บทที่ 129 BOSS โกรธแล้ว
“คุณย่าคะ ถ้างั้นตอนนี้พวกเราทำอย่างไรดีคะ?”
“เอาไว้ก่อนเถอะ สวี่เทียนหงทางนี้ ฉันยังต้องจัดการกับผลที่ตามมาก่อน เรื่องอื่นเอาไว้ค่อยว่ากัน”
“คะ”
ตระกูลจิ่งและคนอื่นๆออกจากโรงพยาบาลแล้ว
อีกด้านหนึ่ง จิ่งหนิงขึ้นรถ และหยิบโทรศัพท์ที่สั่นมานานแล้วในกระเป๋าออกมา รับสาย
“ยังอยู่ที่โรงพยาบาลหรือครับ? จัดการเรื่องเรียบร้อยไหม?”
พอกดรับสาย ชายคนนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาทันที
จิ่งหนิงงงๆ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่าทำไมเขาถึงรู้ความเคลื่อนไหวของเธอ
“เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลคะ อืม…ทุกอย่างก็น่าจะเรียบร้อยคะ! ฉันคิดว่าตอนนี้คนของ ตระกูลจิ่ง น่าจะโมโหตายชักแล้ว”
รับรู้ได้ถึงความยินดีในน้ำเสียงของเธอ ชายคนนั้นก็ดีใจไปด้วย อดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม แล้วโล่งใจในที่สุด
“สวี่เทียนหงนั่นผมจัดการให้เอง ส่วน ตระกูลจิ่ง คุณคิดว่าจะทำอย่างไรดีครับ?”
จิ่งหนิงอึ้ง เธอคิดจะบอกกับเขาว่าไม่ต้องอาศัยเขาช่วย แค่พอนึกถึงพลังอำนาจเบื้องหลังของ สวี่เทียนหง ขึ้นมา ถ้าแม้เธอกล่าวหาว่าเขาข่มขืนเธอจริงๆ ภายใต้ข้อเท็จจริงที่ทุกคนในตระกูลจิ่งเห็นพ้องกับเขา ก็อาจจะล้มเขาลงไม่สำเร็จ
เมื่อกี้ เธอพูดแบบนั้นออกไปเพียงเพราะโกรธเขาเท่านั้น ตอนนี้มาคิดๆดูอีกที คงจะเป็นเรื่องยาก
ดังนั้น เธอจึงไม่ปฏิเสธข้อเสนอของชายคนนั้น คิดดูแล้ว กล่าวว่า : “ฉันคิดว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยวใดๆกับ ตระกูลจิ่งอีก”
การตัดสินใจนี้ ควรจะทำไปตั้งแต่เมื่อห้าปีที่แล้วแล้ว
น่าเสียดาย ไม่ว่าเธอจะต้องทนทุกข์ เสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าในตอนนั้น เธอยังคงมีความหวังเล็กๆกับครอบครัวนี้อยู่
อย่างน้อย ตอนเป็นเด็กพวกเขาก็เคยรักตัวเธออยู่บ้าง เอาใจเธออยู่บ้าง และเคยอุ้มเธอไว้ในอ้อมกอดกล่อมว่าหนิงหนิงเด็กดี ความรักและความอบอุ่นที่อยู่ในความทรงจำเหล่านั้น ไม่สามารถลบล้างได้ในทันที
จนมาถึงครั้งนี้ เธอยอมแพ้แล้ว
บางอย่าง ไม่ใช่ว่าเธออยากจะรักษามันไว้ แล้วจะสามารถรักษามันไว้ได้
เวลาได้ทำให้ทุกอย่างมันแย่มานานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่จิ่งเสี่ยวหย่าแม่ลูกมาที่ ตระกูลจิ่ง คุณย่าของเธอก็ไม่ใช่ย่าของเธออีกต่อไป คุณพ่อของเธอก็ไม่ใช่พ่อของเธออีกต่อไป
จนถึงตอนนี้ ที่ต้องตัดก็ต้องตัด ที่ต้องจากก็ต้องจาก ไม่จำเป็นต้องหันกลับไปอีก
ลู่จิ่งเซินคิดไม่ถึงว่าเธอจะตัดสินใจแบบนี้ ในฐานะผู้หญิงที่มีทั้งอารมณ์และคุณธรรม แค่กลัวว่าความจริงแล้วเธอเสียใจมากเกินไป จึงได้ตัดสินใจแบบนี้
เขาหรี่ตาลงและเอ่ยว่า “อืม” ครั้งหนึ่ง
“เอาล่ะ เรื่องนี้ผมจัดการเอง”
“ไม่จำเป็นหรอกคะ ฉันจัดการเองได้! เรื่องนี้ฉันอยากจัดการด้วยตัวเอง”
ฝ่ายตรงข้าม ชายคนนั้นเงียบไป
จิ่งหนิงอธิบายว่า : “ฉันไม่เพียงต้องการตัดความสัมพันธ์กับพวกเขา ของที่ควรจะเป็นของฉัน ฉันต้องเอามันคืนมาให้หมด ยังมีโคลนที่พวกเขาสาดใส่ฉันไว้ ฉันจะให้พวกเขาเอากลับคืนไปให้หมดด้วย! ลู่จิ่งเซิน เรื่องนี้ฉันไม่อยากยืมมือคนอื่น ถ้าเรื่องแค่นี้ฉันจัดการเองไม่ได้ละก็ ฉันก็ไม่คู่ควรที่จะยืนเคียงข้างคุณแล้วละค่ะ”
เสียงทุ้มต่ำและน่าฟังของชายคนนั้นดังขึ้น
“คุณไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ก็เพียงพอที่จะยืนเคียงข้างผมแล้วละครับ”
แต่ว่าฉันไม่สบายใจเลยนี่คะ ฉันไม่ใช่นกน้อยในกรงทองนะคะ ลู่จิ่งเซิน เชื่อฉันเถอะนะคะ”
ในโทรศัพท์เสียงเงียบไปครู่หนึ่ง เวลาผ่านไปช้าๆราวกับนาฬิกาทราย
ผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้ จึงได้ยินเสียงเขาดังขึ้น
“ก็ได้ครับ”
คำพูดง่ายๆนี้ ทำให้จิ่งหนิงโล่งอกทันที
เธอกังวลแทบตายว่าเขาจะไม่ยอมรับปาก ทั้งนี้ทั้งนั้นเธอรู้ดีแก่ใจถึงความปรารถนาที่จะควบคุมของเขา ถึงแม้ตอนนี้เขาจะรับปากชัดเจน แต่ว่าพอถึงเวลาเข้าจริงๆ มันอาจจะไม่ได้ง่ายแบบนั้น
แต่ว่าเธอก็ยังดีใจ ที่เขายังเคารพการตัดสินใจของเธอ
คิดได้เช่นนี้ จิ่งหนิงอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มออกมา
“แต่ว่าคุณต้องรับปากผมเรื่องหนึ่งก่อนครับ” ลู่จิ่งเซินจู่ก็พูดขึ้นมา
“อะไรคะ?”
“ผมให้เวลาคุณเพียง 1 เดือน หลังจาก 1 เดือนแล้ว กลับไปที่เมืองหลวงกับผม และเป็นภรรยาจริงๆของผมเสียที”
จิ่งหนิง : “…..”
เธอนั่งอยู่ในรถ สะดุ้งเล็กน้อย
ภรรยาตัวจริง?
ในใจไม่ใช่ไม่ตกใจ แต่ว่า ในที่สุดเธอก็กัดริมฝีปาก ตอบไปว่า : ได้คะ”
หลังจากวางสาย จิ่งหนิงกลับไปที่บริษัท
ในสำนักงานเงียบเชียบผิดปกติ ทุกคนดูเหมือนตั้งใจทำงานมาก เพื่อปิดบังความรู้สึกผิดในใจของตัวเอง
จิ่งหนิงเดินเข้าไปในสำนักงานด้วยสีหน้าปกติ พลางสั่งให้เสี่ยวเหอมาหาหน่อย
เมื่อเสี่ยวเหอมาถึง จิ่งหนิงเพิ่งนั่งลงได้ไม่นาน
เธอเงยหน้ามองหล่อนทีหนึ่ง แล้วถามว่า : “เป็นไงบ้าง? ในบริษัทมีใครกล้าพูดอะไรไหม ช่วยฉันจดชื่อเอาไว้แล้วใช่ไหม?”
พนักงานคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูกำลังจะเข้ามารายงานงานของเขาชะงักทันที
เสี่ยวเหออดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน รู้ว่าเธอจงใจพูดให้คนที่อยู่ด้านนอกได้ยิน ต้องการข่มขู่คนพวกนั้น
ดังนั้นจึงกล่าวสมทบพร้อมรอยยิ้มว่า : “คะ จดไว้หมดแล้ว”
“หักเงินเดือนเดือนนี้ของพวกเขาให้หมดทุกคน!”
“คะ”
ประตูของห้องทำงานถูกปิดลง คนข้างนอกได้ยินกันหมด พากันระส่ำระสาย
ที่แท้ ประธานจิ่งก็เอาจริง! ไม่ได้แค่พูดเล่น
บางคนเสียใจ และมีบางคนที่สะใจ
แต่ทุกคนรับรู้ความจริงได้โดยไม่ต้องสงสัยว่า จิ่งหนิงที่ดูนุ่มนวลและอ่อนโยน กลับไม่ใช่ลูกพลับอ่อนๆที่เด็ดกินได้โดยง่าย
ครั้งนี้เธอทำแค่หักเงินเดือน ครั้งหน้าไม่รู้ว่าจะลงโทษแบบไหน!
ดังนั้น บรรดาคนที่คิดจะซุบซิบนินทากันอีก จึงสงบปากสงบคำไว้ ในบริษัทไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้กันอีกเลย
สามวันผ่านไป
การแข่งขันคัดเลือกดาราหน้าใหม่ครั้งยิ่งใหญ่เริ่มต้นขึ้น
ในบริษัทยกเว้นถังลั่วเหยา ศิลปินคนอื่นๆที่เหลือต่างถูกส่งเข้าร่วมการแข่งขัน
คนเหล่านี้เหล่านี้เป็นศิลปินที่จิ่งหนิงคิดว่ามีศักยภาพ เพราะเคยเข้าร่วมรายการ ด้านการตลาดบรรจุภัณฑ์ งานนี้พลาดไม่ได้
ตอนนี้ทางบริษัทมีกำลังคนจำกัด และคนเหล่านี้ต่างก็เป็นศิลปินที่จิ่งหนิงต้องการมุ่งเน้นเรื่องการฝึกฝน ตอนนี้เธอไม่ไว้ใจให้พวกเขาทำกันเอง เธอต้องการควบคุมมันเองกับมือ
ประกอบกับทางฝั่งอานหนิงกั๋วจี้ เร็วๆนี้เพิ่งมีศิลปินโด่งดังคนหนึ่งเปิดเผยเรื่องราวความรักออกมา ตอนนี้เป็นกระแสกันมากบนอินเทอร์เน็ต ในหนึ่งวันมีการค้นหาอยู่หลายครั้ง
ลูกน้องของเธอไม่สามารถทำได้ โครงการจึงต้องถูกส่งมอบต่อมาให้เธอ
เป็นแบบนี้เรื่อยมา จิ่งหนิงจึงยุ่งมากมาตลอด
ไม่ง่ายเลยที่จะจัดการเรื่องนี้ ซิงฮุยมีปัญหากับฝ่ายศิลปินอีกแล้ว
ดังนั้น เนื่องจากโครงการนี้เร่งด่วน จนกระทั่งต้องอยู่ที่บริษัทตลอด ไม่มีเวลากลับไปที่คฤหาสน์บ้านลู่เลย
หลังจากที่ลู่จิ่งเซินพบว่าไม่มีใครอยู่ที่บ้านติดต่อกันสามวัน ในที่สุดก็ทนไม่ได้แล้ว
วันนี้ เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว จิ่งหนิงยังคงทำงานล่วงเวลาอยู่ที่บริษัท ทันใดนั้นก็ได้รับสายของผู้ชายคนนั้น
“จะกลับเอง หรือจะให้ผมไปรับที่ทำงานดีครับ คุณเลือกเอา”
ในโทรศัพท์ น้ำเสียงผู้ชายดูอารมณ์ไม่ดี และก็ไม่รู้ว่าหัวเสียมานานแค่ไหนแล้ว จิ่งหนิงรับรู้ได้จากในโทรศัพท์ว่าเขาไม่มีความสุข
เธออึ้งไป งงเล็กน้อย “เป็นอะไรไป?”
“ยังมีหน้ามาถามอีกว่าเป็นอะไร? คุณลองนับดูสิ กี่วันแล้วที่คุณไม่ได้กลับบ้าน?”
จิ่งหนิง : “….”
มันน่าแปลกตรงไหนหรือ ที่สามียุ่งกับงานนอกบ้าน แล้วภรรยาไม่ได้อยู่บ้าน?
ไม่ไม่ไม่! นี่มันเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า!
Bossลู่ก็คือ Bossลู่ นั่นแหละ อย่าจินตนาการว่าเขาเป็นแกะน้อยที่น่ารังเกียจเพียงเพราะคำพูดประโยคนี้