เขาแนะนำทุกคนที่อยู่ในตอนนั้นให้กับภรรยาของตนทีละคนๆ
สุดท้าย ก็หันมามองทุกคน พร้อมกับพูดแนะนำขึ้นว่า:“ขอแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก ท่านนี้คือภรรยาของผมอะเสียน”
จี้หลินยวนและหัวเหยารีบขเยิบเข้าไปข้างหน้า พลางพูดขึ้นอย่างมีมารยาทว่า:“คุณป้าซื่อ”
คุณนายเฉินดูแล้วน่าจะอายุราวๆสี่สิบกว่าปี อาจเป็นเพราะสุขภาพไม่แข็งแรง และไม่ได้บำรุงรักษาตนเองสักเท่าไหร่ จึงทำให้ใบหน้าดูขาวซีดและซูบผอม แต่ก็สามารถดูออกว่าพื้นฐานไม่เลว อวัยวะทั้งห้าชวนมอง ตอนที่วัยรุ่นก็น่าจะเป็นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่งเลยทีเดียว
หล่อนยิ้มอ่อนๆพลางพูดขึ้นว่า:“ข้างนอกหนาว มีเรื่องอะไร เข้าไปคุยข้างในกันดีกว่า”
ขณะที่พูด ก็ปลีกตัว แล้วให้พวกเขาเข้าไป
เมื่อคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในบ้าน ฮีตเตอร์ก็ทำให้บรรยากาศภายในห้องอบอุ่นคุณนายเฉินสั่งให้คนรับใช้เข้ามาหยิบเสื้อผ้าของพวกเขา
จิ่งหนิงรวมทั้งคนกลุ่มนี้ เนื่องจากออกมาด้วยความรีบร้อน บนร่างกายของพวกเขายังคงใส่ชุดงานเลี้ยงอยู่ เพียงแต่คลุมทับด้วยเสื้อนอกเท่านั้น
แต่ดีที่อยู่ในบ้านอากาศอบอุ่น เมื่อถอดเสื้อคลุมภายนอกออกก็ไม่ทำให้รู้สึกหนาว ดังนั้นทุกคนต่างถอดเสื้อคลุมออก
เฉินซื่อโป๋ถามขึ้นด้วยความรีบร้อน:“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?แผ่นหยกชิ้นนั้นก็วางอยู่ที่บ้านดีๆไม่ใช่เหรอ?ทำไมอยู่ๆถึงได้หายไปล่ะ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของคุณนายเฉินก็ไม่สู้ดีนัก
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ของที่อยู่ในบ้าน ปกติวางตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น และก็ไม่เคยมีใครไปแตะต้อง เมื่อสักครู่ที่คุณโทรมาหาฉัน ฉันก็เลยเปิดตู้เซฟดู ปรากฏว่าของชิ้นนั้นหายไปแล้ว”
สีหน้าของเฉินซื่อโป๋ขรึมลง
“พาผมไปดูหน่อย”
ดังนั้น คนกลุ่มหนึ่งจึงขึ้นไปที่ชั้นสอง
แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ชิ้นนั้น เดิมทีวางไว้ในตู้เซฟ
แม้ว่าในสายตาของเฉินซื่อโป๋มันอาจจะเป็นของปลอม แต่ว่านั้นหมายความว่ามันอาจจะเป็นเพียงแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ของปลอมเท่านั้น แต่บางทีมันอาจจะเป็นหยกชั้นดีก็ได้
ดังนั้นเฉินซื่อโป๋จึงนำมันใส่ไว้ในตู้เซฟและล็อคอย่างแน่นหนา
อีกทั้งตู้เซฟนี้ยังอยู่ในห้องนอนชั้นสอง
เมื่อคนกลุ่มนี้มาถึงยังสถานที่จริง ก็เห็นเพียงตู้เซฟที่เปิดอยู่ ข้างในมีธนบัตรและเอกสาร รวมทั้งกล่องกำมะหยี่สีดำวางอยู่ข้างๆ เมื่อเปิดกล่องออกมา พบว่าข้างในนั้นว่างเปล่า
เฉินซื่อโป๋รีบขเยิบเข้าไปข้างหน้า แล้วหยิบกล่องขึ้นมาดู
จิ่งหนิงถามขึ้นว่า:“ก่อนหน้านี้แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์นี้อยู่ในกล่องนี้ใช่ไหมคะ?”
เฉินซื่อโป๋พยักหน้า
สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก เขาพลิกกล่องกลับไปกลับมาหลายครั้ง จากนั้นก็ดูที่ตู้เซฟ พลางพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า:“ตอนที่คุณเปิดตู้เซฟออก กล่องก็เปิดออกแบบนี้เหรอ?”
คุณนายเฉินส่ายศีรษะ
“เปล่าค่ะ กล่องปิดอยู่ เดิมทีฉันคิดว่าของยังอยู่ในกล่องนั้น ขณะที่กำลังหยิบออกมาดู ตอนที่ถือกล่องอยู่ก็รู้สึกว่าน้ำหนักเบาลงไปมาก มีบางอย่างแปลกๆ คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อเปิดออก ก็พบว่าของไม่อยู่แล้ว”
สีหน้าของเฉินซื่อโป๋เคร่งขรึม
คุณนายเฉินกับเขาแต่งงานกันมาเกือบยี่สิบปี สามารถเชื่อใจได้อย่างแน่นอน แต่ว่าที่บ้านนอกจากพวกเขาสองคน โดยปกติแล้วคนรับใช้จะต้องได้รับอนุญาตก่อนจึงจะเข้ามาในห้องนอนได้ แล้วของนั้นไปอยู่ที่ไหนล่ะ?
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาจึงหันไปมองกู้ซือเฉียน
“คุณกู้ ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะครับ เดิมทีผมคิดว่าพอจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่ว่าตอนนี้ ……”
กู้ซือเฉียนยกมือขึ้นมา เพื่อขวางคำพูดประโยคข้างหลังของเขา
“ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ผมเชื่อในความหวังดีของเฉินซื่อโป๋ ตอนนี้ของก็หายไปแล้ว หากคนเต็มใจ พวกเราพร้อมที่จะช่วยคุณตามหาหยกกลับมา”
เฉินซื่อโป๋พยักหน้า
“ต้องเต็มใจอย่างแน่นอน แต่ว่า……หายังไงล่ะ?”
ทำธุรกิจเขาพอที่จะทำได้ แต่ว่าให้จับขโมย เขานั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย
กู้ซือเฉียนมองไปยังคุณนายเฉิน
“ได้นำของชิ้นนี้ไปใส่ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
คุณนายเฉินพูดขึ้นเสียงเบาว่า:“วางไว้ตั้งนานแล้ว หากต้องนับจริงๆ ก็น่าจะประมาณห้าปีที่แล้ว”
“วางไว้ที่นั้นตลอดโดยไม่มีการขยับเลยใช่ไหม?”
“ไม่ใช่ครับ”เฉินซื่อโป๋พูดเสริมว่า:“พวกเราทำธุรกิจทุกหนทุกแห่ง และได้ซื้อบ้านไว้ในแต่ละพื้นที่ ที่นี่เป็นเพียงหลังหนึ่งเท่านั้น บางครั้งหากทำธุรกิจและต้องการอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน ก็จะพักอยู่ที่นี่ บางครั้งคิดถึงของชิ้นนี้ ก็จะหยิบออกมาดู แต่ว่าจำนวนครั้งก็ไม่ได้มากนัก”
“เฉินซื่อโป๋คุณยังจำได้ไหมว่าครั้งสุดท้ายที่คุณเห็นมันคือเมื่อไหร่?”
“ประมาณ……สามวันก่อน?”
เฉินซื่อโป๋ครุ่นคิด พลางพูดขึ้นอย่างลังเล:“เดิมทีผมคิดว่าจะนำมันมามอบเป็นของขวัญให้กับท่านย่าจิ้น แต่เมื่อคิดไปคิดมาเห็นว่ามันเป็นของปลอม เกรงว่าจะไม่เป็นมงคล ก็เลยไม่ได้นำไปมอบให้กับท่าน จึงวางกลับไปที่เดิม”
“แสดงว่า ของชิ้นนี้หายไปในระยะเวลาสามวัน ในคฤหาสน์หลังนี้นอกจากพวกคุณทั้งสองคนแล้ว มีใครเข้ามาอีกบ้างไหม?”
“ไม่มี”
ในครั้งนี้คุณนายเฉินเป็นคนเอ่ยปาก“ที่นี่ฉันอยู่กับเหล่าเฉินแค่สองคน ไม่มีลูกชายและไม่มีลูกสาว แน่นอนว่าคงไม่มีคนอื่นเข้ามา คนรับใช้ภายในบ้านส่วนใหญ่ก็จะอยู่แต่ชั้นบน ห้องนอนและห้องหนังสือที่อยู่ชั้นบน ฉันเป็นคนทำความสะอาดด้วยตนเอง ไม่มีคนนอกเข้ามาอย่างแน่นอน”
หัวเหยายิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“ถ้างั้นก็น่าแปลก ไม่มีคนเข้ามา แล้วของจะอันตรธานสูญหายไปได้ยังไง?”
“แน่นอนว่าคงไม่สามารถอันตรธานสูญหายไปได้”
กู้ซือเฉียนขเยิบเข้ามา ตรวจสอบตู้เซฟอย่างละเอียด พลางถามขึ้นว่า:“รหัสของตู้เซฟนี้ มีแค่พวกคุณสองคนเท่านั้นที่ทราบใช่ไหม?”
“ไม่ใช่ ยังมีหลายชายของบ้านฝั่งแม่ เนื่องจากตู้เซฟหลังนี้เขาเป็นคนมาช่วยพวกเราติดตั้ง พวกเราทั้งสองไม่มีลูกชายและลูกสาว ก็ปฏิบัติต่อเขาเหมือนลูกชายแม้ๆมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่ได้ปิดบังเขา เพราะเกรงว่าหากเกิดอะไรที่ไม่คาดคิด อย่างน้อยเขาก็สามารถช่วยพวกเราจัดการได้”
กู้ซือเฉียนพยักหน้า เขาตรวจสอบตู้เซฟก่อน จากนั้นก็เดินไปข้างนอก พลางมองไปที่ประตูของห้องนอน
เฉียวฉีมองเขาด้วยความประหลาดใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
กู้ซือเฉียนถาม:“ตอนนี้หลานชายของคุณอยู่ที่ไหน?”
“อ่อ เขาไปร่วมงานวันเกิดของท่านย่าจิ้น”
“เขาก็ไปร่วมงานวันเกิดเหมือนกันเหรอครับ?”หัวเหยาประหลาดใจครู่หนึ่ง
“เขาชื่ออะไร?วันนี้ดูเหมือนว่าผมจะไม่เห็นคนแปลกหน้าเลยนะ”
เพราะถึงยังไงหล่อนก็ได้แต่งงานกับจี้หลินยวนมานานหลายปีแล้ว ญาติพี่น้องของตระกูลจิ้นไม่ว่าจะอายุมากมาย หล่อนก็เคยเจอหมดแล้ว หัวเหยาไม่ได้มีคุณสมบัติพิเศษอะไร คุณสมบัติพิเศษอย่างเดียวของหล่อนก็คือความจำดี
ไม่ต้องพูดหรอกว่าหล่อนจำชื่อของทุกคนได้ไหม แต่อย่างน้อยคนที่หล่อนเคยพบ หากเจอกันอีกครั้งหล่อนจำได้อย่างแน่นอน
คุณนายเฉินพูดขึ้นอย่างสงสัยว่า:“ไม่เคยเห็นเหรอคะ?เป็นไปไม่ได้ เขาบอกกับฉันเองว่าเขาจะไป”
จี้หลินยวนถามขึ้นว่า:“ขอถามหน่อยนะครับ หลานชายของคุณชื่ออะไร?”
“เขาชื่อโจวฉือเจิน”
โจวฉือเจิน?
หัวเหยาและจี้หลินยวนมองหน้ากัน
เพราะยังไงถือว่าเป็นงานฉลองวันเกิด แขกที่มาร่วมงานทุกคนล้วนมีของขวัญมามอบให้
ตอนที่รับของขวัญ เพื่อสะดวกในการจดจำน้ำใจของคนที่มีต่อกัน จึงมักที่จะมีการจดบันทึกรายชื่อของแขก
ในฐานะที่จี้หลินยวนเป็นหลานเพียงคนเดียวของท่านย่าจิ้น แน่นอนว่าจะต้องเห็นใบรายชื่อนี้