บทที่ 106 เหมือนแม่ของเธอ
จิ่งหนิงมองเขาอย่างตกตะลึง
แค่พูดด้วยความโมโหก็เท่านั้น ไม่นึกว่าเขาจะคิดจริงจัง
บนคางมีความรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา เธอร้องออกมาเบาๆ พูดด้วยความไม่พอใจ: “คุณทำอะไรน่ะ? เจ็บนะ!”
“ตอบผมมา”
น้ำเสียงที่หนักแน่นของฝ่ายชาย มาพร้อมกับสายตาที่เย็นยะเยือก
จิ่งหนิงโดนสายตาของเขาจับจ้อง ก็ตกใจขึ้นมาทันที
เธอขมวดคิ้ว “คุณจะให้ฉันตอบอะไร?”
“ผมเป็นใคร?”
จิ่งหนิง: “……”
ประสาท! ตนเองเป็นใครก็ไม่รู้งั้นเหรอ?
น่าเสียดาย ที่คำพูดนี้เธอกล้าพูดแค่ในใจเท่านั้น พูดออกมาไม่ได้เด็ดขาด
เธอยิ้มเอาอกเอาใจ ตอบไปอย่างซื่อๆ “ลู่จิ่งเซิน”
“ฮ๊ะ?”
จิ่งหนิง: “? ? ? ?”
ตอบไม่ถูก?
เธอจึงลองตอบดูอีกครั้ง: “ประธานลู่?”
ลู่จิ่งเซิน: “……”
“เฮอะๆ……คุณคงจะไม่ได้ให้ฉันเรียกคุณว่าท่านประธานหรอกนะ!”
มองใบหน้าที่ไม่ปกติของฝ่ายชายมีร่องรอยเกิดขึ้นจนพอที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จิ่งหนิงก็รู้แล้วว่าตนเองตอบผิด
“เฮอะ! ผมให้โอกาสคุณเป็นครั้งสุดท้าย ตอบให้ดี ว่าไง?”
จิ่งหนิงกัดปาก
“อย่ากัด!”
ฟันขาวๆที่กัดอยู่บนริมฝีปากแดงๆนั้น เป็นความงดงามในภาพที่กำลังจนมุม ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะทำให้เสียหายด้วยความฮึกเหิม!
ดังนั้น ฝ่ายชายจึงจับคางของเธอเอาไว้อย่างรวดเร็วเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของเธอ
จิ่งหนิงรู้สึกเจ็บ ส่งเสียงเจ็บปวดด้วยความไม่พอใจ
ในเวลานี้เอง ก็มีแสงหนึ่งแวบเข้ามาในหัว
ราวกับว่าเธอคิดอะไรได้แล้ว มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
จากนั้น จึงลองพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักดู: “สา สามี?”
ลู่จิ่งเซินยิ้มเยาะ
“จำคำเรียกนี้ไว้ ต่อไปถึงไม่อยากจะพูด ผมก็ไม่อยากได้ยินคำนั้นอีก!”
สายตาของฝ่ายชายค่อนข้างเย็นยะเยือก เตือนด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก: “จำได้หรือยัง?”
ในหัวของจิ่งหนิงมึนงงอยู่บ้าง แต่ก็ยังพยักหน้าอย่างรู้ว่าควรทำตัวอย่างไร
ลู่จิ่งเซินจึงปล่อยคางเธอออก เดินไปถึงอีกด้านหนึ่ง ตอนที่เตรียมตัวจะขึ้นเตียง ก็เห็นมือถือของตนเองวางอยู่บนตู้หัวเตียง คิ้วที่น่ามองขยับเล็กน้อย มองไปที่เธอ
จิ่งหนิงตอบสนองกลับมา รีบอธิบายขึ้น: “เมื่อครู่มีสายเข้ามา ฉันเรียกคุณแล้ว แต่คุณไม่ตอบ ฉันไม่ทันระวังจึงพลาดกดรับไป”
พูดถึงตรงนี้ เธอก็ค่อนข้างใจฝ่อ
ลู่จิ่งเซินไม่ได้ว่าอะไร หยิบมือถือขึ้นมาดู
“เธอพูดอะไรกับคุณไปบ้าง?”
จิ่งหนิงยิ้มอย่างทำตัวไม่ถูก
“ไม่ได้พูดอะไร เอ่อ……เธอเป็นลูกสาวของคุณสินะ?”
ลู่จิ่งเซินหันไปมองเธอ
เงียบไปสองวินาที ก็พูดแก้ไขให้ถูกต้องขึ้นมา: “เป็นลูกสาวของพวกเรา”
จิ่งหนิง: “……”
โชคดีที่ตอนนี้เธอไม่ได้กินน้ำอยู่ ไม่อย่างนั้นน้ำคงพุ่งออกมาแน่ๆ
แต่พอคิดๆดูอีกที ตอนนี้เธอกับลู่จิ่งเซินก็เป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ลูกสาวเขาจะไม่ใช่ลูกสาวของตนเองได้อย่างไร?
ได้ลูกสาวคนโตอย่างไม่มีสาเหตุ จิ่งหนิงที่ตกตะลึงตั้งแต่เมื่อครู่ ถึงตอนนี้ก็ค่อยๆยินดีขึ้นมาแล้ว
“ก็ใช่นะ ดูแล้ว ไม่เหมือนจะเป็นเรื่องไม่ดีนี่นา”
เธอไม่รังเกียจเด็กคนนี้เลย แล้วเมื่อครู่ที่ได้ยินเสียงจากในมือถือ ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทั้งที่ไม่เคยเจอมาก่อนชัดๆ แต่จู่ๆกลับมีความรู้สึกสนิทสนมอย่างบอกไม่ถูกเกิดขึ้น
จิ่งหนิงรู้สึกแปลกใจมาก คิดๆแล้ว ก็น่าขำอย่างอดไม่ได้
“ไม่รู้ว่าเธอหน้าตาน่ารักไหม เอ……ถ้านิสัยไม่เหมือนคุณน่าจะดีที่สุด แย่เกินไป อารมณ์แปรปรวน เด็กผู้หญิงเป็นอย่างนี้ไม่ดีแน่ๆ”
สายตาของลู่จิ่งเซินมองเธออย่างลึกซึ้ง “งั้นคุณอยากให้เธอเหมือนใคร?”
“เหมือนแม่ของเธออยู่แล้ว!”
พูดถึงตรงนี้ จิ่งหนิงเพิ่งคิดได้ว่าตนเองไม่รู้จักแม้กระทั่งแม่แท้ๆของเธอ
เธอจึงรีบถามขึ้น: “เธอเป็นลูกของแฟนเก่าคุณใช่ไหม? นี่คุณคงจะไม่ได้แต่งงานครั้งที่สองนะ!”
ลู่จิ่งเซิน: “……”
ค้อนโยเนียร์ของเทพเจ้าสายฟ้าธอร์อยู่ที่ไหน? เอามาให้เขายืมหน่อย
ถามคำถามนี้ออกมา จู่ๆจิ่งหนิงก็รู้สึกได้ว่าค่อนข้างเป็นไปไม่ค่อยได้
อันที่จริง ถ้าลู่จิ่งเซินแต่งงานครั้งที่สอง งั้นตอนที่พวกเขาไปจดทะเบียนสมรสที่สำนักงานกิจการพลเรือน เธอก็น่าจะรู้แล้วสิ
จิ่งหนิงยิ้มเยาะ ลู่จิ่งเซินกลับไม่พูดอะไร ถึงขนาดเห็นด้วยกับความเห็นของเธอ
“อืม เหมือนแม่ของเธอมากทีเดียว”
แล้วก็ย่ำเท้าเดินออกไป เขาถือมือถือเดินไปที่ระเบียง “ผมไปตอบกลับโทรศัพท์ก่อนนะ”
จิ่งหนิงพยักหน้า
สายตามองตามเขาที่เดินออกไปด้านนอก ภายใต้ความมืดมิดที่ไม่มีที่สิ้นสุด แสงไฟสลัวๆที่ใต้ชายคาบ้าน ฝ่ายชายที่ถือมือถืออยู่ ด้านหลังแข็งแกร่งมั่นคง พูดกับสายในโทรศัพท์อย่างอ่อนโยน
จิ่งหนิงนอนลงไปบนเตียง เท้าคาง มองอย่างตั้งใจ
จู่ๆก็รู้สึกว่า จริงๆผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้ไร้ความรู้สึกอย่างที่คนภายนอกเล่าลือกันมา
อย่างน้อยก็ปฏิบัติกับเธอได้ไม่เลวเลย กับลูกก็มองออกเลยว่าเป็นพ่อที่ดีทำหน้าที่อย่างเต็มใจ
จิ่งหนิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
ลู่จิ่งเซินคุยโทรศัพท์นานมาก
ช่วยไม่ได้ ใครให้เขาตามใจลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนกันล่ะ
ก็เพราะเมื่อครู่ไม่ได้รับสายเธอ และถึงจิ่งหนิงจะรับสายแล้วแต่ก็ไม่พูด เธอเลยคิดว่าเป็นเขา จงใจไม่พูดกับเธอ จึงกำลังโกรธเคือง
ง้ออยู่นาน ไม่ง่ายเลยที่ปีศาจน้อยจะยอมคืนดีด้วย
เสียงอ่อนโยนของลู่จิ่งเซินพูดขึ้น: “ดึกแล้ว เด็กดีเข้านอนเลยดีไหม?”
เสียงเด็กน้อยที่น่าทะนุถนอมอีกด้านหนึ่งแพร่ออกมา
“ก็ได้ค่ะ! แต่ต่อไปแดดดี้ห้ามไม่รับโทรศัพท์ของหนูอีกนะคะ”
ลู่จิ่งเซินถูๆคิ้วอย่างจำใจ
“บางครั้งพ่อก็ประชุม ไม่ได้เปิดเสียงไม่ได้ยินนะลูก”
“หนูจะไม่โทรหาตอนที่แดดดี้ประชุมค่ะ”
“จริงเหรอ?”
“แน่นอนค่ะ คุณย่าบอกว่า งานของแดดดี้ยุ่งมากลำบากมาก ไม่ให้หนูรบกวน หนูก็เลยโทรหาแดดดี้เฉพาะตอนกลางคืน!”
ลู่จิ่งเซินกลับคิดไม่ถึง ปีศาจน้อยที่ดื้อรั้นมาโดยตลอดจะมีช่วงเวลาที่เอาใจใส่อย่างนี้
เขายิ้มๆ แล้ว “อืม” เบาๆ
“พ่อรู้แล้ว ต่อไปห้ามไม่รับสายลูกเด็ดขาดเลย”
นี่เองสาวน้อยถึงจะพอใจ แต่ทว่าอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงก็มีอารมณ์หงอยเหงาเศร้าสร้อยเล็กน้อยขึ้นมา
“แดดดี้ จริงๆที่หนูโทรมา เพราะหนูคิดถึงแดดดี้แล้ว”
ลู่จิ่งเซินชะงักทันที
เหมือนมีอะไรบางอย่าง ชนเข้ามาที่ใจของเขาเบาๆ
เด็กน้อยยังคงพูดต่อไป “แต่คุณย่าไม่ให้หนูไปหา แดดดี้ เมื่อไหร่จะกลับมาหาหนูสักที! หนูคิดถึงแดดดี้มากๆ ลูกของคนอื่นก็มีแดดดี้หม่ามี้กันทั้งนั้น แต่หนูไม่มีเลยสักคน อานอานน่าสงสารมากเลย! เด็กไร้เดียงสา ไม่มีคนรัก ฮือๆๆๆ……”
แม้จะรู้ว่าเด็กคนนี้จงใจออดอ้อน อันที่จริงก่อนหน้านี้ไม่นานตอนที่เขาออกไปทำงานที่ต่างจังหวัด ก็ยังเปลี่ยนเครื่องเพื่อไปหาเธอโดยเฉพาะ
แต่ได้ยินเสียงที่นุ่มนิ่มนั้น แล้วยังจงใจทำเสียงสะอื้นออกมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อนอีกแล้ว
“เด็กดี ผ่านช่วงนี้ไปแดดดี้ก็จะกลับไปหาแล้ว”
“ผ่านช่วงนี้นานแค่ไหนคะ!”
เด็กน้อยรอบคอบนะ! ความไม่ชัดเจนของเขาตบตาเธอไม่ได้หรอก
“หนึ่งเดือน!”
“ฮือๆๆๆ……แดดดี้ไม่รักอานอานแล้ว แดดดี้ไม่ต้องการอานอานแล้ว แง……ฮือๆๆ……”
เด็กน้อยในสายโทรศัพท์ร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจ
ลู่จิ่งเซินยันหน้าผากอย่างจำใจ
ตามหลักการที่ตนเองได้ตามใจลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนจนเคยตัว ต่อให้คุกเข่าก็ต้องเอาใจให้เสร็จ
เขาปลอบอย่างใจเย็น: “หนึ่งเดือนเร็วที่สุดแล้วลูก ถ้าลูกยังร้องไห้ต่อไป หลังจากหนึ่งเดือนแดดดี้จะไม่กลับไปแล้ว ไม่เพียงแต่แดดดี้เท่านั้น แม้กระทั่งหม่ามี๊ที่หามาให้ลูกก็จะไม่กลับไปด้วย”
เด็กน้อยหยุดร้องไห้ทันที