โม่ไฉ่เวยกับเชวซู่นั่งอยู่ในรถคันข้างหน้านั้น ส่วนจิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินคือพาเด็กสองคนนั่งรถคันข้างหลังนี้
เมื่อกี้เธอเห็นรถคันข้างหน้านั้นขับผ่านไปชัดๆ นั่นเป็นรถของโม่ไฉ่เวยกับเชวซู่
ดังนั้นคันที่จอดอยู่ข้างหน้านั้นน่าจะไม่ใช่ของพวกเขา
แล้วนั่นเป็นใครเหรอ
ในใจเธอกำลังสงสัยอยู่ เพราะว่ารถสองคันนี้นอกจากป้ายทะเบียนรถแล้ว อย่างอื่นเหมือนกันเป๊ะเลย
ดังนั้นมีช่วงหนึ่งที่เธอเห็นเป็นภาพลวงตา ยังนึกว่าเป็นโม่ไฉ่เวยพวกเขาที่จอดอยู่ตรงนั้น
จนกระทั่งรถขับผ่านข้างๆ รถคันนั้น อานอานอยู่ๆ ก็ตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นตกใจและดีใจ
“คือคุณลุง! คือคุณลุงหน้าตาดีคนนั้น!”
จิ่งหนิงตะลึง หันกลับไปมอง เห็นแต่เป็นคนที่พวกเขาเจอในโรงละครคนนั้นจริงๆ
จิ่งหนิงอดรู้สึกตื่นตะลึงไม่ไว้ เหมือนอีกฝ่ายก็ได้ยินเสียงตะโกนของอานอาน หันหลังกลับมา
แต่เนื่องจากจิ่งหนิงพวกเขานั่งอยู่ในรถ กระจกรถได้ติดฟิล์มดำไว้แล้ว ดังนั้นมีแค่ข้างในที่มองเห็นข้างนอกได้ แต่ข้างนอกกลับมองไม่เห็นข้างใน เพราะฉะนั้นเขาจึงเห็นไม่ชัดคนที่ส่งเสียงเมื่อสักครู่นี้เป็นใคร
อานอานอดตะโกนขึ้นมาไม่ไว้ “จอดรถ! จอดรถ!”
คนขับรถหันหน้าดูไปที่ลู่จิ่งเซิน เห็นเขาพยักหน้าแล้ว จึงจอดรถไว้ข้างทาง
พอรถจอดปุ๊บ อานอานก็รีบจะไปเปิดประตูรถ แต่กลับถูกจิ่งหนิงห้ามไว้แล้ว
“เฮ้ย รอแป๊ปหนึ่ง”
เธอพูดและจับอานอานไว้ตักเตือนว่า: “ห้ามทะลึ่งตึงตังมากเกินไป เธอเป็นเด็ก ต้องตามอยู่ข้างหลังผู้ใหญ่ เข้าใจไหม”
อานอานพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ทีนี้จิ่งหนิงจึงลงรถไปอย่างสบายใจ พาเธอเดินไปตรงนั้นเรื่อยๆ
จริงๆ แล้วจิ่งหนิงก็ไม่ผิดที่คิดมาก ฐานะของเธอกับลู่จิ่งเซินวางไว้ตรงนั้น รอบข้างมีคนที่จิตใจไม่บริสุทธิ์มาเข้าใกล้มากเกินไปแล้ว อานอานเป็นลูกของพวกเขา บางครั้งก็จำเป็นต้องระวังหน่อย
ไม่อย่างนั้นถ้าตอนที่คู่อริหาเข้ามายังใสซื่อทะลึ่งตึงตังเช่นนี้ ก็จะหลงกลคนอื่นเขาได้ง่ายมาก
ลู่จิ่งเซินก็ลงจากรถด้วยเช่นกัน คนทั้งครอบครัวเดินไปข้างหน้ารถคันนั้น
ทันใดนั้น เหมือนอีกฝ่ายก็จำจิ่งหนิงกับอานอานได้แล้ว ยืนตัวตรงและยิ้มว่า: “เป็นพวกคุณนั่นเอง เมื่อกี้ผมยังคิดอยู่เลยว่าทำไมเสียงนี้มันคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหน ไม่คิดเลยว่าจะถูกชะตาขนาดนี้ กลับมาเจอที่นี่อีกแล้ว”
เมื่อกี้อานอานได้รับการตักเตือนของจิ่งหนิงแล้ว ขณะนี้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะเลย
ตัวอันน้อยๆ ของเธอยืนตรง ท่าทางดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อยอย่างเข้าทางและพยักหน้า
“ฉันก็รู้สึกถูกชะตามากเช่นกัน คุณลุง ทำไมคุณลุงอยู่ที่นี่คนเดียว รถของคุณลุงเสียเหรอ”
อีกฝ่ายหันหลังดูรถของตัวเองแวบหนึ่ง จากนั้นยิ้มเล่าอย่างหมดหนทางแล้วเล็กน้อย: “ใช่แล้ว ไม่รู้เพราะอะไร ขับมาครึ่งทางก็ดับแล้ว เมื่อกี้ผมโทรแจ้งแล้ว คนของบริษัทประกันภัยน่าจะมาดูเร็วๆ นี้”
ลู่จิ่งเซินมองเขา แอบสังเกตเขาเล็กน้อย
เห็นแต่ผู้ชายตรงหน้าเสื้อผ้าเรียบร้อย บุคลิกลักษณะอ่อนโยนดั่งหยก ระหว่างคิ้วตาอันอ่อนๆ มีรอยยิ้ม มีเสน่ห์อย่างคุณชายสมัยโบราณอย่างหนึ่ง ราวกับคนที่เดินออกมาจากภาพวาดอย่างนั้น
นี่เป็นคนที่สามารถให้คนมีความประทับใจที่ดีมากตั้งแต่เห็นครั้งแรกคนหนึ่ง
ลู่จิ่งเซินคิดแบบนี้อยู่ในใจ
ความคิดของจิ่งหนิงก็ไม่ต่างอะไรมากไปจากเขา เธอดูรถของอีกฝ่ายแวบหนึ่ง พูดอ่อนๆ ว่า: “ตอนนี้เวลาดึกขนาดนี้แล้ว รอคนของบริษัทประกันภัยมาถึงน่าจะต้องรอนานมากมั้ง”
อีกฝ่ายกางมือออกไป ท่าทางไม่รู้ต้องทำยังไง
“ทำอะไรไม่ได้ ผมมาท่องเที่ยวที่นี่ รถคือที่เช่าเขามา จึงไม่ค่อยมีเพื่อนอะไร เมื่อกี้ผมติดต่อบริษัทเช่าแล้ว ให้ผมโทรหาบริษัทประกันภัยเลย ผมก็ได้แต่ทำตามอย่างเดียว”
จิ่งหนิงพยักหน้า
“แล้วพวกเขาได้บอกไหมว่าจะมาเมื่อไหร่”
“ไม่ บอกแค่ให้ผมรอ พวกเขาจะพยายามมาให้เร็วที่สุด”
เมื่ออีกฝ่ายพูดอยู่ ระหว่างคิ้วก็ขมวดเล็กน้อย ดูออกได้ว่าก็รู้สึกคำพูดนี้เชื่อไม่ได้เหมือนกัน
ลู่จิ่งเซินพูดเสียงต่ำว่า: “คุณเป็นคนประเทศจีนเหรอ”
อีกฝ่ายตาสว่างขึ้นมา
“ใช่แล้ว คุณรู้ได้ยังไง”
“เพราะว่าพวกเราก็เป็นเหมือนกัน”
ก่อนหน้านี้พวกเขาใช้ภาษาอังกฤษคุยกัน คราวนี้ลู่จิ่งเซินจู่ๆ เปลี่ยนเป็นภาษาจีน อีกฝ่ายก็ยิ้มแย้มขึ้นมาอย่างดีใจทันที
“แบบนี้นี่เอง ดูเหมือนว่าเรามีพรหมลิขิตมากเลยจริงๆ ผมนึกมาตลอดเลยว่าที่นี่ไม่ค่อยมีคนจีน”
ลู่จิ่งเซินพูดอ่อนๆ ว่า: “คุณรออยู่ที่นี่ไม่รู้ว่าต้องรอนานแค่ไหน ถ้าไม่รังเกียจก็ขึ้นรถมา พวกเราส่งคุณ”
อีกฝ่ายลังเลอยู่
“แบบนี้…จะรบกวนพวกคุณมากไปหรือเปล่า อีกอย่าง รถของผมนี่”
“ความปลอดภัยที่นี่ดีมาก ถนนเส้นนี้มีกล้องวงจรปิดด้วย รถของคุณไม่มีปัญหาแน่นอน ขึ้นรถเถอะ”
หลังจากลู่จิ่งเซินพูดจบ ก็อุ้มจิ้งเจ๋อน้อยหันหลังขึ้นรถไปแล้ว
จิ่งหนิงเห็นแล้วก็ยิ้มด้วยว่า: “ก่อนหน้านี้ยังต้องขอบคุณที่คุณช่วยลูกสาวฉันเอาไว้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องเกรงใจแล้ว ขึ้นรถให้พวกเราไปส่งคุณเถอะ”
อีกฝ่ายเห็นสถานการณ์แบบนี้ จึงไม่ได้ว่าอะไรและพยักหน้าตกลงแล้ว
หลังจากขึ้นรถ อีกฝ่ายบอกที่อยู่ จิ่งหนิงกลับได้ยินว่าเป็นทางเดียวกับพวกเขา ก็ยิ่งอดรู้สึกความอัศจรรย์ของพรหมลิขิตไม่ไว้
“คุณลุง หนูชื่ออานอาน ชื่อจริงลู่จิ่นอาน คุณลุงชื่ออะไรเหรอ”
หลังจากทุกคนนั่งลงแล้ว อานอานก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นพูดคุยกับอีกฝ่ายขึ้นมา
ผู้ชายยิ้มกล่าว: “บังเอิญมากจริงๆ ในชื่อของผมก็มีคำว่าจิ่นเช่นกัน ผมชื่อหนานจิ่น จิ่นของหนูเป็นจิ่นตัวไหนเหรอ”
“จิ่นของหนูเป็นจิ่นที่แปลว่าผ้าตาด ของคุณลุงก็เหมือนกันเหรอ”
“ไม่ ของผมเป็นจิ่นของจิ่นหยู”
เมื่อเขาพูดออกมาว่าจิ่นของจิ่นหยู ในใจของจิ่งหนิงดัง “กึก” เสียงหนึ่ง
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆ ก็นึกถึงหนานกงจิ่น ผู้ลึกลับของตระกูลหนานคนนั้น
หนานจิ่น หนานกงจิ่น…
บนโลกนี้จะมีเรื่องที่บังเอิญขนาดนี้เลยเหรอ
เธออดหันหลังมองไปที่ผู้ชายคนนั้นไม่ได้
เนื่องจากว่ารถเป็นห้าที่นั่ง ถ้าเพิ่มอีกหนึ่งคนจะนั่งไม่พอ
ดังนั้น ตอนนี้เป็นคนขับขับรถหนึ่งคน ลู่จิ่งเซินอุ้มจิ้งเจ๋อน้อยอยู่ นั่งข้างหลังกับอานอานและจิ่งหนิงด้วยกัน
ส่วนหนานจิ่นคือนั่งอยู่ตรงข้างคนขับข้างหน้า
จากมุมของเธอ เห็นได้แต่หน้าด้านข้างของผู้ชาย ยังคงเป็นรอยยิ้มอันอ่อนโยนดั่งสายลมนั้น ดูแล้วก็เหมือนเห็นฤดูใบไม้ผลิแสนอบอุ่นและหิมะขาวอย่างนั้นทำให้คนรู้สึกดี
เธออดปลอบตัวเองในใจไม่ไว้
อาจจะเป็นตัวเองที่คิดมากเกินไปแล้ว บนโลกใบนี้ ไม่รู้ว่ามีคนเท่าไหร่ที่นามสกุลเป็นหนานแถมในชื่อยังมีคำว่าจิ่น
เป็นไปได้ยังไงที่เจอคนหนึ่งก็เป็นหนานกงจิ่นแล้ว
อีกอย่าง เขาเองก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ เขาชื่อหนานจิ่น ไม่ได้ชื่อหนานกงจิ่น
ถึงแม้ต่างกันแค่คำเดียวเอง แต่ความหมายในนั้นพูดได้ว่าคือแตกต่างกันคนละฟ้าคนละดินเลย
พอคิดแบบนี้ จิ่งหนิงถึงพอสบายใจลงมาหน่อย
อันที่จริงจะโทษเธอขี้สงสัยก็ไม่ได้ เพราะยังไงก่อนหน้านี้จิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินล้วนไม่เคยเจอตัวจริงของหนานกงจิ่น
ทุกอย่างล้วนฟังมาจากคำบอกเล่าของเฉียวฉีกับกู้ซือเฉียนเท่านั้นเอง
พวกเขารู้แค่ว่าหนานกงจิ่นคนนี้เจ้าเล่ห์มาก ฉลาดเฉียบแหลมไม่น้อย และยังดำเนินกิจการตระกูลหนานมาหลายปีด้วย อายุน้อยๆ ก็สามารถเล่นหนานกงยวู่ที่ชาญฉลาดและรอบคอบในฝ่ามือได้ เป็นบุคคลที่น่าหวาดกลัวมาก