหินแห่งหนึ่งที่เตียนหนาน”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ลู่จิ่งเซินก็ดูกังวลเล็กน้อย
“หนิงหนิง มีเรื่องๆหนึ่งคุณรู้สึกไหมว่ามันแปลกๆ?”
จิ่งหนิงงงงวย พลางนั่งลง “เรื่องอะไรเหรอคะ?”
คิ้วของลู่จิ่งเซินกระดกขึ้น พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า:“ตลอดระยะเวลาที่พวกเราช่วยกู้ซือเฉียนตามหาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์แม้ว่าจะไม่ง่ายนัก แต่ก็ไม่ถึงกลับยากเย็นแสนเข็ญ หากพิจารณาจากวิธีการของหนานกงจิ่น และข่าวที่มีประสิทธิภาพของตระกูลหนาน ผมไม่ได้รู้สึกว่าหากพวกเขาไม่มีพวกเรา แล้วจะหาไม่เจอ คุณเคยคิดไหมว่า ในเมื่อเขาสามารถหาให้เจอได้ด้วยตนเอง แล้วทำไมจะต้องยืมมือคนอื่น โดยการบังคับให้กู้ซือเฉียนตามหาด้วยล่ะ?”
จิ่งหนิงงงงันอยู่ตรงนั้น
พูดตามตรง ข้อสงสัยที่ลู่จิ่งเซินพูดถึง ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้ครุ่นคิดมาก่อนเลย
ใช่แล้ว ตระกูลหนานมีอำนาจขนาดนั้น?
นั้นเป็นเรื่องที่ยากที่จะคาดเดาจริงๆ แม้ว่าจะเป็นลุงแท้ๆของเธอ ทางฝั่งของตระกูลจื่อจินก็ยากที่จะเคียงบ่าเคียงไหล่
อีกทั้งหนานกงจิ่นยังเป็นคนที่ชอบวางแผนกลยุทธ์ ทำไมเขาไม่หาเองล่ะ?
คิ้วของเธอขมวดกันแน่น