และปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเสียงนั้น ซึ่งเป็นเงาที่ผอมบางของโม่ไฉ่เวย
จิ่งหนิงยิ้มเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความดีอกดีใจ
“แม่”
เมื่อโม่ไฉ่เวยเห็นพวกเขา ก็ดีอกดีใจเป็นอย่างมาก
และก็ไม่ได้สนใจคนรับใช้ที่คอยประคองอยู่ด้านหลัง หล่อนปลีกตัวออกมาและวิ่งไปหาเธออย่างรวดเร็ว
“หนิงหนิง”
ทั้งสองกอดกัน แม้ว่าจะเป็นช่วงระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ไม่ได้เจอกัน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะดีใจจนน้ำตาไหล
จิ่งหนิงกอดหล่อน เวลาผ่านไปค่อนข้างนาน จึงได้ปล่อยมือออก
ในเวลานี้ เด็กน้อยทั้งสองที่อยู่ในอ้อมอกของลู่จิ่งเซินก็ตื่นขึ้น
พวกเขาขยี้ตา มองไปยังทิวทัศน์ที่แปลกตาเบื้องหน้า รวมทั้งคนแปลกหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าที่มึนงง
เป็นเพราะว่าที่นี่คือสภาพแวดล้อมที่โม่ไฉ่เวยคุ้นเคย ดังนั้นสำหรับคนนอกแล้ว หล่อนจึงไม่ได้รู้สึกไวต่อความรู้สึกหรือต่อต้านแล้ว ดังนั้นเมื่อเห็นเด็กน้อยทั้งสอง หล่อนจึงยิ้ม แม้ว่าจะไม่ได้พุ่งเข้าหาเหมือนคนที่สนิทสนมคุ้นเคย แต่แววตาและสีหน้าก็ได้สื่อถึงความตื่นเต้นหรือหยาบกร้านเหมือนครั้งแรกที่จิ่งหนิงเห็นแล้ว
หล่อนยิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“นี่คืออานอานกับจิ้งจื๋อใช่ไหม?สวยไม่เบาเลย ด้านนอกอากาศร้อน พวกคุณอย่ายืนอยู่ที่นี่เลย รีบเข้าไปข้างในกันเถอะ”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้า พลางอุ้มเด็กน้อยทั้งสองเดินเข้าไปด้วยกัน
จิ่งหนิงก็ยังคงประคองโม่ไฉ่เวยเช่นเคย
โม่ไฉ่เวยเมื่อเห็นสีหน้าของเธอไม่ค่อยดีนัก ขณะที่เดินเข้าไปข้างในก็ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า:“ตลอดการเดินทางที่มาที่นี่ก็คงลำบากไม่น้อยใช่ไหม?สภาพแวดล้อมที่นี่ดีเลย เพียงแต่ว่าห่างไกลจากสนามบินไปหน่อย ทุกครั้งที่จะมาที่นี่ จากสนามบินนั่งรถกลับมาที่ปราสาท จำเป็นต้องเดินทางในระยะที่ไกลพอสมควร พวกเราชินแล้วเลยไม่ได้รู้สึกอะไร แต่สำหรับคนท้องอย่างเธอ ระหว่างทางพระอาทิตย์จ้าขนาดนั้น ก็คงจะเหนื่อยแย่แน่ๆ”
จิ่งหนิงยิ้มพลางส่ายศีรษะ“ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ ในรถมีแอร์ และยังมีน้ำเย็นที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ได้ร้อนเท่าไหร่ แต่อาจจะเป็นอายุครรภ์มากแล้ว เลยรู้สึกอยากอาเจียน ทำให้รู้สึกไม่สบายนิดหน่อย ”
โม่ไฉ่เวยพูดขึ้นด้วยความดีใจว่า:“แพ้ท้องไม่เป็นไร เดี๋ยวอีกสักพักฉันจะให้คุณอาเชวสั่งยาให้สองเม็ด พอคุณกินเข้าไปแล้วก็จะช่วยบรรเทาอาการลงได้มาก เป็นวิธีการรักษาอาการแพ้ท้องของเขา”
จิ่งหนิงพยักหน้า
เมื่อคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไป โม่ไฉ่เวยก็รีบสั่งให้คนไปจัดเตรียมอาหารว่าง
แท้ที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้หล่อนได้สั่งคนพวกนั้นไปตั้งแต่เช้าแล้ว ในเวลานี้ทำเพียงยกขึ้นมาเสิร์ฟก็เรียบร้อยแล้ว
ไม่นาน ของทุกสิ่งทุกอย่างก็ยกขึ้นมาเสิร์ฟ ในเวลานี้โม่ไฉ่เวยจึงได้เรียกให้พวกเขามานั่งในห้องรับแขกพลางโทรศัพท์หาคุณอาเชว ให้เขารีบกลับมา
หลังจากโทรศัพท์เสร็จ หล่อนจึงได้นั่งลงพลางยิ้มและพูดขึ้นว่า:“เดิมทีคุณอาเชวของคุณก็นั่งรอพวกคุณอยู่ที่บ้าน แต่ว่ามีโทรศัพท์เข้ามากะทันหัน แจ้งว่าห้องห้องปฏิบัติการมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน ก็เลยเดินออกไป เดี๋ยวแม่จะบอกให้เขากลับมาเดี๋ยวนี้แหละ”
จิ่งหนิงยิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“ไม่เป็นไร ถ้าคุณอาเชวมีธุระก็ให้เขาจัดการธุระของเขาให้เสร็จก่อนเถอะ ฉันตั้งใจที่จะมาเยี่ยมแม่มากกว่า”
เมื่อเธอพูดประโยคนี้ออกมา ดวงตาของโม่ไฉ่เวยก็แดงขึ้นทันที
ก็อาจจะเป็นเพราะว่าหล่อนดีใจ และก็อาจจะเป็นเพราะว่าเวลาก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ทำให้หล่อนสามารถยอมรับได้อย่างเต็มอกแล้วว่าจิ่งหนิงเป็นลูกสาวของหล่อน
และเมื่อพบเธออีกครั้งจึงทำให้เกิดความรู้สึกมากมายผสมปนเปกัน
หล่อนรีบกดทับน้ำตาที่อยู่ใต้ดวงตา จากนั้นยิ้มพลางพูดขึ้นว่า อานอานและจิ้งเจ๋อน้อย
“เด็กคนนี้อายุเท่าไหร่?”
อานอานรีบลุกขึ้นและพูดขึ้นอย่างรู้ประสาว่า:“ปีนี้หนูอายุเก้าขวบแล้วค่ะคุณยาย”
จิ้งเจ๋อน้อยก็พูดขึ้นว่า:“ผมอายุสี่ขวบแล้วครับ”
โม่ไฉ่เวยอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ มานี่สิมาให้ยายดูหน่อย”
เด็กน้อยทั้งสองคนเหลือบหันไปมองจิ่งหนิงครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าหล่อนไม่ปฏิเสธ จึงรีบวิ่งเข้าไป
โม่ไฉ่เวยอุ้มเด็กทั้งสองคนไว้ ในใจเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ก่อนหน้านี้หล่อนคิดไม่ถึงเลยว่า ตนเองจะยอมรับได้เร็วขนาดนี้
เดิมทีตอนแรกเริ่ม จิ่งหนิงเสนอให้เด็กน้องทั้งสองมาพบหล่อน หล่อนก็ยังต่อต้านอยู่เลย
แต่ว่าตอนนี้เมื่อได้พบกับเด็กน้อยทั้งสองคนเข้าจริงๆ ในใจของหล่อนไม่เพียงแต่ไม่ต่อต้าน แต่กลับรู้สึกไม่เหมือนเดิม แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีความอบอุ่นไหลเวียนอยู่ในหัวใจเธอเช่นนี้มาก่อน
และในเวลานี้ หล่อนก็มีคำถามผุดขึ้นมาหนึ่งคำถาม
หล่อนเงยหน้ามองไปยังจิ่งหนิง พลางถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า:“อานอานก็อายุเก้าขวบแล้ว?ถ้าอย่างนั้นพวกลูกก็ ……”
เมื่อจิ่งหนิงได้ฟังดังนั้น ก็รู้ทันทีว่าหล่อนกำลังคิดอะไรอยู่
แววตาสื่อถึงความกระอักกระอ่วน ยิ้มแห้งผากพลางพูดขึ้นว่า :“ฉันไม่ใช่แม่แท้ๆของอานอาน”
“อ่า?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของโม่ไฉ่เวยก็เย็นยะเยือกขึ้นมาในทันที
หล่อนหันไปมองลู่จิ่งเซิน เดิมทีลูกเขยคนนี้มองแล้วก็เจริญหูเจริญตาดี แต่ตอนนี้ยิ่งมองก็ยิ่งขัดหูขัดตา
“ที่แท้ประธานลู่แต่งงานรอบสองเหรอ?แม่ก็คิดว่าพวกลูกรู้จักและแต่งงานกันมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นลูกก็เลยโตขนาดนี้”
จิ่งหนิงไม่อยากที่จะพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าลูกๆ
อานอานเป็นเด็กที่ไวต่อความรู้สึก คราวที่แล้วถูกลู่หลันจือยั่วยวน และด้วยเรื่องแม่แท้ๆของหล่อนนี้แหละที่เกือบจะทำให้หล่อนต้องแตกคอกัน
ดังนั้น นับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นไป จิ่งหนิงก็ให้ทุกคนปิดปากเงียบ และไม่อนุญาตให้ใครพูดเช่นนี้อีก
ดังนั้น เธอทำอะไรไม่ได้ จึงขยิบตาให้กับลู่จิ่งเซินหนึ่งที
ลู่จิ่งเซินเข้าใจในความหมาย จึงได้รีบลุกขึ้นยิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“แม่เข้าใจผิดแล้ว ผมแต่งงานครั้งแรก แต่ว่าอานอาน……”
เขายิ้มพลางพูดขึ้นว่า“ในใจของอานอาน หนิงหนิงก็คือแม่แท้ๆของหล่อน”
อานอานไม่พูดไม่จาพลางพยักหน้า หล่อนเกรงว่าโม่ไฉ่เวย จะไม่เชื่อ จึงพูดขึ้นอย่างตั้งใจว่า:“คุณยาย หนูมีหม่ามี๊คนเดียว แต่คุณยายก็อย่าได้สงสัยในตัวของป่ะป๊าเลย”
ที่จริงแล้วหล่อนก็ฟังผู้ใหญ่คุยกันทั้งสองคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก แต่ก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ของโม่ไฉ่เวยได้ รู้ว่าคุณยายท่านนี้ไม่ชอบป่ะป๊าของตนแล้ว ดังนั้นจึงรีบช่วยเขาอธิบาย การที่
โม่ไฉ่เวยพูดออกมาเช่นนี้แท้ที่จริงแล้วก็เพียงเพื่อต้องการที่จะปกป้อง
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้มีเจตนาร้าย
อีกทั้ง แม้ว่าอานอานจะไม่ใช่ลูกแท้ๆของจิ่งหนิง แต่ว่าแว็บแรกที่เห็นเด็กคนนี้ หล่อนก็มีความรู้สึกว่าจิ่งหนิงหน้าตาคล้ายหล่อน
อาจจะเรียกได้ว่านี่คือพรมลิขิตของสองแม่ลูกที่ฟ้ากำหนด
แม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ว่าเมื่ออยู่ด้วยกันนานวันเข้า ก็ทำให้หน้าตาและบุคลิกคล้ายกันมากขึ้นเรื่อยๆ
หล่อนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา พลางลูบที่ศีรษะของอานอาน และพูดขึ้นเสียงเบาว่า
:“ดี ฉัยรู้แล้วว่าอานอานเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักที่สุดและสวยที่สุด ฉันไม่สงสัยป่ะป๊าหม่ามี๊ของหนูหรอก ถ้างั้นหนูอยู่ที่นี่เล่นเป็นเพื่อนน้องชายและป่ะป๊าของหนูก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะพาหม่ามี๊ของหนูไปคุยธุระกันด้านหลังได้ไหม?”
อานอานเบิกตาที่เป็นประกายกว้าง มองไปที่หล่อนอย่างงงงวย
ไม่นาน จึงพยักหน้ากึ่งเข้าใจและไม่เข้าใจ “ค่ะ”
ลู่จิ่งเซินมองดูหล่อนลุกขึ้น ด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง
แต่กลับไม่ได้พูดอะไร และเรียกเด็กทั้งสองเข้าไปอย่างเป็นธรรมชาติ
จิ่งหนิงก็รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย มองดูสีหน้าที่เฉยเมยของโม่ไฉ่เวย พลางพูดขึ้นว่า“แม่”
“หนิงหนิง ตามแม่มา”
โม่ไฉ่เวยกลับไม่ให้โอกาสเธอ เรียกเธอด้วยคำพูดประโยคหนึ่ง จากนั้นก็หันหลังแล้วจากไป
และปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเสียงนั้น ซึ่งเป็นเงาที่ผอมบางของโม่ไฉ่เวย
จิ่งหนิงยิ้มเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความดีอกดีใจ
“แม่”
เมื่อโม่ไฉ่เวยเห็นพวกเขา ก็ดีอกดีใจเป็นอย่างมาก
และก็ไม่ได้สนใจคนรับใช้ที่คอยประคองอยู่ด้านหลัง หล่อนปลีกตัวออกมาและวิ่งไปหาเธออย่างรวดเร็ว
“หนิงหนิง”
ทั้งสองกอดกัน แม้ว่าจะเป็นช่วงระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ไม่ได้เจอกัน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะดีใจจนน้ำตาไหล
จิ่งหนิงกอดหล่อน เวลาผ่านไปค่อนข้างนาน จึงได้ปล่อยมือออก
ในเวลานี้ เด็กน้อยทั้งสองที่อยู่ในอ้อมอกของลู่จิ่งเซินก็ตื่นขึ้น
พวกเขาขยี้ตา มองไปยังทิวทัศน์ที่แปลกตาเบื้องหน้า รวมทั้งคนแปลกหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าที่มึนงง
เป็นเพราะว่าที่นี่คือสภาพแวดล้อมที่โม่ไฉ่เวยคุ้นเคย ดังนั้นสำหรับคนนอกแล้ว หล่อนจึงไม่ได้รู้สึกไวต่อความรู้สึกหรือต่อต้านแล้ว ดังนั้นเมื่อเห็นเด็กน้อยทั้งสอง หล่อนจึงยิ้ม แม้ว่าจะไม่ได้พุ่งเข้าหาเหมือนคนที่สนิทสนมคุ้นเคย แต่แววตาและสีหน้าก็ได้สื่อถึงความตื่นเต้นหรือหยาบกร้านเหมือนครั้งแรกที่จิ่งหนิงเห็นแล้ว
หล่อนยิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“นี่คืออานอานกับจิ้งจื๋อใช่ไหม?สวยไม่เบาเลย ด้านนอกอากาศร้อน พวกคุณอย่ายืนอยู่ที่นี่เลย รีบเข้าไปข้างในกันเถอะ”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้า พลางอุ้มเด็กน้อยทั้งสองเดินเข้าไปด้วยกัน
จิ่งหนิงก็ยังคงประคองโม่ไฉ่เวยเช่นเคย
โม่ไฉ่เวยเมื่อเห็นสีหน้าของเธอไม่ค่อยดีนัก ขณะที่เดินเข้าไปข้างในก็ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า:“ตลอดการเดินทางที่มาที่นี่ก็คงลำบากไม่น้อยใช่ไหม?สภาพแวดล้อมที่นี่ดีเลย เพียงแต่ว่าห่างไกลจากสนามบินไปหน่อย ทุกครั้งที่จะมาที่นี่ จากสนามบินนั่งรถกลับมาที่ปราสาท จำเป็นต้องเดินทางในระยะที่ไกลพอสมควร พวกเราชินแล้วเลยไม่ได้รู้สึกอะไร แต่สำหรับคนท้องอย่างเธอ ระหว่างทางพระอาทิตย์จ้าขนาดนั้น ก็คงจะเหนื่อยแย่แน่ๆ”
จิ่งหนิงยิ้มพลางส่ายศีรษะ“ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ ในรถมีแอร์ และยังมีน้ำเย็นที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ได้ร้อนเท่าไหร่ แต่อาจจะเป็นอายุครรภ์มากแล้ว เลยรู้สึกอยากอาเจียน ทำให้รู้สึกไม่สบายนิดหน่อย ”
โม่ไฉ่เวยพูดขึ้นด้วยความดีใจว่า:“แพ้ท้องไม่เป็นไร เดี๋ยวอีกสักพักฉันจะให้คุณอาเชวสั่งยาให้สองเม็ด พอคุณกินเข้าไปแล้วก็จะช่วยบรรเทาอาการลงได้มาก เป็นวิธีการรักษาอาการแพ้ท้องของเขา”
จิ่งหนิงพยักหน้า
เมื่อคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไป โม่ไฉ่เวยก็รีบสั่งให้คนไปจัดเตรียมอาหารว่าง
แท้ที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้หล่อนได้สั่งคนพวกนั้นไปตั้งแต่เช้าแล้ว ในเวลานี้ทำเพียงยกขึ้นมาเสิร์ฟก็เรียบร้อยแล้ว
ไม่นาน ของทุกสิ่งทุกอย่างก็ยกขึ้นมาเสิร์ฟ ในเวลานี้โม่ไฉ่เวยจึงได้เรียกให้พวกเขามานั่งในห้องรับแขกพลางโทรศัพท์หาคุณอาเชว ให้เขารีบกลับมา
หลังจากโทรศัพท์เสร็จ หล่อนจึงได้นั่งลงพลางยิ้มและพูดขึ้นว่า:“เดิมทีคุณอาเชวของคุณก็นั่งรอพวกคุณอยู่ที่บ้าน แต่ว่ามีโทรศัพท์เข้ามากะทันหัน แจ้งว่าห้องห้องปฏิบัติการมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน ก็เลยเดินออกไป เดี๋ยวแม่จะบอกให้เขากลับมาเดี๋ยวนี้แหละ”
จิ่งหนิงยิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“ไม่เป็นไร ถ้าคุณอาเชวมีธุระก็ให้เขาจัดการธุระของเขาให้เสร็จก่อนเถอะ ฉันตั้งใจที่จะมาเยี่ยมแม่มากกว่า”
เมื่อเธอพูดประโยคนี้ออกมา ดวงตาของโม่ไฉ่เวยก็แดงขึ้นทันที
ก็อาจจะเป็นเพราะว่าหล่อนดีใจ และก็อาจจะเป็นเพราะว่าเวลาก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ทำให้หล่อนสามารถยอมรับได้อย่างเต็มอกแล้วว่าจิ่งหนิงเป็นลูกสาวของหล่อน
และเมื่อพบเธออีกครั้งจึงทำให้เกิดความรู้สึกมากมายผสมปนเปกัน
หล่อนรีบกดทับน้ำตาที่อยู่ใต้ดวงตา จากนั้นยิ้มพลางพูดขึ้นว่า อานอานและจิ้งเจ๋อน้อย
“เด็กคนนี้อายุเท่าไหร่?”
อานอานรีบลุกขึ้นและพูดขึ้นอย่างรู้ประสาว่า:“ปีนี้หนูอายุเก้าขวบแล้วค่ะคุณยาย”
จิ้งเจ๋อน้อยก็พูดขึ้นว่า:“ผมอายุสี่ขวบแล้วครับ”
โม่ไฉ่เวยอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ มานี่สิมาให้ยายดูหน่อย”
เด็กน้อยทั้งสองคนเหลือบหันไปมองจิ่งหนิงครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าหล่อนไม่ปฏิเสธ จึงรีบวิ่งเข้าไป
โม่ไฉ่เวยอุ้มเด็กทั้งสองคนไว้ ในใจเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ก่อนหน้านี้หล่อนคิดไม่ถึงเลยว่า ตนเองจะยอมรับได้เร็วขนาดนี้
เดิมทีตอนแรกเริ่ม จิ่งหนิงเสนอให้เด็กน้องทั้งสองมาพบหล่อน หล่อนก็ยังต่อต้านอยู่เลย
แต่ว่าตอนนี้เมื่อได้พบกับเด็กน้อยทั้งสองคนเข้าจริงๆ ในใจของหล่อนไม่เพียงแต่ไม่ต่อต้าน แต่กลับรู้สึกไม่เหมือนเดิม แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีความอบอุ่นไหลเวียนอยู่ในหัวใจเธอเช่นนี้มาก่อน
และในเวลานี้ หล่อนก็มีคำถามผุดขึ้นมาหนึ่งคำถาม
หล่อนเงยหน้ามองไปยังจิ่งหนิง พลางถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า:“อานอานก็อายุเก้าขวบแล้ว?ถ้าอย่างนั้นพวกลูกก็ ……”
เมื่อจิ่งหนิงได้ฟังดังนั้น ก็รู้ทันทีว่าหล่อนกำลังคิดอะไรอยู่
แววตาสื่อถึงความกระอักกระอ่วน ยิ้มแห้งผากพลางพูดขึ้นว่า :“ฉันไม่ใช่แม่แท้ๆของอานอาน”
“อ่า?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของโม่ไฉ่เวยก็เย็นยะเยือกขึ้นมาในทันที
หล่อนหันไปมองลู่จิ่งเซิน เดิมทีลูกเขยคนนี้มองแล้วก็เจริญหูเจริญตาดี แต่ตอนนี้ยิ่งมองก็ยิ่งขัดหูขัดตา
“ที่แท้ประธานลู่แต่งงานรอบสองเหรอ?แม่ก็คิดว่าพวกลูกรู้จักและแต่งงานกันมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นลูกก็เลยโตขนาดนี้”
จิ่งหนิงไม่อยากที่จะพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าลูกๆ
อานอานเป็นเด็กที่ไวต่อความรู้สึก คราวที่แล้วถูกลู่หลันจือยั่วยวน และด้วยเรื่องแม่แท้ๆของหล่อนนี้แหละที่เกือบจะทำให้หล่อนต้องแตกคอกัน
ดังนั้น นับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นไป จิ่งหนิงก็ให้ทุกคนปิดปากเงียบ และไม่อนุญาตให้ใครพูดเช่นนี้อีก
ดังนั้น เธอทำอะไรไม่ได้ จึงขยิบตาให้กับลู่จิ่งเซินหนึ่งที
ลู่จิ่งเซินเข้าใจในความหมาย จึงได้รีบลุกขึ้นยิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“แม่เข้าใจผิดแล้ว ผมแต่งงานครั้งแรก แต่ว่าอานอาน……”
เขายิ้มพลางพูดขึ้นว่า“ในใจของอานอาน หนิงหนิงก็คือแม่แท้ๆของหล่อน”
อานอานไม่พูดไม่จาพลางพยักหน้า หล่อนเกรงว่าโม่ไฉ่เวย จะไม่เชื่อ จึงพูดขึ้นอย่างตั้งใจว่า:“คุณยาย หนูมีหม่ามี๊คนเดียว แต่คุณยายก็อย่าได้สงสัยในตัวของป่ะป๊าเลย”
ที่จริงแล้วหล่อนก็ฟังผู้ใหญ่คุยกันทั้งสองคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก แต่ก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ของโม่ไฉ่เวยได้ รู้ว่าคุณยายท่านนี้ไม่ชอบป่ะป๊าของตนแล้ว ดังนั้นจึงรีบช่วยเขาอธิบาย การที่
โม่ไฉ่เวยพูดออกมาเช่นนี้แท้ที่จริงแล้วก็เพียงเพื่อต้องการที่จะปกป้อง
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้มีเจตนาร้าย
อีกทั้ง แม้ว่าอานอานจะไม่ใช่ลูกแท้ๆของจิ่งหนิง แต่ว่าแว็บแรกที่เห็นเด็กคนนี้ หล่อนก็มีความรู้สึกว่าจิ่งหนิงหน้าตาคล้ายหล่อน
อาจจะเรียกได้ว่านี่คือพรมลิขิตของสองแม่ลูกที่ฟ้ากำหนด
แม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ว่าเมื่ออยู่ด้วยกันนานวันเข้า ก็ทำให้หน้าตาและบุคลิกคล้ายกันมากขึ้นเรื่อยๆ
หล่อนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา พลางลูบที่ศีรษะของอานอาน และพูดขึ้นเสียงเบาว่า
:“ดี ฉัยรู้แล้วว่าอานอานเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักที่สุดและสวยที่สุด ฉันไม่สงสัยป่ะป๊าหม่ามี๊ของหนูหรอก ถ้างั้นหนูอยู่ที่นี่เล่นเป็นเพื่อนน้องชายและป่ะป๊าของหนูก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะพาหม่ามี๊ของหนูไปคุยธุระกันด้านหลังได้ไหม?”
อานอานเบิกตาที่เป็นประกายกว้าง มองไปที่หล่อนอย่างงงงวย
ไม่นาน จึงพยักหน้ากึ่งเข้าใจและไม่เข้าใจ “ค่ะ”
ลู่จิ่งเซินมองดูหล่อนลุกขึ้น ด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง
แต่กลับไม่ได้พูดอะไร และเรียกเด็กทั้งสองเข้าไปอย่างเป็นธรรมชาติ
จิ่งหนิงก็รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย มองดูสีหน้าที่เฉยเมยของโม่ไฉ่เวย พลางพูดขึ้นว่า“แม่”
“หนิงหนิง ตามแม่มา”
โม่ไฉ่เวยกลับไม่ให้โอกาสเธอ เรียกเธอด้วยคำพูดประโยคหนึ่ง จากนั้นก็หันหลังแล้วจากไป