หล่อนยืนขึ้นและพูดว่า “ไปกันเถอะ พวกเราไปที่ห้องโถงด้านหน้ากัน อย่าปล่อยให้คุณลู่ผู้มีเสน่ห์ที่ยอมรับคุณอย่างสุดหัวใจต้องรอเป็นเวลานานเลย”
จิ่งหนิงรู้ว่าหล่อนไม่สามารถละทิ้งอคติกับลู่จิ่งเซินไปได้อย่างสมบูรณ์ จึงจงใจพูดเสียดสี
แต่เธอก็ไม่สนใจอะไรมาก ดั่งคำว่ากาลเวลาพิสูจน์ใจคน
โม่ไฉ่เวยและลู่จิ่งเซินไม่ได้เจอกันมานาน ความกังวลทั้งหมดในตอนนี้ล้วนเป็นเรื่องปกติของมนุษย์
ต่อไปหล่อนจะค่อยๆเข้าใจเอง
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็ลุกขึ้น ยิ้มและพยักหน้า
ทั้งสองเดินไปที่ห้องโถงด้านหน้า ด้วยกัน
ภายในห้องโถงด้านหน้า ลู่จิ่งเซินกำลังเล่นเกมอยู่กับอานอานและจิ้งเจ๋อน้อย
ที่ไหนมีลูก ที่นั่นก็จะไม่เงียบเหงาเลยจริง ๆ
จิ่งหนิงเดินเข้ามาด้วยความเขินอาย แต่ลู่จิ่งเซินนั้นดูเหมือนเดิม เขาเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองเธอ “คุยเสร็จแล้วเหรอ?”
จิ่งหนิงพยกหน้า
โม่ไฉ่เวยยิ้มและพูดว่า “พวกคุณหิวหรือยัง? ถ้าหิวแล้ว ฉันจะไปคุยกับครัวว่า พวกเราจะเริ่มทานกันเร็วหน่อย ไม่รอ อะซู่ แล้ว”
จิ่งหนิงส่ายหน้า ลู่จิ่งเซินยังกล่าวอีกว่า “ไม่ต้องรีบครับ รอ คุณเชว มาค่อยพูดก็ยังไม่สาย ผมเห็นว่าทิวทัศน์ในปราสาทแห่งนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาก ถ้าไม่ขัดข้อง ผมอยากพาหนิงหนิงไปดูรอบๆหน่อย”
โม่ไฉ่เวยพยักหน้า
“ไม่มีปัญหาเลย ให้ฉันไปส่งพวกเธอไหมล่ะ? ”
“ไม่เป็นไร พวกเราเดินไปเองดีกว่า แค่จะรบกวนคุณช่วยดูแลเด็กๆให้หน่อย”
สายตาของโม่ไฉ่เวยจ้องไปที่เด็กสองคน
แม้ว่าแต่ก่อนจะตะขิดตะขวงเรื่องที่จิ่งหนิงไม่ได้ให้กำเนิดอานอาน แต่นั่นก็เป็นเรื่องระหว่างผู้ใหญ่เท่านั้น
ความรู้สึกเมื่อก่อน กลับดีขึ้น
หล่อนเพียงแค่ถูกจิ่งเซี่ยวเต๋อหลอกมาเกือบทั้งชีวิต ดังนั้นหล่อนจึงกังวลว่า จิ่งหนิงจะเดินตามเส้นทางเก่าของหล่อนเท่านั้นเอง
ดังนั้น เมื่อเห็นอานอานครั้งนี้ หล่อนจึงชอบอย่างมาก
แล้วจึงยิ้ม “แน่นอน ไม่มีปัญหา”
ขณะที่หล่อนพูดก็เดินไปข้างหน้าและยิ้มให้เด็กทั้งสอง: “พวกเธอมีสวนสนุกที่บ้านไหม คุณยายมีสวนสนุกที่นี่ด้วย คุณยายพาพวกเธอไปเล่นด้วยดีไหม?”
พวกเด็กๆชอบเล่นเสมอ ไม่ว่าพวกเขาจะอายุเท่าไหร่
เมื่อเด็กทั้งสองได้ยินเกี่ยวกับสวนสนุก พวกเขาก็ปรบมือและหัวเราะชอบใจทันที
“ได้เลย ได้เลย เรามาเล่นกัน”
จากนั้น โม่ไฉ่เวยก็พาพวกเขาไปที่สวนสนุก
เมื่อเห็นว่าพวกเขาลับตา ลู่จิ่งเซินและจิ่งหนิงก็ออกไปด้วยกัน
ปราสาทมีขนาดใหญ่มาก ใหญ่กว่าปราสาทของกู้ซือเฉียนในเมืองหลินก่อนหน้านี้เสียอีก
ทุกที่ล้วนแล้วแต่งดงาม
ก่อนที่จิ่งหนิงจะเข้ามา เธอกังวลเล็กน้อยว่าแม่ของเธอจะมีชีวิตที่ไม่ดีในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหรือไม่ แต่ตอนนี้ เมื่อได้ดูปราสาทที่สวยงามแห่งนี้แล้ว เธอก็ไม่มีความกังวลแล้ว
เธอคิดในใจ ในโลกใบนี้ ทุกคนอาจจะทำผิดต่อแม่ของพวกเขา แต่ว่าคุณอาเชว ไม่ทำแบบนั้น
แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าพวกเขาพบกันได้อย่างไร แต่ความรักของ คุณอาเชวที่มีต่อโม่ไฉ่เวยก็สามารถเห็นได้อย่างรวดเร็ว
ไม่เช่นนั้น ในเวลานั้น เมื่อโม่ไฉ่เวยไม่ไว้วางใจทุกคนรอบตัวเธอ เธอก็จะไม่สามารถไว้วางใจ คุณอาเชวได้มากนักเช่นกัน
ทั้งสองเดินช้าๆ ตามขั้นบันไดหินอ่อน ระบบปรับอากาศมีอยู่ทุกที่ในปราสาททำให้อากาศไม่ร้อน
นอกจากนี้ยังมีต้นไม้สูงตระหง่านอยู่ทุกหนทุกแห่ง ต้นไม้แตกหน่อออกมา แม้ว่าอากาศจะหนาวเหน็บ
หลังจากเดินไปได้ซักพัก จิ่งหนิงก็ทำลายความเงียบและพูดว่า: “เมื่อกี้แม่ของฉันพูดไปอย่างนั้นเอง อย่าไปคิดมาก หล่อนแค่ไม่เข้าใจเรา”
ลู่จิ่งเซินหันหน้าและเหลือบมองเธอด้วยรอยยิ้ม
“แต่หล่อนก็พูดความจริงไม่ใช่เหรอ?”
จิ่งหนิงตกตะลึง
ลู่จิ่งเซินพูดอย่างเงียบ ๆ :“หลายปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยเล่าประสบการณ์ชีวิตของอานอานให้ฟังจริงๆ เลย คุณไม่มีข้อสงสัยอะไรในใจจริงๆ เหรอ?”
จิ่งหนิงเม้มริมฝีปากครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “มี”
ลู่จิ่งเซินหยุดชะงัก
สถานที่ที่ทั้งสองคนยืนอยู่นั้นบังเอิญอยู่ในมุมที่มีร่มเงาซึ่งไม่มีแสงแดด และมีระบบปรับอากาศที่ซ่อนอยู่ใต้ลำต้นของต้นไม้ข้างๆ อากาศจึงเย็นมาก
เขามองไปที่จิ่งหนิงอย่างลึกซึ้งและถามว่า: “แล้วทำไมคุณไม่ถามผมล่ะ?”
จิ่งหนิงกลับหัวเราะ
“ถามอะไรล่ะ? ถ้าอยากจะพูดก็ต้องพูดมาเองสิ ถ้าไม่อยากจะพูด แล้วฉันถามมันจะมีประโยชน์อะไร?”
ขณะที่เธอพูด เธอค่อยๆ ยกมือขึ้นเพื่อเด็ดใบไม้ และเล่นมันในฝ่ามือของเธอ
สีหน้าของลู่จิ่งเซินเริ่มถอดสี
“หนิงหนิง ผมเคยสัญญากับคุณว่าเมื่อถึงเวลาวันหนึ่งที่เหมาะสม ผมจะบอกความจริงกับคุณ”
“ฉันจำได้”
จิ่งหนิงเงยหน้าขึ้นและยิ้มให้เขา
แสงแดดส่องผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งก้านและใบไม้ และตกกระทบลงไปในดวงตาอันเปล่งประกายของเธอ
“ฉันไม่เคยถาม เพราะเชื่อว่าไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าคุณจะมีคนอื่นอยู่ในใจหรือไม่ แต่คุณเป็นของฉันแล้ว และอนาคตก็เช่นกัน แค่นั้นก็พอแล้ว”
ลู่จิ่งเซินจ้องเข้าไปในดวงตาของเธอ
สิ่งที่เธอพูดนั้นจริงจังและสงบมาก ราวกับว่าเข็มถูกแทงเข้าไปในหัวใจของเขา
ลู่จิ่งเซินยกมือขึ้นและกอดจิ่งหนิงไว้ในอ้อมแขนของเขา
บริเวณหน้าอกเหมือนโดนอะไรมาขวางไว้ ความหนาแน่นนั้นทำให้เขาอึดอัด
เขากระซิบ: “หนิงหนิง ผมรักคุณ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจำไว้ว่าความรักของผมคือเรื่องจริง”
จิ่งหนิงพิงแขนของเขา พอฟังคำพูดจากเสียงกระซิบของเขาแล้วไม่รู้ว่าทำไม ความรู้สึกวิตกกังวลก็ผุดขึ้นมาในใจ
เธอเงยหน้าขึ้นและมองขึ้นไปที่ลู่จิ่งเซินอย่างลึกซึ้ง
“จิ่งเซิน มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ทำไมฉันถึงรู้สึก…”
“ไม่มีอะไร”
ลู่จิ่งเซินกอดเธอ และใช้ฝ่ามือลูบผมของเธอเบาๆ
เขาถอนหายใจเบา ๆ : “หนิงหนิง ผมทำผิดต่อคุณ ผมสัญญาว่าเมื่อถึงเวลา ผมจะบอกทุกอย่าง”
ทั้งสองยืนนิ่งเงียบอยู่นาน
อันที่จริง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกว่า จิ่งเซินไม่อยากรู้เกี่ยวกับอดีตของลู่จิ่งเซิน
เพราะนี่คือผู้ชายที่เธอรักอย่างสุดซึ้ง และเธอต้องการรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา
แต่เธอก็เข้าใจว่าบางสิ่งแม้จะสนิทกันแค่ไหน บางครั้งก็ต้องให้เกียรติกัน
การปล่อยให้อีกฝ่ายรักษาพื้นที่ส่วนตัวของเขาไม่เพียงเป็นการให้ความเคารพในความสัมพันธ์นี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการให้ความเคารพเขาด้วย
สิ่งใดที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป
ถ้าในวันข้างหน้า เขาเต็มใจที่จะบอกให้ตนฟังจริงๆ ในตอนนั้นเธอก็จะรับฟัง
หากเขาไม่เต็มใจ จิ่งหนิงก็จะไม่บังคับ
เหมือนกับที่เธอพูดกับโม่ไฉ่เวย ในโลกใบนี้ ใครที่ไม่มีอดีตบ้าง
หลังจากที่ทั้งสองยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ลู่จิ่งเซินไม่พูดอะไรต่อ เขาจับมือกับเธอและเดินเล่นในปราสาทด้วยกัน
ต้องบอกว่าปราสาทหลังนี้สร้างขึ้นอย่างสวยงามทั้งภายนอกและภายในจริง ๆ
หากมีประสบการณ์พอ ๆ กับลู่จิ่งเซิน ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ มันช่างฉลาดเหลือเกิน