ไม่มีใครรู้ อันที่จริงในใจของเขายังแอบมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง
นั่นก็คือ ประวัติของเฉียนเฉียนเป็นความลับ
ความลับที่บอกไม่ได้บนโลกใบนี้
ถึงอย่างไร แม้เขาจะเชื่อว่าเฉียนเฉียนมาจากอีกดวงดาวหนึ่งจริง ไม่ใช่ปีศาจที่เขาว่ากัน แต่คนอื่นก็ไม่เชื่อ
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะด้วยจุดประสงค์ไหน อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ความลับของเฉียนเฉียนถูกแฉออกไป อย่างนั้นสิ่งที่ต้อนรับเธอก็มีแต่ตายอย่างเดียว
เขาจะไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับเธอเด็ดขาด
เพราะฉะนั้น บนโลกนี้นอกจากเขาแล้ว ทุกคนที่รู้ความลับนี้ต้องตาย
รวมทั้งน้องสาวของพระราชินีที่เฉียนเฉียนเรียกเธอว่าเพื่อนคนนั้น
สำหรับจุดนี้ เขารู้ดีว่าเฉียนเฉียนไม่มีวันเข้าใจ ดังนั้นเขาก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเช่นกัน
แต่ตอนนี้พอนึกขึ้นมาแล้ว ถ้าตอนนั้นเขาพูดถึงเรื่องนี้ให้เช้าหน่อย จะสามารถเปลี่ยนแปลงผลนั้นสักนิดเดียวไหม
แต่บนโลกใบนี้จะไปมีคำว่าถ้าสักที่ไหน
อย่างเช่นตอนนั้นที่เขาตัดสินใจใช้เฉียนเฉียนไปปลอมตัวเป็นตัวจริงและแย่งอำนาจในการเมือง
เขาไม่เคยบอกแผนนี้ให้กับใคร รวมทั้งเฉียนเฉียนที่เข้าวังไปแทนเพื่อเขา
จริงๆ แล้วตอนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไรมาก แค่จิตใต้สำนึกรู้สึกว่าหลังจากรอเขาแย่งอำนาจในการเมืองมาได้แล้ว เฉียนเฉียนยังคงเป็นคนของเขาเหมือนเดิมแน่นอน
เขาจะไม่ทำร้ายเธอ เธอจะยังคงอาศัยอยู่ในบ้านรองของเธอ รอเธอกลับมาจากการเข้าเฝ้ากษัตริย์ในท้องพระโรงทุกวัน ชมดอก ทำอาหาร พูดคุยความในใจกับเธอด้วยกัน
ข้างตัวของเขาสามารถมีแค่ผู้หญิงเพียงเธอคนเดียว หลังจากนั้นจะไม่มีการขัดขวางใครอีก และจะไม่มีคู่อริอีกต่อไป ทุกอย่างของข้างนอกสงบลง เขาสองคนก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขด้วยกัน
แต่คนเราน้อ เป็นไปไม่ได้ที่จะคิดตามความคิดของเขาเสมอ และเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องบนโลกใบนี้จะเป็นไปตามอย่างที่ตัวเองคิดทุกเรื่อง
เพราะฉะนั้น เมื่อความจริงทุกอย่างถูกเปิดเผยออกมาตอนสุดท้าย สายตาที่เฉียนเฉียนมองเขาถึงผิดหวังและเสียใจขนาดนั้นมั้ง
เธอเคยบอกว่าเขาคือความผูกพันเดียวของเธอบนโลกใบนี้
ก็เพราะว่าเชื่อใจเขา ไม่อยากให้เขาได้รับบาดเจ็บ เพราะฉะนั้นเธอยอมละทิ้งความเย่อหยิ่งของตัวเองเข้าวังแทนเขา
แต่แล้วผลเป็นยังไงล่ะ
แต่สิ่งที่ตามมากลับเป็นการหลอกลวง
แม้จะมีเหตุผลเป็นพันเป็นหมื่น เขาทำลายประเทศชายแดนเป็นเรื่องจริง เขาสังหารหมู่ทั้งครอบครัวราชวงศ์เป็นเรื่องจริง เธอไม่สามารถให้อภัยได้ และไม่สามารถเผชิญหน้าได้ด้วย
ดังนั้น ตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและล้มลงอยู่ตรงนั้นตอนสุดท้าย เธอจึงไม่ได้ฆ่าเขา แต่กลับนำชิปของตัวเองใส่เข้าไปในร่างกายของเขามั้ง
เธอบอกว่า ฉันไม่ให้คุณตาย ฉันจะให้คุณมีชีวิตอยู่ต่อชาติต่อชาติ เพื่อไปชำระบาปกรรมของคุณ
แต่ใครจะรู้ จริงๆ แล้วสำหรับเขานั้นการมีชีวิตอยู่ทรมานยิ่งกว่าการตายอีก
ทุกครั้งที่ดึกสงัดเงียบสงบ เขานอนอยู่ตรงนั้นตัวคนเดียวและย้อนความทรงจำถึงหลายสิ่งอย่างในอดีต รู้สึกได้แต่หัวใจดวงหนึ่งเหมือนถูกมีดตัดออกมาเป็นรูใหญ่ ลมหนาวพัดเข้าไปข้างใน ทำให้คนหนาวยันปลายหัวใจ
เฉียนเฉียน คุณสบายดีไหม
คุณดูสิ ผมมีชีวิตอยู่มาหลายปีมากแล้ว บาปกรรมที่ผมควรชำระก็ชำระหมดตั้งนานแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้คุณยอมเจอผมอีกครั้งหนึ่งหรือยัง
แค่คุณยอมเจอผม แม้จะให้ผมพลิกโลกนี้ให้คว่ำอีกครั้งก็แล้วไง
เขายื่นมือออกไป นิ้วมือสัมผัสลมเย็นๆ ในกลางคืน ความรู้สึกเหมือนถูกหญิงสาวจูบมากเลย เหมือนเสียงหัวเราะพูดคุยอันไพเราะของเธอดังมากข้างหูอีกครั้งหนึ่งแล้ว
“ท่านใหญ่ เข้าฤดูหนาวแล้ว ท่านดูสิ หิมะตกแล้ว”
หนานกงจิ่นโค้งมุมปากจึ้นมาอย่างพอใจ
วันต่อมา เมื่อจิ่งหนิงตื่นขึ้นมายังอยู่ในผ้าห่มอยู่ก็ทนจามไม่ไว้แล้ว
เธอขยี้จมูก ห่มผ้าห่มไว้แน่นๆ ถามว่า: “ลู่จิ่งเซิน ทำไมวันนี้หนาวขนาดนี้ ฝนตกเหรอ”
ขณะนี้ลู่จิ่งเซินกำลังสวมเสื้อคลุมนอนสีเทาและยืนอยู่ข้างหน้าหน้าต่างอยู่
ผ้าม่านถูกเขาดึงออกมาครึ่งหนึ่ง แสงข้างนอกส่องเข้ามา แต่แตกต่างจากแดดแผดจ้าที่จิ่งหนิงคุ้นเคยเมื่อสอง สามวันก่อน ข้างนอกกลับเหมือนหิมะตกแล้ว มีเกล็ดหิมะปลิวลงมาตามสายลมเป็นเกล็ดเล็กๆ
เธอแค่เหลือบมองแวบเดียวก็อึ้งมากแล้ว
ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงทันทีเลย ปีนไปทางหน้าต่าง
“หิมะตกแล้ว? ทำไมถึงเป็นแบบนี้”
ลู่จิ่งเซินเอาผ้าม่านลง เดินมาหยิบเสื้อกันหนาวของเธอคลุมไว้บนไหล่ของเธอ
“ใช่สิ ผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าทะเลทรายก็ฝนตกเป็นด้วย”
จิ่งหนิงขมวดคิ้ว
“ตอนนี้ในประเทศก็เข้าหน้าหนาวแล้ว แต่ฉันก็นึกว่าที่นี่น่าจะร้อนจัดตลอดทั้งปี”
“ก็ไม่แน่”
ลู่จิ่งเซินพูดอย่างเฉยเมย: “ก่อนหน้าผมก็เคยได้ยินมาว่าที่นี่ก็จะมีหนึ่งถึงสองเดือนเป็นฤดูหนาว ตอนนั้นอุณหภูมิจะเปลี่ยนเป็นหนาวขึ้นอย่างกะทันหัน น้ำฝนก็จะค่อยๆ เยอะขึ้นมา แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นหิมะตก”
จิ่งหนิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ลงจากเตียง เดินไปข้างหน้าต่างเปิดผ้าม่านออก
แห็นแต่หิมะข้างนอกตกไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ถ้าไปอยู่ที่เมืองหลวงในประเทศ แทบสามารถมองข้ามไม่ถือว่าเป็นเรื่องอะไรเลย
แต่อาจจะเป็นเพราะที่นี่เห็นยากมากจริงๆ ดังนั้นถึงจะเป็นหิมะที่เล็กเช่นนี้ ก็มีคนไม่น้อยที่เงยหน้าขึ้นมาดูจากด้านล่างเหมือนกับดูสิ่งมหัศจรรย์อยู่ ยิ่งกว่านั้นคือยังมีคนโห่ร้องขึ้นมาเบาๆ
พวกเขาล้วนเป็นคนใช้ในปราสาท เติบโตที่นี่ตั้งแต่เด็ก สงสัยก็คงไม่เคยเห็นปรากฏการณ์นี้มาก่อนจริงๆ
จิ่งหนิงอดหัวเราะไม่ไว้ เธอหันหลังบอกลู่จิ่งเซินว่า: “เราลงไปดูกัน”
“ได้”
เนื่องจากอากาศหนาวขึ้น ทั้งสองคนใส่เสื้อผ้าที่หนามาก
ลู่จิ่งเซินหยิบเสื้อคลุมและผ้าพันคอ และยังห่อจิ่งหนิงไว้อย่างแน่น ถ้าไม่ใช่ว่าคิดจะไม่ออกไปนอกบ้าน สงสัยคงต้องใส่หมวกให้เธออีกหนึ่งใบแล้ว
จิ่งหนิงถูกเขาทำจนไม่รู้สึกอารมณ์เสียอะไรเลย แค่ยืนหัวเราะอยู่ตรงนั้น
หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้ว ลู่จิ่งเซินถึงจับมือเธอลงไปชั้นล่าง
ชั้นล่าง อานอานกับจิ้งเจ๋อน้อยกลับตื่นมาตั้งแต่เช้าแล้ว
ตอนเช้าลูกจะหิวเร็วมาก โดยเฉพาะจิ้งเจ๋อน้อย เด็กผู้ชายขี้เล่นจึงหิวเร็วมาก ร้องอยากกินของตั้งแต่เช้าแล้ว
ขณะนี้โม่ไฉ่เวยกำลังป้อนสาคูไข่มุกที่เพิ่งยกขึ้นมาจากห้องครัวให้เขาดื่มอยู่
เห็นจิ่งหนิงเขาลงมากันแล้ว จิ้งเจ๋อน้อยโบกมือให้พวกเขาอย่างดีใจ ชี้ของหวานตรงหน้าตัวเองเหมือนกับเสนอสิ่งล้ำค่าอยู่
“หม่ามี๊ อร่อย”
จิ่งหนิงยิ้มลูบหัวน้อยๆ ของเขา “ถ้าอร่อยลูกก็ดื่มเยอะๆ หน่อย”
โม่ไฉ่เวยยิ้มว่า: “วันนี้ข้างนอกกลับหิมะตกแล้ว ฉันอาศัยอยู่ที่สิบปีแล้ว นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เคยเจอเลย พวกเธอสามารถออกไปดูได้นะ”
ข้างๆ วันนี้นานทีปีหนเชวซู่ไม่ได้ไปห้องทดลอง และคล้อยตามว่า: “อย่าพูดว่าคุณเลย ผมอยู่ที่นี่สามสิบกว่าปีแล้ว นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ได้เจอเลย”
ขณะที่พูดอยู่เขาขมวดคิ้วขึ้นมา ดูเกล็ดหิมะที่ปลิวอยู่ด้านนอกและทอดถอนใจประโยคหนึ่ง
“มีนิมิตบนท้องฟ้า ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ”
พอโม่ไฉ่เวยได้ยินก็จ้องเขาทันที
“คุณอย่าพูดมั่ว อะไรคือมีนิมิตบนท้องฟ้าดูเหมือนไม่ใช่เรื่องดี นี่ก็ไม่ใช่สังคมศักดินาโบราณ คุณอย่ามาเผยแพร่เรื่องพวกความเชื่อศักดินาเลย นี่ก็แค่การเปลี่ยนแปลงของอากาศที่ปกติอยู่แล้ว”
จิ่งหนิงเห็นเขาสองคนทะเลาะกันก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกันด้วย ลากลู่จิ่งเซินออกไปแล้ว
บนพื้นด้านนอกสะสมเป็นแผ่นน้ำแข็งบางๆ แล้ว ดูก็รู้ว่าตกตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว