“หนิงหนิง ไม่ต้องกลัว ผมอยู่ตรงนี้”
เขายื่นมือกอดเธอไว้ ตบหลังของเธอเบาๆ ปลอบโยนด้วยเสียงอ่อนโยน
“บอกผมมา เกิดอะไรขึ้นแล้ว”
จิ่งหนิงไม่ได้พูดอะไร แค่กอดเอวของเขาไว้แน่นๆ เอาหน้าซุกอยู่ในแผ่นอกของเขา
เนื่องจากเวลานี้ยังเช้าอยู่ ทั้งโม่ไฉ่เวยกับเชวซู่ยังไม่ตื่นเลย
ส่วนเด็กน้อยสองคนก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงอย่างสบาย
หลังจากที่ลู่จิ่งเซินรู้สึกได้ว่าความถี่ในการสั่นเทาของคนในอ้อมแขนค่อยๆ ลดลงแล้ว เขาจึงพยุงไหล่ของเธอไว้ ผลักเธอออกจากตัวเองเล็กน้อย แล้วมองลงไปที่ใบหน้าของเธออย่างตั้งใจ
กลับเห็นผู้หญิงตรงหน้าผมยุ่งและตาแดงเล็กน้อย สีหน้าก็ขาวซีดผิดปกติ
เขาอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ไว้
พอก้มหน้าลงอีกครั้ง จึงเห็นเธอไม่ได้สวมรองเท้าและกำลังยืนอยู่บนพื้นด้วยเท้าเปล่า เท้าเล็กๆ อันขาวอย่างหิมะนั้นกลับยังขาวกว่าพื้นอีก
สีหน้าอดไม่ได้ที่จะเคร่งขึ้นมา
“ทำไมรองเท้าก็ไม่ใส่ ไม่กลัวเป็นหวัดเหรอ”
ขณะที่เขาพูดอยู่ เขาอุ้มเธอขึ้นมาโดยที่ไม่รอให้อธิบาย
จิ่งหนิงก็ไม่ได้ดิ้น ซุกอยู่ในอ้อมแขนของเขาและปล่อยให้เขาอุ้มไว้อย่างนั้น
สองคนเข้าไปในห้องนอน ลู่จิ่งเซินวางเธอลงบนเตียง ไปเอาผ้าเช็ดตัวมาเช็ดเท้าของเธออย่างละเอียดก่อน จากนั้นถึงนั่งยองๆ ต่อหน้าเธอ มองขึ้นไปที่เธอจากล่างขึ้นบนแล้วถามว่า: “บอกผมมา เกิดอะไรขึ้นแล้ว”
ขณะนี้ จิ่งหนิงกลับมามีสติแล้ว
ถึงแม้สีหน้าของเธอดูยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็ดีกว่าก่อนหน้านี้มากแล้ว
เธอส่ายหัว
“ฉันไม่เป็นอะไร ก็แค่…ฝันถึงอะไรบางอย่าง”
ลู่จิ่งเซินเงยหน้าขึ้นมา เช็ดเม็ดเหงื่ออันละเอียดและแน่นที่ออกตรงหน้าผากให้เธอ
“ฝันถึงอะไรเหรอ”
“ก็แค่พวก…” จิ่งหนิงขมวดคิ้ว
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฝันที่ยังชัดแจ้งมากในเมื่อกี้ กลับกลายเป็นเลือนรางในเวลาเพียงไม่นาน
ก็เหมือนกับว่าเธอรู้ทั้งรู้ว่าเมื่อคืนนี้ตัวเองฝันถึงอะไร แต่พอตอนนี้เธออยากจะพูด แต่กลับพูดอะไรไม่ออกเลย
ลู่จิ่งเซินเห็นเธอขมวดคิ้วและคับอกคับใจ ก็พอเดาสถานการณ์ของเธอได้แล้ว
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า: “ถ้าคิดไม่ออกก็ไม่เป็นไร เพราะมันคือความฝันมันก็แค่เรื่องเท็จ ไม่ว่าน่ากลัวแค่ไหน ตอนนี้เธอตื่นมาแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็หายไปหมดแล้ว ดังนั้นไม่ต้องคิดมาก เข้าใจไหม”
จิ่งหนิงมองไปที่เขา เนิ่นนานถึงจะพยักหน้า
“หิวยัง อยากกินอะไรไหม”
จิ่งหนิงส่ายหัวและเม้มปาก “ฉันอยากดื่มน้ำ”
“ได้ งั้นคุณรอแป๊ปหนึ่ง เดี๋ยวผมกลับมา”
ลู่จิ่งเซินพูดจบก็ลุกขึ้นมา
จิ่งหนิงกลับตื่นเต้นและจับมือของเขาไว้แน่นๆ ทันที
พอหันหลังกลับ ก็เห็นสายตาตื่นเต้นของผู้หญิง สายตาที่มองดูเขา ราวกับเห็นฟางช่วยชีวิตเพียงเส้นเดียวของตนเองอย่างนั้น
ลู่จิ่งเซินใจอ่อนลงมา
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าเมื่อกี้จิ่งหนิงฝันถึงอะไรจนทำให้เธอตกใจเช่นนี้
แต่เขากลับเข้าใจดีว่านี่คือความผูกพันที่เธอมีต่อตัวเองซึ่งลึกซึ้งกว่าใครๆ
ในฐานะที่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ถูกผู้หญิงที่ตัวเองรักมากพึ่งพาเช่นนี้ เขามีความสุขและโชคดีอย่างไม่ต้องสงสัย
พอคิดแบบนี้แล้วลู่จิ่งเซินก็ยิ้มออกมา จู่ๆ ก้มตัวลงและอุ้มเธอขึ้นมาด้วยท่าเจ้าหญิง
จิ่งหนิงอึ้ง ถามโดยสัญชาตญาณว่า: “คุณจะทำอะไร”
“ก็คุณกลัวไม่ใช่เหรอ”
ลู่จิ่งเซินยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ไม่อยากให้ผมไปแม้แต่นาทีเดียว? งั้นผมอุ้มคุณไปดื่มน้ำด้วยกันเลยดีกว่า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของจิ่งหนิงก็แดงขึ้นมาทันที
กอดคอของเขาไว้และดิ้นรนเล็กน้อย
“คุณอย่าทำแบบนี้ ปล่อยฉันลงไป”
“ไม่ปล่อย”
ลู่จิ่งเซินยิ้มว่า: “ปล่อยคุณลงไป แล้วถ้าคุณกลัวอีกจะทำยังไงล่ะ”
“ฉันกลัวที่ไหน…” จิ่งหนิงรู้สึกเขินอายทันที แต่พอนึกถึงเมื่อกี้ที่ตัวเองตื่นมาในห้องนอนมืดมนตัวคนเดียว ความหวาดกลัวที่ไร้คำพูดนั้นทำให้เธอปิดปากทันที
ลู่จิ่งเซินเห็นหน้าเธอแล้วก็รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
ดวงตาของเขาลึกซึ้ง เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ อุ้มเธอเดินลงไปชั้นล่าง
เมื่อมาถึงห้องนั่งเล่นชั้นล่าง ลู่จิ่งเซินถึงวางเธอลงมาและนั่งบนโซฟา จากนั้นเขาจึงไปเทน้ำอุ่นแก้วหนึ่งมาและหลังจากเห็นเธอดื่มแล้วถึงถามว่า: “ตอนนี้รู้สึกเป็นยังไงบ้าง”
จิ่งหนิงเลียปาก “ดีขึ้นเยอะแล้ว ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว”
“แล้วยังอยากนอนต่อไหม”
จิ่งหนิงดูแสงแดดข้างนอกและส่ายหัว “ไม่นอนแล้ว”
“งั้นก็กลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
ลู่จิ่งเซินอุ้มเธอขึ้นมาและเดินไปที่ห้องนอนขณะที่พูดอยู่
กลับมาถึงห้องนอน จิ่งหนิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ขณะนี้ความรู้สึกหวาดกลัวในใจเธอนั้นหายหมดแล้ว
ลู่จิ่งเซินจับมือเธอเดินออกมาจากห้องนอน ตรงนี้โม่ไฉ่เวยกับเชวซู่ก็เดินออกมาจากห้องนอนพอดี
เมื่อเห็นพวกเขาโม่ไฉ่เวยยิ้มพูดว่า: “เมื่อคืนฝนตกเธอสองคนได้ยินไหม”
จิ่งหนิงตะลึงและส่ายหัว “ไม่ได้ยิน”
โม่ไฉ่เวยยิ้มพูดว่า: “ที่นี่นานๆ กว่าจะฝนตกที ในปีหนึ่งเวลาส่วนใหญ่จะแห้งแล้ง พอพวกเธอมาก็ได้เจอแล้ว เสียดายที่เป็นกลางคืน พวกเธอไม่เห็น ไม่อย่างนั้นต้องดีใจไปสักพักหนึ่งแน่เลย”
ที่นี่อยู่ในทะเลทราย ฝนตกน้อยเป็นเรื่องปกติ
จิ่งหนิงก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
เธอไปห้องนอนข้างๆ ปลุกอานอานตื่น จากนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าให้จิ้งเจ๋อน้อยที่เพิ่งตื่นมา พาเขาสองคนล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้วลงไปชั้นล่างทานอาหารเช้าด้วยกัน
คนใช้เป็นคนทำอาหารเช้า โจ๊กและผักเครื่องเคียงไม่ใช่อาหารของที่นี่ แต่เป็นอาหารเช้าประเทศจีนที่ถูกปากพวกจิ่งหนิงเขามากกว่า
ทุกคนทานข้าวไปด้วย พูดคุยกันไปด้วย
โม่ไฉ่เวยพูดเรื่องการแสดงของเมื่อคืนขึ้นมา จู่ๆ ถามว่า: “ใช่แล้ว เมื่อวานพวกเธอบอกว่าเจอคนรู้จัก คือใครเหรอ คนนั้นเขาเจอปัญหาอะไรเหรอ”
จิ่งหนิงส่ายหัว
“จริงๆ แล้วไม่ถือว่าเป็นคนรู้จัก คือว่าเมื่อคืนตอนที่อยู่ในโรงหนังอานอานเกือบล้มลง คนนั้นเขาช่วยอานอานไว้ หลังจากนั้นในระหว่างทางที่เรากลับมาก็เห็นรถของเขาเสียและจอดอยู่ข้างถนน จึงจอดรถลงมาและช่วยส่งเขากลับไป”
โม่ไฉ่เวยพยักหน้า “แบบนี้นี่เอง ฉันก็นึกว่าเป็นเพื่อนที่ทำธุรกิจของจิ่งเซิน”
เนื่องจากจิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดสำหรับเรื่องที่คาดเดาประวัติของหนานจิ่น ดังนั้นจึงไม่สะดวกบอกให้โม่ไฉ่เวย
แต่พอเธอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จิ่งหนิงจู่ๆ ก็คิดวิธีหนึ่งขึ้นมาได้
ดังนั้น หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อย เธอก็โทรถามเฉียวฉีว่าเธอมีรูปของหนานกงจิ่นหรือไม่
พอเฉียวฉีได้ยินเธอถามแบบนี้ยังรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย
“เธอเอารูปของเขาทำไม”
จิ่งหนิงจึงเล่าเรื่องเมื่อคืนให้กับเธอ
“ไม่ใช่ฉันคิดมาก แต่คือเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับพวกเธอจริงๆ ฉันเลยต้องระมัดระวังหน่อย ถ้าหากว่าคนนั้นเป็นหนานกงจิ่นจริงๆ งั้นเขาก็ต้องรู้จักเราแน่นอน รู้จักเราแต่ยังจงใจทำเป็นไม่รู้จักและเข้าใกล้เรา มันต้องมีวัตถุประสงค์อื่นแน่นอน ดังนั้นเราทำให้แน่ใจเผื่อไว้ดีกว่า”
เฉียวฉีคิดครู่หนึ่งและบอกว่า: “ฉันไม่มีรูปของเขา ข้างนอกไม่ค่อยมีข้อมูลเกี่ยวกับเขาเลย และฉันก็แค่เคยเห็นกับตา อธิบายไม่ค่อยถูก เอาอย่างนี้ดีกว่า เธอรอสักครู่ ฉันไปหาคนวาดรูป เดี๋ยวให้เธอตอนดลางคืน”