แต่ว่าคนยุ่งขนาดนี้ แต่ก็ไม่เคยเห็นนำเงินกลับมา
คุณนายเฉินและเฉินซื่อโป๋ก็ไม่ได้คิดมากเกินไป
คิดเพียงว่าลูกโตแล้ว ก็คงมีความคิดเป็นของตนเอง อยากที่จะเก็บเงินเป็นของตนเอง พวกเขาก็ไม่ได้คัดค้าน
ดังนั้น สองปีที่ผ่านมานี้ ทำให้พวกเขาไม่ได้ถามเรื่องเงินกับเขาเลย
ก่อนหน้านี้ โจวลี่เจินเชื่อคำพูดของเพื่อน จึงได้ลงทุนสร้างภาพยนตร์จำนวนมหาศาล
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ภาพยนตร์จะต้องเผชิญหน้ากับขาลง สุดท้ายอย่าพูดถึงกำไรเลยแม้แต่เงินที่ลงทุนไปก็ไม่สามารถนำกลับมาได้
เดิมทีบริษัทของเขาก็เพิ่งจะเริ่มตั้งไม่นาน แล้วจะทนต่อความเสียหายขนาดนี้ได้ยังไง?
ไม่นานก็ติดเงินกว่าพันล้านหยวน และเพื่อรักษาหน้ากับคนในบ้าน ไม่ให้พวกเขาทราบสถานะทางการเงินของตน จึงไม่ได้ทำเรื่องยื่นกู้เงินกับธนาคาร แต่กลับไปกู้เงินนอกระบบแทน และแน่นอนว่าดอกเบี้ยของเงินกู้นอกระบบนั้นสูงมาก
เริ่มแรกโจวลี่เจินก็พยายามกัดฟันเพื่อที่จะใช้หนี้ แต่ตอนหลังเนื่องจากดอกเบี้ยสูงขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถใช้หนี้คืนได้
และเมื่อถึงเวลานี้ เพื่อนที่เคยแนะนำให้เขาถ่ายทำภาพยนตร์ และเป็นคนที่แนะนำให้เขากู้เงิน ก็ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา
พวกเขาพยายามบังคับให้เขาชดใช้หนี้ หากเขาไม่ยอมใช้ ก็จะทำให้สูญเสียทั้งฐานะและชื่อเสียงเกียรติภูมิ
โจวลี่เจินเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนที่ไหนกัน ?จึงตะลีตะลานอย่างกะทันหัน
เขาพยายามที่จะอธิบายให้ฝ่ายตรงข้ามฟัง แต่เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามมีการเตรียมตัวมาก่อน จะฟังเขาได้ยังไง?
สุดท้ายไม่เพียงแต่เอาทรัพย์สินของเขาไปจนหมด แม้แต่แฟนของเขาก็ถูกจับตัวไป
บอกให้เขารับหาเงินมาคืน ไม่งั้นเขาจะเสียใจตลอดชีวิต
โจวลี่เจินและแฟนสาวของเขา คบหากันมานานกว่าสามปีแล้ว เริ่มคบกันตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย มีความรักและผูกพันกันอย่าง
เมื่อรู้ว่าแฟนของตนเสว่เอ๋อตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขา โจวลี่เจินก็รู้สึกลนลาน แต่ตอนนี้เงินจำนวนมากมายขนาดนั้น เขาไม่มีจริงๆ
เดิมที เขาคิดที่จะขอร้องให้คุณลุงกับคุณน้าช่วย
แต่ว่าในเวลานี้ ฝ่ายตรงข้ามได้ยื่นข้อเสนอมาข้อหนึ่ง
บอกว่าขอเพียงแค่เขาสามารถนำหยกที่อยู่ในการครอบครองของคุณน้ากับคุณลุงมาได้ พวกเขาก็จะถอยให้เขาก้าวหนึ่ง
หยกชิ้นนั้นโจวลี่เจินเคยเห็น และรู้สึกว่าก็ไม่ใช่ของที่หายากอะไร ดูจากสีแล้ว หากนำไปขาย ราคาอย่างมากก็แค่แสนกว่าหยวน
ดังนั้นเขาจึงรับปากโดยไม่ต้องคิด
วันนี้เดิมทีเขาจะใช้โอกาสที่คุณน้าและคุณป้าจะไปร่วมงานวันเลี้ยง ค่อยๆขโมยหยกชิ้นนั้นออกมา แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ยังไม่ทันได้นำของไปแลกเปลี่ยน ก็ถูกจับได้เสียแล้ว
เมื่อคิดถึงจุดนี้ โจวลี่เจินก็หดคอลงด้วยความเศร้า
หลังจากที่เฉินซื่อโป๋และคุณนายเฉินฟังจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็โมโหจนหน้าเขียว
“เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมถึงไม่บอกคนที่บ้าน?ไปจัดการด้วยตนเอง คุณจะจัดการได้ยังไง?”
โจวลี่เจินก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไร
คุณนายเฉินถามขึ้นว่า:“แล้วของชิ้นนั้นได้ให้เขาไปแล้วหรือยัง?”
“ยังครับ”
“แล้วของชิ้นนั้นล่ะ?”
ในเวลานี้ โจวลี่เจินก็ไม่พูดไม่จา
แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ตอนนี้เขาไม่อยากที่จะนำของชิ้นนั้นออกมา
เมื่อเฉินซื่อโป๋เห็นสภาพเช่นนั้น ก็โมโห และถูกลู่จิ่งเซินขวางไว้
ลู่จิ่งเซินมองไปที่เขา พลางพูดขึ้นว่า:“คุณคงไม่ไร้เดียงสาจนคิดจริงๆหรอกนะว่า วันนี้คุณเข้ามาที่นี่แล้ว และจะสามารถเอาของชิ้นนี้ออกไปได้จริงๆ”
โจวลี่เจินไม่พูดไม่จา ร่างกายสั่นเล็กน้อย สองมือกุมกระเป๋ากางเกงของตนอย่างแน่น
จากนั้นเงยหน้าขึ้นมา มองไปยังลู่จิ่งเซินด้วยสีหน้าที่เศร้าสลด:“แต่ว่าเสว่เอ๋อยังอยู่ในมือของพวกเขา ผมจะยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับเสว่เอ๋อไม่ได้”
เมื่อสามีภรรยาตระกูลเฉินได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ยิ่งแย่ขึ้นไปอีก
“หล่อนจะมีอันตรายก็ห้ามเอาของชิ้นนี้ไปอย่างเด็ดขาด!อีกอย่าง คุณรู้ได้ยังไงว่าเรื่องที่หล่อนถูกจับตัวไปเกี่ยวข้องกับคุณ?ไม่แน่หล่อนอาจจะไปล่วงเกินคนอื่นเข้าก็ได้?เด็กคนนั้นไม่ใช่คนซื่อสัตย์อะไร คุณก็อย่าโง่โดนหล่อนหลอกเลย”
คุณนายเฉินก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า:“ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็หาวิธีอื่นในการช่วยเหลือหล่อน”
จิ่งหนิงก็รู้สึกได้ในทันทีว่า พวกเขาไม่ค่อยชอบผู้หญิงที่ชื่อเสว่เอ๋อสักเท่าไหร่
แต่ว่า เรื่องพวกนี้เธอคงไปยุ่งอะไรไม่ได้
เธอจึงทำได้แค่เพียงพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า:“คุณชายโจวหากคุณนำของชิ้นนั้นมาให้กับพวกเรา พวกเราจะช่วยแฟนของคุณออกมา แบบนี้ดีไหม?”
โจวลี่เจินจ้องมองไปที่เธออย่างสงสัย
“พวกคุณจะช่วยยังไง?”
“เรื่องนี้คุณไม่ต้องสนใจหรอก พวกเราก็ต้องมีวิธีของพวกเราอย่างแน่นอน คุณแค่ส่งของมาให้พวกเราก็พอแล้ว”
“ไม่ได้”โจวลี่เจินระวังตัวขึ้นมาในทันที และจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่ดุเดือด
“หากผมเอาของให้กับพวกคุณ แล้วพวกคุณไม่ช่วยคน ผมจะทำยังไง?”
เมื่อสามีภรรยาของตระกูลเฉินเห็นท่าทีเช่นนี้ ก็โมโหขึ้นมาในทันที
“คุณพูดจาเหลวไหลอะไรของคุณ?พวกเขาจะหลอกคุณงั้นเหรอ?คุณอยู่ในสถานะอะไร จะพูดแบบนั้นกับเขาได้เหรอ”
โจวลี่เจินก็ถูกทำให้หวาดกลัวในทันใด
ในเวลานี้ จี้หลินยวนก็ยืนขึ้น
“ลี่เจิน คุณไม่เชื่อพวกเขา คุณก็น่าจะเชื่อผมนะ?”
โจวลี่เจินมองไปที่เขา
เขารู้จักกับจี้หลินยวนเพราะว่าก่อนหน้านี้ เพราะขณะที่บริษัทเพิ่งตั้ง เขาได้พบเจอกับปัญหานิดหน่อย และจี้หลินยวนก็เป็นคนที่ช่วยเขาแก้ไขปัญหานี้
ดังนั้น เขาจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้า
“ในเมื่อคุณเชื่อใจผม งั้นคุณก็เอาของชิ้นนั้นออกมา คุณสามารถสงสัยได้ว่าคนอื่นจะโกหกคุณ แต่ผมก็คงจะไม่โกหกคุณใช่ไหม”
ไม่พูดก็คงจะไม่ได้ว่า การที่จี้หลินยวนพูดเช่นนี้ โจวลี่เจินก็พอที่จะเชื่อใจเขาอยู่บ้าง
เขาไม่กล้าที่จะมองหน้าจี้หลินยวนเล็กน้อย และหยั่งเชิงถามขึ้นว่า:“คุณรับรองใช่ไหม?”
“ผมรับประกัน”
“ถ้างั้น……ก็ได้”
เขากำมือแน่น ไม่นานก็นำหยกออกมาจากกระเป๋า
จี้หลินยวนรับมา ยื่นหยกให้กับกู้ซือเฉียน
กู้ซือเฉียนรีบมองดูอย่างรีบร้อน ที่แท้เป็นแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์จริงๆ
เขาหันไปที่จี้หลินยวนพลางพยักหน้า ในเวลานี้จี้หลินยวนจึงได้สั่งให้ลูกน้องออกไป จากนั้นก็นั่งลงบนโซฟาที่อยู่ข้างๆ
ขาที่เรียวยาวพาดเข้าหากัน จากนั้นก็เงยหน้ามองไปยัง โจวลี่เจิน
“ตอนนี้คุณบอกมาสิว่าคนพวกนั้นเป็นใคร พวกเขาอยู่ในสถานะอะไร แล้วกักขังแฟนของคุณได้อย่างไร ค่อยๆพูดมาอย่างละเอียด”
เวลาต่อมาโจวลี่เจินก็ได้อธิบายสถานะของคนพวกนั้นให้เขาฟัง รวมทั้งสถานที่ที่พวกเรานัดแลกเปลี่ยนของกัน
หลังจากที่จี้หลินยวนฟังจบ ก็รีบโทรไปกำชับให้คนอื่นจัดการ
ในสายตาของเขา นี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร และเขาไม่จำเป็นที่จะต้องลงมือด้วยตนเอง
แต่เป็นเพราะว่าตอนนี้ยังไม่ได้ช่วยคนกลับมา พวกเขาจึงไม่สะดวกหากจะจากไปตอนนี้ เพราะจะทำให้โจวลี่เจินเกิดความสงสัยในคำพูดของเขาได้ ดังนั้นจึงนั่งรออยู่ที่นี่
ไม่นานลูกน้องของจี้หลินยวนก็หาเบาะแสเจอ
พวกเขาได้รับคำสั่งว่า ให้ช่วยคนอย่างเดียว เรื่องอื่นไม่ต้องยุ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้สนใจสถานะของคนพวกนั้น เมื่อช่วยคนได้แล้วก็รีบกลับมา
เดิมทีโจวลี่เจินก็สงสัยในตัวเขาอยู่บ้าง
แต่เมื่อโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น และเขาได้ยินเสียงเสว่เอ๋อด้วยตัวของเขาเอง เขาจึงเชื่อว่า จี้หลินยวนไม่ได้โกหกเขา เขาช่วยคนออกมาจริงๆ
โจวลี่เจินดีอกดีใจเป็นอย่างมาก พลางถามสถานการณ์ของฝ่ายตรงข้าม พลางลุกขึ้นยืน
สีหน้าของสองสามีภรรยาตระกูลเฉินไม่ค่อยสู้ดีนัก