บทที่ 119 กำหนดงานหมั้น
จิ่งหนิงจ้องมองเธอด้วยสายตาเย็นชา “อะไรนะ? เจตนาดีหรือ?”
เธอหัวเราะประชดหนึ่งที “ในเมื่อเป็นเจตนาดี ทำไมไม่มอบให้กับเธอล่ะ? เพราะเธอคือหลานสาวที่เธอรักมากที่สุดไม่ใช่หรือ?”
“จิ่งหนิง!”
จิ่งเซี่ยวเต๋อตะคอกขึ้น
จิ่งเสี่ยวหย่าเผยสีหน้าน้อยอกน้อยใจขึ้น
“พี่สาว ฉันรู้ดีคะว่าฉันมีพี่อาเจ๋อแล้ว ทำไมพี่ยังจะพูดแบบนี้อีกหรอ? อีกอย่างคุณย่ารักและเอ็นดูพี่มาก เพียงแต่พี่เองที่…….”
“พอเถอะ!”
หวังเสว่เหมยพูดแทรกเธอขึ้น แล้วหันหน้าจ้องมองจิ่งหนิง พร้อมเผยสายตาแหลมคมขึ้น
“เธอพูดมาตามตรงดีกว่า งานแต่งงานนี้เธอยอมรับปากหรือเปล่า?”
จิ่งหนิงหันหน้ามองสวี่เทียนหง
ฝ่ายตรงข้ามจ้องมองเธอตาไม่กะพริบ ถึงแม้ได้ยินคำพูดเหล่านั้นแล้วเมื่อกี้ แต่ยังคงไม่มีท่าทียอมถอย
ดูเหมือนว่าแม้แต่เรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับลู่จิ่งเซิน สงสัยหวังเสว่เหมยคงบอกกับเขาเรียบร้อยแล้ว
อ่า! ในเมื่อไม่กลัวตาย ฉันก็พร้อมทำให้เขาสมใจหวัง
เธอพูดขึ้นว่า : “ฉันยังไม่ได้พูดว่าไม่รับปากเลย”
หวังเสว่เหมยสายตาเป็นประกายชั่วขณะ “พูดแบบนี้หมายความว่าเธอยอมรับปากแล้วใช่ไหม?”
“หากต้องการให้ฉันรับปากก็ได้ เพียงแต่ช่วงเวลานี้ ฉันต้องการย้ายกลับมา”
จิ่งเสี่ยวหย่าขมวดคิ้วทันที “พี่สาว ไม่ใช่ว่าพี่พักอยู่ข้างนอกมาตลอดหรอกหรอ?”
จิ่งหนิงอมยิ้มและจ้องมองเธอ
“ไม่ใช่ว่าพวกคุณบอกหรอว่าความสัมพันธ์ของฉันกับลู่จิ่งเซินไม่มีทางยืนยาว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันย้ายออกมาดีกว่า”
“แต่เธอยังมีบ้านของตัวเองอยู่นะ……”
“พูดแบบนี้พวกคุณไม่ยินยอมหรอ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นช่างมันเถอะ!”
ขณะที่จิ่งหนิงพูด หวังเสว่เหมยก็รีบพูดขึ้นมาว่า : “เรื่องนี้ฉันยินยอม!”
เธอหยุดนิ่งชั่วขณะ และพูดขึ้นว่า : “ถึงอย่างไรเธอก็เป็นลูกหลานของตระกูลจิ่งของเรา หากต้องแต่งงานก็ควรออกไปผ่านบ้านตระกูลจิ่ง งั้นเรื่องนี้กำหนดตามนี้เลยละกัน ใครก็ไม่สามารถคัดค้าน”
เมื่อจิ่งเสี่ยวหย่าเห็นแบบนี้ ถึงแม้เรื่องที่จิ่งหนองจะย้ายกลับมาทำให้เธอทุกข์ใจ แต่เมื่อคิดว่าอีกไม่นานเธอจะต้องแต่งงานกับคนอย่างสวี่เทียนหง เธอก็อดใจรู้สึกตื่นเต้นไม่ไหว
ไม่เพียงแค่เธอ สวี่เทียนหงเองก็ตื่นเต้นจนอดใจไม่ไหวเหมือนกัน
ผู้หญิงที่ทั้งที่เมื่อกี้ยังปากคอเราะรายใส่เขา คิดไม่ถึงกลับยินยอมตอบรับงานแต่งงานของพวกเขาแล้ว
ความรู้สึกนี้เหมือนกับขนมอัดไส้ร่วงตกลงมาจากสวรรค์เลย!
เขาตื่นเต้นจนหน้าแดงก่ำหมดแล้ว ขณะเดียวกันก็เอามือเสียดสีกันตลอดเวลา
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นพวกคุณก็กำหนดวันเวลามาได้เลย!”
หยูซิ่วเหลียนพูดขึ้นว่า : “บังเอิญมาก ก่อนหน้านี้เพื่อนของฉันคนหนึ่งไปดูฤกษ์แต่งงานมา บอกว่าสุดสัปดาห์นี้ถือเป็นฤกษ์ยามงามดีมาก แต่เวลาค่อนข้างเร่งรัดไปหน่อย”
“ไม่เร่งรัดครับ ไม่ใช่ว่ายังมีเวลาเหลืออีกหนึ่งสัปดาห์หรอกหรอ?”
จิ่งเซี่ยวเต๋อรีบพูดขึ้น
เมื่อสวี่เทียนหงได้ยินแบบนี้ก็ยิ่งตื่นเต้น
“สุดสัปดาห์นี้ก็แต่งงานแล้ว ถึงแม้เวลาเร่งรัดไปหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเวลาเลย งั้นผมรีบกลับไปเตรียมการก่อนนะครับ ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังเลยครับ”
จิ่งหนิงเม้มปาก และยิ้มประชดมุมปากเล็กน้อย โดยไม่พูดอะไรเลย
หวังเสว่เหมยยิ้มและพูดว่า : “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นรบกวนคุณหน่อยละกัน ชายหนุ่มสมัยนี้รู้จักกันสามวันก็แต่งงานสายฟ้าแลบแล้ว แต่หากแต่งงานสุดสัปดาห์ก็นับว่าพวกคุณรู้จักกันหนึ่งสัปดาห์แล้ว ซึ่งถือว่าไม่เร่งรัดมาก ส่วนเรื่องพิธีแต่งงานค่อยจัดทีหลังก็ไม่เป็นไร”
“จริงด้วย” จิ่งเซี่ยวเต๋อเองก็พูดเสริมขึ้น “ถ้าหากคุณสวี่ไม่อยากทำให้หนิงหนิงเสียหน้า งั้นก็เตรียมสินสอดให้มากหน่อยก็ได้ครับ”
ยังไม่ทันพูดจบก็เห็นสัญญาณเตือนจากสายตาของหยูซิ่วเหลียนขึ้น
เขารีบปิดปากเงียบทันที แล้วหันหน้าจ้องมองใบหน้าจิ่งหนิงอย่างระมัดระวัง
จากนั้นก็เห็นเด็กผู้หญิงที่ปกติควรมีท่าทีโมโหหรือเผยสีหน้าไม่พอใจออกมา แต่ในตอนนี้กลับกำลังถือช้อนกลางตักซุป โดยไม่เผยสีหน้าไม่มีความสุขเลย
เหมือนกับพวกเขากำลังถูกเถียงอีกเรื่องหนึ่ง โดยที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอเลย
จิ่งเซี่ยวเต๋อนิ่งอึ้งเล็กน้อย
สวี่เทียนหงยิ้มและพูดว่า : “แน่นอนว่าต้องเตรียมสินสอดอยู่แล้ว กลับไปวันนี้ผมจะรีบเตรียมการเลย จะไม่ทำให้คุณทั้งสองผิดหวังอย่างแน่นอน”
จิ่งเซี่ยวเต๋อดึงสติกลับมา เมื่อได้ยินแบบนี้ก็หัวเราะอย่างตื่นเต้นขึ้น
“งั้นก็ดีแล้วครับ มาครับ มาครับ พวกเราทุกคนร่วมดื่มเป็นพยานเรื่องมงคลกันหน่อยครับ”
ขณะที่พูด ทุกคนต่างพากันยกแก้วขึ้น
จิ่งเสี่ยวหย่ายิ้มและพูดว่า : “ฉันนึกว่าฉันจะแต่งงานก่อนพี่สาวแล้วเสียอีก คิดไม่ถึงว่าพี่สาวกลับแซงหน้าเสียนั้น ฉันรู้สึกดีใจแทนคุณมากเลย พี่สาว ฉันขอดื่มอวยพรให้กับคุณ”
จิ่งหนิงเงยหน้าขึ้น และเผยสีหน้าเย็นชาจ้องมองเธอ
แต่เธอไม่พูดอะไร นอกจากยกแก้วขึ้น ไม่ทันชนแก้วกับเสี่ยวหย่า เธอก็ดื่มคำเดียวหมดแก้วแล้ว
เมื่อจิ่งเสี่ยวหย่าเห็นแบบนี้ก็เบ้ปากเล็กน้อย แต่เธออดใจตื่นเต้นความรู้สึกภายในใจไม่ไหวรีบดื่มเหล้าทันที
ทุกคนที่อยู่ที่นี้ มีเพียงมู่ยั่นเจ๋อเพียงคนเดียวที่ไม่ยกแก้วขึ้น แต่แอบขมวดคิ้วเล็กน้อย
“จิ่งหนิง เธอคิดดีแล้วหรอที่จะแต่งงาน?”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลางสังหรณ์ของเขาหรือเปล่า เขากลับรู้สึกว่าเรื่องนี้ดูแปลกๆ
คนอย่างสวี่เทียนหง ถึงแม้เขาไม่รู้จักมากสักเท่าไหร่ แต่ก็ได้ยินมาบ้างพอสมควร
พื้นฐานครอบครัวของเขาถือว่าไม่เลวเลย นับว่าเป็นคนร่ำรวยได้เลย แต่เบื้องหลังลึกลับซับซ้อน แถมยังเกี่ยวพันกับวงการมืดด้วย อีกอย่างถึงแม้คนๆนี้ภายนอกมีท่าทางอ่อนโยน มีมารยาท แต่ความเป็นจริงแล้วเป็นคนโหดเหี้ยม ดูจากภรรยาเก่าของเขาตายยังไงก็รู้แล้ว
ถึงแม้จิ่งหนิงมีความสัมพันธ์กับครอบครัวไม่ดีมากแค่ไหน แต่ตระกูลจิ่งก็ไม่ควรแนะนำผู้ชายแบบนี้ให้กับเธอ!
แต่ในตอนนี้เขากับจิ่งเสี่ยวหย่ายังไม่ได้แต่งงานกัน ถึงยังไงเขาก็ยังคงเป็นคนนอกอยู่
ถึงแม้ในใจมีข้อสงสัยอยู่ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้
เลยทำได้เพียงซักถามด้านข้างเงียบๆ
เมื่อจิ่งหนิงได้ยินแบบนี้ก็วางแก้วลง แล้วยิ้มและจ้องมองเขา
ผู้หญิงที่ดื่มเหล้า บนใบหน้ามักมีรอยแดงฝาด เลยยิ่งขับผิวให้ดูขาวนวลเนียนมากยิ่งขึ้น
เธอก้มหน้าเล็กน้อย แล้วยกมือข้างหน้ายันข้างแก้ม พร้อมยิ้มแย้มเหมือนดอกไม้เบ่งบาน
“คุณชายมู่เป็นห่วงฉันมากถึงขนาดนี้ หรือว่าชอบฉันคะ!”
ทุกคนต่างพากันนิ่งเงียบชั่วขณะ ไม่กล้าหันหน้ามองจิ่งหนิง
หวังเสว่เหมยขมวดคิ้วเล็กน้อย
“จิ่งหนิง! ที่นี้ยังมีคนอยู่ เธอพูดจาเหลวไหลอะไรกัน?”
จิ่งหนิงกระแอมเล็กน้อย เหมือนกับดื่มมากแล้ว
“เปล่า ไม่ได้พูดอะไร! แค่รู้สึกว่าคุณชายมู่เป็นกังวลแทนฉัน ไม่ทราบว่าภายในใจยังเหลือเยื่อใยอยู่หรอคะ ดังนั้นฉันเลยถามขึ้น! มู่ยั่นเจ๋อ ถ้าหากตอนนั้นฉันไม่ได้จับคุณกับจิ่งเสี่ยวหย่าไว้บนเตียงด้วยกัน ตอนนี้พวกเราสองคนยังคบกันอยู่ไหม?”
จิ่งเสี่ยวหย่าเผยสีหน้าแหลมคมขึ้นชั่วพริบตาอย่างเห็นได้ชัดเจน
มู่ยั่นเจ๋อเองสีหน้าก็หม่นหมองแล้ว และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “จิ่งหนิง ระหว่างเราสองคนเป็นอดีตไปแล้ว ทำไมถึงมาพูดขึ้นในเวลานี้ด้วย?”
คนที่อยู่ที่นี้ทุกคน มีเพียงสวี่เทียนหงที่มีสีหน้ามึนงง
ก่อนหน้านี้หวังเสว่เหมยบอกกับเขาเพียง ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือของจิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซิน รวมถึงเรื่องที่เป็นกังวลของจิ่งหนิงทั้งหมด
แต่ไม่เคยบอกมาก่อนเลยว่า จิ่งหนิงเคยเป็นแฟนเก่าของมู่ยั่นเจ๋อ
เขาจ้องมองจิ่งหนิงด้วยสีหน้ามึนงง พร้อมหันหน้ามองมู่ยั่นเจ๋อ แล้วซักถามว่า : “นี่พวกคุณพูดจาเหลวไหลอะไรกันหรอ? คุณชายมู่ คุณไม่ได้เป็นแฟนของคุณหนูรองหรอกหรอ? แล้วทำไม…..”
จิ่งเสี่ยวหย่าพยายามอดกลั้นความโกรธแค้น แล้วฝืนหัวเราะออกมา
“ขออภัย ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายสักเท่าไหร่ ขอตัวขึ้นไปพักผ่อนก่อนนะคะ” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินจากไปทันที
เมื่อมู่ยั่นเจ๋อเห็นแบบนี้ก็รีบลุกขึ้นเดินตามไป
“เสี่ยวหย่า คุณรอผมด้วย”
ตอนที่จะเดินออกจากห้องทานอาหารไป เขาหยุดฝีเท้าชั่วขณะ แล้วหันหน้าจ้องมองจิ่งหนิง
“คุณก็เป็นแบบนี้มาตลอด ชอบเอาเจตนาดีของคนที่บ้านเป็นแค่ขยะ! ต่อไปเรื่องของคุณ ผมไม่สนใจแล้ว ขอให้คุณมีความสุขด้วยตัวเองละกัน!”
พูดจบ เขาก็รีบเดินตามจิ่งเสี่ยวหย่าทันที