บทที่102 ชำระหนี้แค้น
หรือว่า…ไม่ได้เข้ามาตั้งแต่แรก?
จิ่งหนิงสางผมและลูบใบหน้าของตนเอง
ภาพในฝันค่อย ๆ เลือนรางเมื่อสมองตื่นขึ้น เกิดอาการปวดตุบ ๆ ขึ้นบริเวณขมับ และรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
เธอกดปลายนิ้วลงบนหน้าผากและนวดเบา ๆ หลังจากนั้นจึงตลบผ้าห่มขึ้น เพื่อลุกออกจากเตียง
“นายหญิง ตื่นแล้วหรือคะ!”
ป้าหลิวเข้ามาพอดี และมองมายังเธอด้วยรอยยิ้ม
จิ่งหนิงยิ้มกลับอย่างฝืน ๆ “ฉันตื่นสาย ทำไมไม่มาปลุกฉันคะ?”
“ตอนที่นายท่านออกไป ท่านได้บอกไว้ว่า นายหญิงไม่สบาย อย่าเข้ามารบกวนนายหญิง ปล่อยให้นายหญิงพักผ่อนค่ะ”
จิ่งหนิงผงะไปชั่วครู่
เธอมองไปยังใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโล่งใจของป้าหลิว และถามขึ้น:“เมื่อคืนเขานอนที่ไหนคะ?”
“นายหญิงไม่รู้หรือคะ? เมื่อคืนนายท่านทำงานจนดึก ก็เลยนอนที่ห้องทำงานค่ะ”
จิ่งหลิงเงียบไปสักพัก
ปรากฏว่าเขาก็ไม่ได้กลับมาจริง ๆ
ภายในใจของเธอเอ่อล้นไปด้วยความรู้สึกอันซับซ้อนที่ยากจนเกินบรรยาย เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เห็นได้ชัดว่าตั้งแต่แรก เธอต้องการที่จะถนอมหัวใจดวงน้อยของเธอไว้ ไม่ว่าสุดท้ายแล้ว วัตถุประสงค์และจุดจบของการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นอย่างไร เธอไม่อาจปล่อยให้ตัวเองตกหลุมพรางนี้ได้
แต่ทว่า…ทำไมเธอกลับรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง
เมื่อจิ่งหนิงมีสีหน้าดูไม่ค่อยดี ป่าหลิวเหลือบมองดูสีหน้าของเธอ พร้อมกับพูดอย่างระมัดระวังว่า:“นายหญิงอยากทานอาหารเช้าไหมคะ?”
จิตใจของจิ่งหนิงกลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง เธอส่ายหัวปฏิเสธ
“ไม่ค่ะ ฉันจะออกไปบริษัทเลย”
บางทีลู่จิ่งเซินอาจส่งซูมู่ไปบอกกับทางบริษัทไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าเธอจะเข้างานสาย คนในบริษัทก็คงไม่รู้สึกแปลกใจอะไร ราวกับว่าพวกเขารู้อยู่แล้ว
เมื่อถึงบริษัท เธอก็เข้าทำงานตามปกติ
ตลอดทั้งวัน ลู่จิ่งเซินไม่ได้ส่งข้อความหรือโทรหาเธอเลย
จิ่งหนิงพยายามระงับความรู้สึกแปลก ๆ ในใจเธอ เธอรู้ว่า เธอไม่สามารถร้องขออะไรได้ไปมากกว่านี้
การแต่งงานครั้งนี้ ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากความรักมาตั้งแต่แรก ไม่ว่าเขาจะมีคู่หมั้นมาก่อนหน้านี้ หรือแม้กระทั่งมีลูกแล้วก็ตาม สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอ
ดังนั้น เธอไม่จำเป็นต้องรู้สึกไม่สบอารมณ์ หรือถามให้มากความ
ใช่แล้ว มันเป็นเช่นนี้เอง
แม้ว่าก่อนหน้านี้ เธอดูเหมือนจะมีใจให้เขา แต่ก็เป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งเท่านั้น
บางทีเพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงบันดาลให้เธอได้รับฟังเรื่องราวที่เธอไม่ควรจะรับรู้ไว้ล่วงหน้า เพื่อเตือนเธอถึงความจริงที่เป็นอยู่
จิ่งหนิงหลับตาลง และสางผมอย่างเบื่อหน่าย
ในขณะนั้นเอง โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้ว แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นหมายเลขผู้โทรที่ปรากฏขึ้นอยู่บนหน้าจอ สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที
“ตาK”
“ฉันเอง”
น้ำเสียงของอีกฝ่ายแหบแห้งแลดูเหมือนเขาได้ผ่านโลกนี้มาอย่างโชกโชน พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า:“เรื่องที่คุณขอให้ผมตรวจสอบ มีบางอย่างที่น่าสนใจ คุยกันทางโทรศัพท์คงจะไม่สะดวก มีเวลาว่างเมื่อไหร่? พวกเราต้องคุยกันตัวต่อตัว!”
ลมหายใจของจิ่งหนิงสะดุดลงทันที
ข้อนิ้วที่ถือโทรศัพท์ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว ผ่านไปชั่วอึดใจหนึ่ง เธอจึงผ่อนคลายลง
“ได้ คุณส่งที่อยู่มาให้ฉัน บ่ายนี้ฉันจะเข้าไปหาคุณ”
“ได้”
ในช่วงบ่าย จิ่งหนิงเลิกงานก่อนเวลา และไปร้านกาแฟร้านหนึ่งตามที่ได้นัดหมายกันไว้
ชายที่ชื่อ ตาKเป็นชายวัยกลางคนศีรษะล้านและสวมแว่นกันแดด เขาได้มาถึงก่อนเวลานัดหมาย นั่งอยู่ตำแหน่งที่ใกล้กับหน้าต่าง
เมื่อเห็นจิ่งหนิง เขาก็พยักหน้าให้เธอ
จิ่งหนิงจึงเดินเข้าไปหา และนั่งลงตรงข้ามกับเขา
“เป็นอย่างไรบ้าง ไปเจออะไรมา?”
เธอรู้สึกกังวลเล็กน้อย และถามอย่างตรงไปตรงมาทันทีที่เธอนั่งลง
ตาKมองเธอผ่านแว่นกันแดด และพูดอย่างเคร่งขรึม:“อย่างที่คุณคาดไว้ อุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อห้าปีก่อน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”
จิ่งหนิงตัวแข็งทื่อ ลมหายใจหยุดชะงัก
ตาKหยิบเอกสารออกมาจากกระเป๋าของเขา เทรูปถ่ายออกมาสองสามรูป แล้วจัดวางไว้บนโต๊ะ
“ซากรถได้ถูกทำลายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กองบังคับการตำรวจจราจรยังคงเก็บบันทึกของตำรวจเกี่ยวกับคดีในปีนั้นไว้ ผมได้รับรูปถ่ายโดยละเอียดของรถคันที่เกิดอุบัติเหตุ คุณดูตรงนี้สิ นี่ต้องเป็นฝีมือของคนที่ก่อเรื่องอย่างแน่นอน”
จิ่งหนิงมองไปตามทิศทางของนิ้วมือเขาอย่างตั้งใจ เธอสังเกตเห็นหนึ่งในรูปนั้น มีจุดหนึ่งที่ปรากฏรอยตัดอย่างชัดเจน
“นี่คือ…ผ้าเบรกหรือ?”
ตาKพยักหน้า
“ตอนที่คุณนายโม่ประสบอุบัติเหตุในปีนั้น เนื่องจากรถถูกไฟคลอกจนเสียหาย และมีหลักฐานมากมายที่หาไม่พบ แต่ต่อมาตำรวจยังคงถ่ายภาพซากปรักหักพังบางไว้ส่วน
รูปเหล่านี้คือรูปที่ผมเลือกจากรูปถ่ายหลายร้อยรูป คนที่ลงมือเป็นคนที่ฉลาด รู้ว่ารถยนต์จะเกิดไฟลุกไหม้ และเมื่อถึงตอนนั้นหลักฐานทั้งหมดก็จะถูกเผาทำลาย สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ เมื่อรถยนต์เกิดไฟลุกไหม้ จะสามารถพุ่งชนกำแพงกั้นสะพานตกลงไปยังแม่น้ำ ซึ่งช่วยดับไฟได้ส่วนหนึ่ง ทำให้มีหลักฐานบางส่วนหลงเหลือมาได้ ”
ใบหน้าของจิ่งหนิงซีดลง
ดวงตาอันเย็นชาและเงียบสงบคู่นั้นที่มองเข้ามา กลับลึกล้ำราวกับบ่อน้ำโบราณ ไม่แสดงถึงความยินดียินร้าย
“ใครเป็นคนทำ?หาเจอหรือยัง?”
ตาK ส่ายศีรษะ
“เมื่อผมได้รับรูป ก็รีบแจ้งให้คุณมาหาผมทันที ยังไม่มีเวลาได้สืบหาคนลงมือ”
“ยากมากไหม?”
“คาดว่ายากมากครับ”
เขาขมวดคิ้ว“เวลาผ่านไปนานเกินไป แล้วคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ อาจไม่ได้อยู่ในเมืองจิ้นนานแล้ว ผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คงไม่เหลือหลักฐานให้คนจับพิรุธได้ คาดว่าเรื่องที่เหลือคงถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว ไปสืบหาตอนนี้ ก็ไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทรหรอก”
จิ่งหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง
ชั่วครู่สายตาของเธอก็ยิ้มเยาะอย่างเย็นชา
“อันที่จริงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ ฉันก็รู้ว่าเป็นใคร”
เธอจ้องไปที่ผ้าเบรกที่ถูกตัดขาดในรูปถ่าย และยกยิ้มอย่างเย็นชา“ใครคือได้รับประโยชน์สูงสุด คนนั้นแหละก็คือฆาตกร”
ตาK เงียบไปชั่วขณะ
“น่าเสียดาย ถ้าไม่มีหลักฐานเอาผิดได้โดยตรง ก็คงไม่มีทางที่จะใช้กระบวนการยุติธรรมในการจับผู้ร้ายเข้าคุกได้”
จิ่งหนิงยิ้มเย็น
กระบวนการยุติธรรม?
จะเป็นอย่างไรถ้าใช้ความยุติธรรมไม่ได้?
เพียงแค่ที่ได้รับการยืนยันว่าแม่ตกเป็นเหยื่ออย่างแท้จริง ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ เธอจะต้องหาทางให้คู่แม่ลูกสารภาพความจริงจากปากตนเอง
สายตาของเธอคุกรุ่นไปด้วยความโกรธเคืองตาK มองไปที่เธอ และเงียบไปชั่วขณะ
“ตอนนี้คุณมีแผนยังไงบ้าง?”
จิ่งหนิงกล่าวอย่างเงียบ ๆ :“แน่นอนว่าพระคุณต้องตอบแทน แต่มีแค้นต้องชำระ!”
“คุณคนเดียวหรือ?”
“มีปัญหาอะไร?”
ตาKมีท่าทีทางเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ปัดความคิดนั้นทิ้ง
จิ่งหนิงเหลือบมองเขา และขมวดคิ้ว“ คุณไปเรียนรู้ท่าทีอยากพูดแต่ไม่พูดแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ตาK:“…”
เขาพูดอย่างหมดหนทาง:“ฉันได้ยินมาว่า ตอนนี้คุณอยู่กับลู่จิ่งเซิน ทำไมคุณถึงขอความช่วยเหลือจากเขา?การทำลายตระกูลเล็ก ๆ อย่างตระกูลจิ่ง สำหรับเขาแล้ว คงเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก”
จิ่งหนิงหัวเราะอย่างเย็นเยียบ
ไม่รู้ว่ามันเกิดจากความเข้าใจผิดของตาKหรือเปล่า เขามักจะรู้สึกได้ว่า ทุกครั้งเมื่อเอ่ยถึงผู้ชายคนนั้น ดวงตาของเธอกลับแข็งกร้าวขึ้นทุกที
“เรื่องของฉัน ฉันไม่ต้องการคนที่ไม่เกี่ยวข้องมายุ่งด้วย”
ผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง เธอจึงลุกขึ้นยืน “โอเค ฉันทราบเรื่องนี้แล้ว ขอบคุณมาก เรื่องเงินฉันจะโอนให้คุณในภายหลัง”
หลังจากที่จิ่งหนิงพูดจบ ก็หันหลังเดินออกไป
ในขณะเดียวกัน ก็มีรถโรลส์-รอยซ์สีดำได้ขับผ่านร้านกาแฟไป คนภายในรถทอดมองออกไปยังนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นร่างอันแสนคุ้นเคย
ผู้หญิงคนนี้สวมชุดลำลองสีดำและขาว สวมหมวกแก๊ปไว้บนศีรษะ เธอก้มหน้าเล็กน้อยขณะเดินออกมาข้างนอก
เขาผงะไปชั่วขณะหนึ่ง และสั่งให้ซูมู่หยุดรถ
เขาเตรียมตัวลงจากรถ แต่เห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากร้านกาแฟอย่างรวดเร็ว และหยุดเธอไว้