ขณะที่เขาพูด ก็หันไปมองกู้ซือเฉียน
เฉินซื่อโป๋ก็มองมาที่เขาเช่นเดียวกัน สายตาประสานกันเป็นประกาย
ดังนั้นกู้ซือเฉียนจึงได้เล่าประวัติของแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ รวมทั้งเหตุผลที่พวกเขาต้องการมัน พูดให้เขาฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เขาไม่ได้บิดบังอะไรทั้งสิ้น เพราะถึงยังไงตระกูลจิ้นก็เป็นญาติ หากถูกพวกเขาหลอก ก็คงจะมองหน้ากันไม่ติด
ในเมื่อขอให้คนอื่นช่วย ก็ต้องแสดงความจริงใจของตนเองออกมา
ดังนั้น กู้ซือเฉียนจึงเลือกที่จะเปิดเผย
หลังจากที่เล่าประวัติและสาเหตุให้เขาเข้าใจอย่างเรียบร้อยแล้ว กู้ซือเฉียนก็พูดเสริมว่า:“แผ่นหยกชิ้นนี้อยู่ในมือของซื่อโป๋ ก็เป็นแค่ของเล่นชิ้นเล็กๆที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร และไม่สามารถก่อให้เกิดประโยชน์ใดใดได้ หากคุณเต็มใจที่จะตัดใจมอบให้กับพวกเรา ผมก็สามารถที่จะนำหยกชิ้นอื่นมาให้กับคุณเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ขอเพียงแค่คุณต้องการเท่านั้น เพราะจะช่วยหามันมาให้กับคุณ คุณคิดว่าเป็นยังไงบ้างครับ?”
เฉินซื่อโป๋หรี่ตาลงอย่างราบเรียบ
เขาไม่ได้โง่ ถึงจะได้ไม่รู้ว่า วันนี้การที่จี้หลินยวนพาคนมาตั้งมากมายหมายความว่าอะไร
ต้องรู้ว่า คนที่นั่งอยู่ในตอนนี้ ขอเพียงแค่เดินออกไปข้างนอกคนหนึ่ง กระทืบพื้นนิดหน่อยก็จะมีคนจำนวนมากพุ่งเข้ามา
แต่วันนี้ เขากลับปล่อยวางสถานะและศักดิ์ศรีของตนเอง จึงยอมขอร้องให้เขาช่วย
หากพูดให้เพราะก็คือช่วยเหลือ หากพูดไม่เพราะก็คือเจรจาด้วยเหตุผลก่อน หากไม่ได้ผลค่อยใช้กำลัง
ก็ต้องดูแล้วว่าตนเองจะเลือกแบบไหน
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างจนปัญญา
เฉินซื่อโป๋ส่ายหน้า“คุณกู้ ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ พูดไปพูดมา ผมกับพ่อของคุณกู้ฉางไห่ก็พอมีไมตรีจิตต่อกันอยู่บ้าง ในเมื่อธุระของคุณต้องการความช่วยเหลือ ผมจะไม่รับปากได้อย่างไร แต่ว่า ……”
เขาชะงักครู่หนึ่ง ดวงตาทั้งสองเป็นหลักแหลมประกาย มองไปยังลู่จิ่งเซินและกู้ซือเฉียน
จากนั้นยิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“ผมได้ยินมาตลอดว่าตระกูลลู่และตระกูลกู้ไม่ค่อยลงรอยกัน แต่ดูจากวันนี้แล้วประธานลู่กับคุณกู้ก็เป็นสหายที่รักใคร่กันดีไม่น้อย”
สภาวะของนักธุรกิจภายในประเทศ นักธุรกิจอย่างพวกเขาเหล่านี้ ก็จำเป็นที่จะต้องลุกขึ้นเป็นพวกเดียวกัน
มิฉะนั้นแล้ว ไม่แน่ว่าฝ่ายตรงข้ามอาจจะเข้าใจผิดและจับตามอง ก็จะทำให้เกิดเรื่องขึ้นได้ง่าย
ดังนั้น ในเวลานี้เฉินซื่อโป๋จึงได้ยกคำถามนี้ขึ้นมา
กลับเห็นลู่จิ่งเซินยิ้มอ่อนๆ
“เรื่องธุรกิจก็ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของธุรกิจ ความขัดแย้งของคนรุ่นที่แล้วกับคนรุ่นนี้อย่างพวกเราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเฉินซื่อโป๋เป็นคนฉลาด น่าจะทราบความหมายของเขาดี?”
เฉินซื่อโป๋สั่นไหวอย่างรุนแรง
เขาเข้าใจความหมายของลู่จิ่งเซินอย่างแท้จริง
ไม่นาน สายตาก็ปรากฏประกายออกมา
“ได้ ผมเข้าใจแล้ว พวกคุณวางใจเถอะ เดี๋ยวผมจะเรียกให้คนเอาของเข้ามาให้ และจะมอบให้ถึงมือของพวกคุณด้วยตนเอง”
ขณะที่เขาพูด ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร
เมื่อลู่จิ่งเซินและกู้ซือเฉียนเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะคลายลมหายใจลง
แต่ว่าคิดไม่ถึงเลยว่า ในเวลานี้
เฉินซื่อโป๋จะร้องเสียงแหลมขึ้นมา
“คุณว่ายังไงนะ?ของนั้นถูกคนขโมยไปแล้ว?”
……
แต่จู่ๆก็เกิดเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้นมา ทำให้ทุกคนต่างรับมือไม่ทัน
เดิมทีพวกเขาคิดว่า แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ชิ้นนี้จะได้มาง่ายๆ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อถึงเวลาเข้าจริงๆ แผ่นหยกที่อยู่ดีดีจู่ๆกลับถูกขโมยไป
เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเฉินซื่อโป๋ จิ่งหนิงและคนอื่นๆต่างรู้ว่า เรื่องในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ของนั้นถูกขโมยไปจริงๆ
หลังจากที่เขาวางสายลง หัวเหยาก็รีบถามขึ้นว่า:“เฉินซื่อโป๋เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่คะ?”
เฉินซื่อโป๋หันมา มองไปยังพวกเขาด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ
“หยกของฉันวางไว้ในบ้านมาโดยตลอด แต่ว่าเมื่อสักครู่นี้ผมโทรศัพท์หาคนในบ้าน ให้พวกเขานำแผ่นหยกออกมา พวกเขาถึงได้พบว่าแผ่นหยกหาไม่เจอแล้ว ”
สีหน้าของจิ่งหนิงขรึมเล็กน้อย
“ขอโทษนะคะซื่อโป๋ไม่ทราบว่าบ้านคุณอยู่ที่ไหนคะ?”
“ผมซื้อบ้านอยู่ที่นี่หลังหนึ่งครับ”
“สะดวกให้พวกเราไปดูไหม?”
“ได้แน่นอน”
ดังนั้น คนพวกนั้นก็ไม่ร่วมงานเลี้ยงแล้ว แต่กลับรีบพากันออกไปข้างนอก
เมื่อท่านย่าจิ้นออกมา ก็เห็นพวกเขารีบออกไปข้างนอกพอดี
หล่อนตะลึงงันครู่หนึ่ง หันไปหาท่าย่าเชิ๋นที่อยู่ข้างๆเป็นเพื่อนหล่อน
“พี่เชิ๋นเด็กพวกนี้เป็นอะไรกัน?ดูร้อนรนเป็นอย่างมาก เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่านะ?”
ท่านย่าเชิ๋นยิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“จะเกิดเรื่องอะไรได้?ก็คงเป็นเรื่องของเด็กๆนั้นแหละ เฮ้อ วันนี้เป็นวันดีของคุณ จะไปสนใจพวกเขาทำไม?พวกเราไปเล่นของพวกเราเถอะ”
นับตั้งแต่ที่ท่านย่าเชิ๋นได้มอบงานที่บริษัทให้กับลู่จิ่งเซินเป็นคนดูแลแล้ว หล่อนก็เรียนรู้ที่จะปล่อยวางอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
ตอนนี้ หล่อนไม่วุ่นวายกับเรื่องภายนอก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะไม่สนใจ ไม่เป็นกังวลใจ
เพราะในสายตาของหล่อน ความสามารถของลู่จิ่งเซินและจิ่งหนิงในตอนนี้ เหนือกว่าหล่อนและท่านปู่แล้ว
หากมีเรื่องอะไร ที่พวกเขาไม่สามารถแก้ไขได้ ตนเองกังวลไปก็ไม่มีประโยชน์
ทัศนคติในแง่บวกเช่นนี้ก็ส่งผลต่อท่านย่าจิ้นด้วย
ท่านย่าจิ้นพยักหน้ายิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“พี่สาวพูดถูก งั้นพวกเราไปดื่มชาที่ห้องโถงส่วนหน้า”
“ดี”
เมื่อท่านย่าทั้งสองจากไปแล้ว จิ้นชิงซานจึงเดินออกมาจากด้านข้าง
เขามองจี้หลินยวนพาหัวเหยาจากไป อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ยกมือขึ้น เรียกคนรับใช้ พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า:“นายไปดูหน่อยว่าคุณชายกับคุณนายน้อยเกิดเรื่องอะไรขึ้น ?ถ้าทราบข่าวแล้วให้รีบมาบอกด่วนเลย”
“ครับ”
เมื่อคนรับใช้รับคำสั่งแล้วก็จากไป
แต่ในเวลานี้ ในอีกด้านหนึ่ง
หัวเหยาและคนกลุ่มหนึ่งขึ้นรถ จากนั้นก็มุ่งไปที่คฤหาสน์ของเฉินซื่อโป๋
เฉินซื่อโป๋ทำธุรกิจขนาดใหญ่ และได้ซื้อคฤหาสน์ที่หรูหราหลังหนึ่งที่นี่
เนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดของท่านย่าจิ้น ในฐานะที่เป็นญาติ ทำให้ทุกคนต้องมาร่วมงาน มีเพียงภรรยาของเขาซึ่งเป็นคนป่วยจำเป็นต้องนอนรักษาตัวอยู่ในบ้าน
เมื่อคนกลุ่มนี้มาถึงคฤหาสน์ ขณะที่เพิ่งลงจากรถ ทุกคนก็ต่างมองเห็นร่างกายของผู้หญิงคนหนึ่งที่ซูบผอมใบหน้าซีดขาวยืนอยู่ที่หน้าประตู
เมื่อเฉินซื่อโป๋เห็นสีหนาก็ขรึมลง แล้วก้าวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว
มือข้างหนึ่งพยุงผู้หญิงคนนั้นไว้ พลางพูดขึ้นด้วยความโกรธว่า:“ทำไมคุณถึงออกมาล่ะ ?บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้คุณรออยู่ข้างใน?”
ขณะที่เขาพูด ก็เงยหน้าเหลือบมองคนรับใช้
“เธอดูแลคุณนายยังไง? ข้างนอกอากาศหนาวขนาดนั้น พวกเธอก็ให้หล่อนใส่เสื้อผ้านิดเดียวแล้วมายืนอยู่ตรงนี้งั้นเหรอ?”
คนรับใช้ต่างก้มหน้าลง พลางพูดขึ้นอย่างนอบน้อมว่า:“คุณผู้ชาย พวกเราได้พูดโน้มนาวคุณนายแล้ว แต่คุณนายไม่ยอมเชื่อฟังพวกเราค่ะ”
ผู้หญิงฟังน้ำเสียงที่น่าสงสารของคนรับใช้ จึงยกมือขึ้นเพื่อขวางอารมณ์ฉุนเฉียวของเฉินซื่อโป๋
หล่อนยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนใจ พลางพูดขึ้นอย่างราบเรียบว่า:“อย่าโทษพวกเธอเลย ฉันได้ยินว่าจะมีแขกมา ก็เลยยืนหยัดที่จะรออยู่ที่นี่”
ขณะที่หล่อนพูด สายตาก็มองไปที่ลู่จิ่งเซินที่อยู่ไม่ไกลนัก
“สามี พวกเขาเป็นใครกันเหรอคะ?”
ในเวลานี้เฉินซื่อโป๋ถึงนึกขึ้นได้ว่ามีคคนนอกอยู่ที่นี่
เขาพยายามสงบสติอารมณ์ และกดความโกรธไว้ในใจ และหันมาแนะนำกับหล่อนว่า:“อะเสียน เดี๋ยวผมจะแนะนำให้คุณรู้จัก ท่านนี้คือคุณลู่ประธานกรรมการบริหาร ลู่ซื่อกรุ๊ป ท่านนี้คือภรรยาของเขาจิ่งหนิง ท่านนี้คือคุณกู้ซือเฉียนเป็นผู้มีอำนาจของกู้ซื่อ และยังมีท่านนี้……”