ในไม่ช้า ลู่จิ่งเซินก็เทน้ำลงไปเต็มแก้ว
เขาถือแก้ว เพื่อให้จิ่งหนิงดื่มน้ำ
จิ่งหนิงขี้เกียจเกินกว่าจะยกมือขึ้น ดังนั้นจึงจิบน้ำจากมือของเขา จากนั้นจึงกลืนลงไปในลำคอแล้วจึงดันออก
ลู่จิ่งเซินวางแก้วลงบนโต๊ะข้างๆ แล้วจึงคว้าเสื้อคลุมของเขาขึ้นมา
“อากาศด้านนอกเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ สวมเสื้อคลุมสิจะได้ไม่เป็นหวัด”
จิงหนิงพยักหน้า และสวมมันอย่างเชื่อฟัง จากนั้นยกผ้าห่มขึ้นและลุกจากเตียง
“คุณหิวไหม อาหารเย็นใกล้เสร็จแล้ว ลงไปทานอาหารเย็นกันไหม?”
“ไปสิ”
ทั้งสองจับมือกันเดินลงบันได
ในห้องนั่งเล่นชั้นล่าง อานอานกำลังนั่งดูการ์ตูนเรื่องโปรดของเธออยู่บนโซฟา
ข้าง ๆ กันนั้น จิ้งเจ๋อน้อยยังคงวุ่นกับเลโก้ที่เขายังต่อไม่สำเร็จ
เมื่อเห็นจิ่งหนิงและลู่จิ่งเซินลงมา เขาก็วางของเล่นในมือลงและวิ่งไปหาพวกเขาทันที
“หม่ามี๊ แด๊ดดี้”
ลู่จิ่งเซินก้าวไปข้างหน้าเขา เมื่อถึงครึ่งทางก็อุ้มเจ้าซาลาเปาน้อยขึ้นมา
“พ่อบอกกี่ครั้งแล้ว? ว่าลูกไม่ได้รับอนุญาตให้จู่โจมแบบนี้ หม่ามี๊กำลังท้อง แล้วถ้าหม่ามี๊ล้มล่ะ?”
จิ่งหนิงยิ้มและพูดว่า “จะล้มง่ายอะไรขนาดนั้น?”
เจ้าซาลาเปาน้อยกลอกตาอย่างไม่คาดคิดและพูดว่า: “หนูไม่อยากกอดหม่ามี๊แล้ว หนูจะกอดแด๊ดดี้”
พูดจบก็หอมไปที่แก้มเขา
ลู่จิ่งเซิน “……”
จิ่งหนิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาจากด้านหลัง
ลู่จิ่งเซินทำหน้าเข้มและตีก้นน้อย ๆ ของเขาเบา ๆ
“ทะเล้นนักนะ”
หลังจากที่ทั้งสามลงไปข้างล่าง โม่ไฉ่เวยก็เดินออกมาจากครัว
“หนิงหนิงตื่นแล้ว ไปที่ห้องอาหารแล้วนั่งลงสิ อาหารเย็นใกล้จะเสร็จแล้ว”
จิ่งหนิงพยักหน้าและทุกคนก็ไปที่ห้องอาหารด้วยกัน
โม่ไฉ่เวยอารมณ์ดีในช่วงสองวันที่ผ่านมา หล่อนจึงเตรียมอาหารเย็นด้วยตัวเอง
เมื่อ คุณอาเชวมาจากสวนด้านหลัง ได้เห็นอาหารเลิศรสบนโต๊ะ รอยยิ้มที่แสนหาได้ยากก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขา
“กว่าไฉ่เวยจะทำอาหารสักครั้งนี่ช่างหายาก แต่กลับไม่ได้ทำเพราะฉันเสียนี่ คิด ๆ ดูแล้วก็เศร้านิดหน่อยนะ”
แม้ว่าเขาจะพูดอย่างนั้น แต่มือของเขาไม่หยุดที่จะเหยียดตรงไปที่จานใดจานหนึ่ง
โม่ไฉ่เวยพูดแขวะกับจิ่งหนิง: “ลูกเห็นหรือยัง?คนๆนี้ทั้งอยากกินทั้งอยากพูด ไม่รู้ทำไมปากถึงได้ยุ่งแบบนี้นะ”
จิ่งหนิงหัวเราะอย่างมีความสุขเมื่อเห็นคนสองคนทะเลาะกัน
คุณอาเชวพ่นลมหายใจ “ฉันพูดความจริง”
โม่ไฉ่เวยขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจเขา และหันไปถามอานอานว่า “คุณยายทำอาหารอร่อยไหม”
อานอานพยักหน้าอย่างจริงจัง
“อร่อยนะ อร่อยเหมือนที่ หม่ามี๊ทำเลย”
โม่ไฉ่เวยหัวเราะออกมาทันที
“ปากหวานจริง ๆ”
จิ่งหนิงยิ้มและใส่ผักสีเขียวลงในชามของเธอ
“ลูกกินแต่เนื้อสัตว์ไม่ได้นะ ต้องกินผักด้วยรู้ไหม?”
อานอานพยักหน้า ส่วนจิ้งเจ๋อน้อยดันชามออกมา
“หม่ามี๊ หนูก็อยากกินผัก”
ดังนั้น จิ่งหนิงจึงคีบผักให้เขาด้วย
ข้าง ๆ ก็มีน้ำเสียงไม่พอใจของลู่จิ่งเซินดังขึ้น
“พวกเขาก็มีกันหมดแล้ว ของฉันอยู่ที่ไหนล่ะ?”
จิ่งหนิงหายใจไม่ออกและจ้องมองที่เขาไม่พอใจ
“พวกเธอเป็นเด็ก คุณก็เหมือนกันเหรอ?”
ลู่จิ่งเซิน:“……”
แต่ในท้ายที่สุด จิ่งหนิงก็คีบให้เขา ลู่จิ่งเซินจึงหยิบชามออกมาอย่างพึงพอใจ
ครอบครัวทานอาหารกันอย่างมีความสุข
หลังทานอาหารเสร็จ คนรับใช้ก็มาเก็บจานและตะเกียบ
โม่ไฉ่เวยพาจิ่งหนิงและคนอื่นๆ ไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อย่อยอาหาร และในขณะที่เดินไปรอบๆ หล่อนก็ถามว่า “เธอจะไปดูการแสดงคืนนี้ไหม”
จิ่งหนิงรู้ดีว่าหล่อนหมายถึงอะไร
เธอหันหน้าเหลือบมอง ลู่จิ่งเซินจึงกล่าวอย่างเงียบ ๆ “ไม่เป็นไรหรอก ไปดูเถอะ”
จิ่งหนิงถามอานอานและจิ้งเจ๋อน้อยอีกครั้ง “ทั้งสองคนอยากไปดูการแสดงไหม?”
จิ้งเจ๋อน้อยถามกลับ “มีพี่สาวคนสวยไหม?”
จิ่งหนิงอดหัวเราะไม่ได้ “ลูกเพิ่งรู้จักาพี่สาวคนสวยเอง แด๊ดดี้กับหม่ามี๊ก็ไม่ใช่คนแบบนั้น เธอเรียนรู้อะไรแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
ลู่จิ่งเซินก้มหน้าและแสร้งทำเป็นพูดอย่างโกรธเคือง: “ไม่มีพี่สาวคนสวย มีแต่พี่ชายที่น่าเกลียด อยากไปไหม?”
จิ้งเจ๋อน้อยตกตะลึงแล้วพ่นลมออกมาเบา ๆ
“ใครจะเชื่อ”
พูดจบ ก็วิ่งหนีไปไกล
ลู่จิ่งเซิน “……”
จิ่งหนิงหัวเราะตัวโก่ง
ลู่จิ่งเซินไม่สามารถทำให้ลูกชายของเขาหวาดกลัวได้ อานอานเองก็โตแล้วเและไม่เชื่อในความกลัวของเขาช่นกัน ในท้ายที่สุด เขาทำได้เพียงเอาความตลกของเขากลับคืนมา
อานอานวิ่งเข้าไปกอดจิ่งหนิงแล้วพูดว่า “หม่ามี๊ หนูอยากไปดู”
จิ่งหนิงพยักหน้าแล้วพูดกับโม่ไฉ่เวย: “ถ้าอย่างนั้น ไปดูกันเถอะ”
โม่ไฉ่เวยจึงพยักหน้า แล้วหันหลังกลับเพื่อสั่งให้ใครสักคนออกไปซื้อตั๋ว
หล่อนยิ้มแล้วพูดว่า: “โรงละครจะไม่เริ่มจนกว่าจะสี่ทุ่ม ตอนนี้ยังเร็วไป ไม่ต้องกังวล พวกเราให้คนไปจองไว้ก่อนเถอะ พอใกล้ถึงเวลา เราค่อยไป”
จิ่งหนิงพยักหน้าตอบรับ
เวลาสามทุ่มครึ่ง
ครอบครัวที่ทานอาหารเย็นเสร็จเร็วก็เล่นกันสักพัก เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาแล้ว พวกเขาจึงค่อย ๆ ขับรถออกไป และมุ่งหน้าไปที่โรงละคร
ที่นี่อากาศร้อนในตอนกลางวัน แต่ตอนกลางคืนนั้นหนาวมาก
จิ่งหนิงสวมเสื้อโค้ทขนสัตว์ เจ้าตัวเล็กสองคนสวมเสื้อโค้ทหนาเพิ่ม ลู่จิ่งเซินก็เพิ่มเสื้อกันลมสีดำ มันดูหนาวขึ้นเล็กน้อยในตอนกลางคืนและดูน่าดึงดูดเป็นพิเศษ
คุณอาเชวไม่จำเป็นต้องไปที่ห้องปฏิบัติการเพื่อปกป้องในเวลากลางคืน ดังนั้นเขาจึงมาด้วย
เมื่อทุกคนมาถึงโรงละคร ก็ถึงเวลาพอดี
จิ่งหนิงขอให้ ลู่จิ่งเซินซื้อขนมสำหรับเด็ก ๆ ทั้งสอง ขณะทานขนมในมือ เขาก็พบที่ของตนและนั่งลง
โม่ไฉ่เวยให้ตำแหน่งที่ดีที่สุดแก่พวกเขา โดยอยู่ตรงกลางแถวที่สามด้านหน้า
ไม่ใกล้เกินไป และไม่ไกลเกินไปเมื่อมองจากตรงนี้ไปที่บนเวที ก็จะสามารถเห็นสีหน้าของคนข้างบนนั้นได้
อานอานดูตื่นเต้นมาก ดึงแขนเสื้อของจิ่งหนิงแล้วถามเสียงเบา ๆ : “หม่ามี๊ อีกเดี๋ยวหนูจะได้เจอพี่นางฟ้าใช่ไหม?”
จิ่งหนิงไม่อยากทำลายความไร้เดียงสาในหัวใจของเด็ก ดังนั้นเธอจึงยิ้มและพยักหน้า
“ใช่ หลังจากนี้หนูจะได้เห็นพี่นางฟ้าจริงๆ แล้ว ต้องตั้งใจดูให้ดี รู้ไหม?”
“ค่ะ หนูทราบแล้ว”
อานอานนั่งตัวตรง รอคอยให้นางฟ้าของหล่อนมาปรากฏตัวอย่างสุดใจ
จิ่งหนิงและลู่จิ่งซินนั่งเคียงข้างกัน จิ้งเจ๋อน้อยอยู่อีกด้านหนึ่งและถัดไปเป็นโม่ไฉ่เวยและคุณอาเชว
บริเวณโดยรอบไม่มีเสียงดัง แม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงที่ผู้ชมเข้ามาในสถานที่ ทุกคนก็ลดเสียงลง มีเพียงสียงพูดเล็กๆน้อยๆ เท่านั้น ไม่มีใครส่งเสียงดังเลย
ไม่นานผู้ชมทั้งหมดก็นั่งลง
ไฟหรี่ลง จิ่งหนิงที่อยู่ตรงนั้นมองที่เวทีอย่างจริงจัง
เมื่อลำแสงส่องสว่างบนเวทีที่มืดมิด เสียงรอบข้างก็เงียบลง ค่อยๆ เงียบลงเรื่อยๆ
เสียงเพลงที่ไพเราะค่อย ๆ ดังขึ้นอย่างช้า ๆ ราวกับมีผู้หญิงร้องเพลงเบา ๆ จากระยะไกล มาพร้อมกับเสียงเปียโนหวาน ๆ ที่มีรสนิยมพิเศษ
ทันใดนั้น กลุ่มนักเต้นในชุดขาวก็ปรากฏตัวขึ้นจากหลังม่านทีละคน
ริมฝีปากของจิ่งหนิงยกขึ้น
ตอนแรกคิดว่ามันเป็นแค่การแสดงธรรมดาๆ แต่ตอนนี้มันดูจะน่าสนใจขึ้นมานิดหน่อย