บทที่ 135 ไม่เกี่ยวกับเธอ
ลู่จิ่งเซินเหลียวไปมองเธอทีหนึ่ง
“ห๊ะ? คุณว่าอะไรนะ?”
“เขาบอกว่า…” กวนเสว่เฟยลังเลนิดหน่อย “บอกว่า ป้าลู่ยังสู้เด็กอนุบาลไม่ได้ มีตากับนิ้วเรียวยาวไว้เล่นๆ แถมยังบอกด้วยว่าเขาเย่อหยิ่ง….”
ลู่หลันจือน้ำตาไหลพรากระบายความอัดอั้นตันใจ
“จิ่งเซิน แกดูสิ นี่คือคำพูดที่เด็กควรพูดกับผู้ใหญ่หรือ? ต่อให้เขาไม่เห็นแก่หน้าตระกูลลู่ ก็ควรจะเห็นแก่ที่ฉันลำบากเลี้ยงดูแกมาจนโตปฏิบัติต่อฉันสุภาพหน่อยก็ได้ แล้วดูสิ่งที่เธอทำกับฉันสิ?”
เธอยิ่งพูดก็ยิ่งน้อยใจ น้ำตาไหลพรากราวกับประตูระบายน้ำ กลั้นอย่างไรก็ไม่อยู่
กวนเสว่เฟยรีบหยิบกระดาษทิชชู่เช็ดน้ำตาให้เขา เช็ดไปพลางพูดปลอบใจ “ป้าลู่ อย่าเสียใจไปเลยคะ ขืนเป็นแบบนี้พี่จิ่งเซินจะลำบากใจนะคะ”
ลู่หลันจือรับกระดาษทิชชู่มาซับน้ำตา กล่าวว่า : “เขาหรือจะสนใจฉัน? จิตใจมัวแต่ลุ่มหลงนังจิ้งจอกนั่นไปหมดแล้ว ในสายตามองไม่เห็นคนอื่นแล้วล่ะ?”
ลู่จิ่งเซินอึ้ง ใช้นิ้วมือนวดหว่างคิ้ว
“คุณป้าครับ ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยครับ ว่าคุณกับหนิงหนิงคุยอะไรกัน?”
“ฉัน…..”
ลู่หลันจือชะงักไปครู่หนึ่ง อ้ำๆอึ้งๆอยู่สักพัก แล้วดึงดันพูดว่า : “ฉันจะไปพูดอะไรล่ะ? แกเอาคนไปแอบซ่อนไว้ไม่ยอมพากลับบ้าน ฉันก็แค่อยากไปดูให้เห็นกับตา ใช่ว่าจะจับเธอกินเสียเมื่อไหร่กัน?”
ลู่จิ่งเซินเผยยิ้มเล็กน้อย “อ๋อ? ก็แค่แวะไปดูหรือครับ?”
“ใช่ ใช่สิ!”
ความรู้สึกผิดปรากฏชัดบนใบหน้าของลู่หลันจือ ลู่จิ่งเซินรู้สึกว่ามันน่าขำ
“เอาล่ะ ป้าครับคุณทำอะไรมา ย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ หนิงหนิงพูดย้อนมาแบบนั้น ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วผมขอทำงานนะครับ เชิญพวกคุณตามสบาย!”
เขาพูดจบ ก็กลับไปนั่งที่ของตัวเอง ไม่สนใจเขาอีก
ลู่หลันจือโกรธมาก คิดจะพูดอะไรอีก แต่ถูก กวนเสว่เฟย ดึงชายเสื้อห้ามไว้เบาๆ
กวนเสว่เฟยยิ้มให้เขาแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย ลู่หลันจือจึงเอาความโกรธจากก้นบึ้งกล้ำกลืนมันกลับลงไป แล้วจากไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
แม้ว่า ลู่หลันจือ ออกไปแล้ว แต่ กวนเสว่เฟย กลับยังไม่ตามออกไปทันที
เธอยืนอยู่ตรงนั้น สวมกระโปรงแคชเมียร์สีกากี ใส่รองเท้าบูทหนังแกะสีดำ ทั่วทั้งร่างดูแล้วเบาสบายและทันสมัย
เธอมองไปที่ผู้ชายใบหน้าหล่อเหลาและเย็นชา ซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน รู้สึกเพียงหัวใจเต้นรัวเหมือนตีกลอง เต้นเร็วและแรงขึ้น ควบคุมไม่ได้
เขารู้สึกได้ถึงสายตาที่แผดเผามองมาเหนือศีรษะ ในที่สุดลู่จิ่งเซินก็ทนไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
สายตาเย็นชาสีดำคู่หนึ่งมองมาที่เธอ ถามว่า : “มีธุระอะไรอีกหรือ?”
กวนเสว่เฟย หยุดนิ่งไปชั่วขณะ
ผิวของเธอขาวมาก ขาวซีดจนเหมือนเป็นโรคเลือดจาง ท่ามกลางสายตาเย็นชาของเขาเธอทำหน้าบึ้งตึง
“เปล่าคะ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ คิดไม่ถึงว่าพี่จิ่งเซินจะแต่งงานมีคู่ครองแล้ว พวกคุณ….รักกันดีหรือเปล่าคะ?”
มือของลู่จิ่งเซินที่ถือปากกาอยู่ค่อยๆหยุดนิ่ง จ้องเขม็งไปที่เธอ
เขาไม่ปฏิเสธคำถามนี้ เพียงแต่ส่งยิ้มให้เล็กน้อย
“คุณกวนครับดูท่าทางของพวกเราตอนนี้ ไม่รักกันดีหรือครับ?”
กวนเสว่เฟย : “……”
ความละอายที่มองไม่เห็นค่อยๆจางหายไปในอากาศ
เธอฝืนยิ้ม “ดีมากอยู่นี่คะ เพียงแต่ฉันเห็นว่าบุคลิกของคุณจิ่งค่อนข้างแข็งกร้าว อานอานยังเด็ก กลัวว่าพวกเขาจะเข้ากันไม่ได้ ถึงเวลานั้น…..”
“นี่มันไม่ใช่เรื่องของคุณ”
น้ำเสียงของผู้ชายนั้นเย็นชาไร้ความปรานี กวนเสว่เฟย เดือด มองเขาด้วยความตะลึง
ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ
คำง่ายๆเพียงสี่คำ ก็ตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดระหว่างเธอกับเขาก่อนหน้านี้ได้เลย?
ดวงตาของเธอเริ่มมีสีแดงขึ้น สักพัก จึงเอ่ยปากอย่างลำบากว่า “พี่จิ่งเซิน ถ้าท่าทีของคุณในตอนนี้กำลังตำหนิฉันที่ไม่ควรทิ้งคุณไปเมื่อห้าปีก่อน งั้นฉันต้องขอโทษคุณด้วยคะ แต่อานอานยังเป็นเด็ก เธอยังไม่ประสีประสาอะไร เรื่องของผู้ใหญ่ระหว่างเราไม่ควรให้เธอเด็กตัวเล็กๆมาแบกรับ…..”
“คุณพูดเรื่องอะไรของคุณ?”
ลู่จิ่งหนิงขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ สายตาของเขามองไปที่เธอด้วยความไม่อดทนอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันหมายความว่า ถึงแม้เราจะแยกทางกันแล้ว อานอานก็ยังเป็นเด็กที่ฉันเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต ถ้าเขาไม่มีความสุขละก็…..”
“คุณกวนครับ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า คุณประเมินความสัมพันธ์ของเราผิดไปมากขนาดนี้!”
ลู่จิ่งเซินตัดบทเธออย่างไม่ลังเล ราวกับไม่อยากได้ยินเธอพูดเรื่องสะเทือนใจตัวเองอีก
“พวกเราไม่เคยอยู่ด้วยมาก่อนเลย แล้วจะแยกทางกันได้อย่างไร? อีกอย่าง อานอานเป็นลูกสาวของผม เธอจะมีความสุขหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องให้คนภายนอกมาตัดสิน!”
กวนเสว่เฟย:“……”
เธอยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าที่เย็นชาและคำพูดที่ไร้ความปรานี พุ่งเข้าไปในใจของเธอเหมือนมีดกรีดแทง
เธอคิดไม่ถึงว่า ความรู้สึกที่ตัวเองทุ่มเทมาตลอดหลายปี วันนี้กลับกลายเป็นแค่คนภายนอก?
เธอส่ายหน้า น้ำตาไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ อ้าปากอยากจะพูดอะไรต่อ แต่ชายคนนั้นตัดบทเธออย่างไร้ความอดทน
“เอาล่ะ หมดเรื่องแล้วคุณออกไปเถอะ!”
……
ในที่สุด กวนเสว่เฟย ก็ร้องไห้วิ่งออกไป
ซูมู่ถือเอกสารเข้ามา พอดีสวนกับเธอเข้า เห็นท่าเธอปิดหน้าวิ่งออกไป เขาเอามือทาบหน้าอกด้วยความกลัว ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องทำงาน
“ท่านประธานครับ คุณหญิงป้าและกวนเสว่เฟย กลับไปแล้วหรือครับ?”
ลู่จิ่งเซินเลิกคิ้วปลายตามองเขา
“สถานการณ์ที่บ้านเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซูมู่ชะงัก แล้วรีบตอบกลับ อย่างรวดเร็วว่า : “ปกติดีครับ เมื่อกี้ผมโทรศัพท์กลับไปหาป้าหลิว ป้าหลิวบอกว่าคุณผู้หญิงทานอาหารได้พักผ่อนเต็มที่ครับ ตอนกลางวันทานข้าวไปสามจาน!”
ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้ว
ขณะที่ซูมู่คิดว่าเขาจะพูดอะไรบางอย่างที่ร้ายแรงมาก แต่เขากลับพูดว่า : “ป่วยแล้วยังจะกินเยอะขนาดนั้นทำไม? เวลาป่วยเขาห้ามกินมากดื่มมากไม่รู้หรือไง?”
ซูมู่ : “…..”
ท่านประธาน ท่านให้ความสำคัญผิดเรื่องหรือเปล่าครับ?
ตอนเย็น ลู่จิ่งเซินกลับมาที่คฤหาสน์บ้านลู่
ตอนบ่ายจิ่งหนิงนอนพักบนเตียงอยู่ครึ่งวัน หลังจากทานยาแล้วอาการหวัดก็ดีขึ้นมาก ตอนเย็นมีเวลาว่าง จึงเข้าครัวลงมือทำกับข้าวด้วยตัวเองสองอย่าง
เมื่อลู่จิ่งเซินกลับไปถึงบ้าน เขาก็ได้เห็นภาพนี้
มือทำกับข้าวในครัวถูกไล่ออกมาหมด ผู้หญิงตัวเล็กๆสวมชุดอยู่บ้าน ใส่ผ้ากันเปื้อนไว้รอบเอว ถือช้อนยืนคนน้ำซุปในหม้ออยู่ตรงนั้น
เธอตักมันขึ้นมานิดหน่อย ยื่นคอออกไปราวกับต้องการชิมรสของมัน ลำคอสีขาวครึ่งหนึ่งเผยออกมาภายใต้แสงไฟสีเหลืองอันอบอุ่น ผมสีดำหลายเส้นปกคลุมลงมาช้าๆ ตามการเคลื่อนไหวเบาๆ
ในใจของลู่จิ่งเซินรู้สึกคันเล็กน้อย โบกมือให้ป้าเฉินออกไปก่อน แล้วจึงเดินเข้าไปไม่ส่งเสียง
วันนี้จิ่งหนิงต้มซุปบีทรูท เธอรู้สึกว่า ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร ก็ไม่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ในการกินได้
ด้วยเหตุนี้ขณะที่กำลังจะชิมรสชาติ เธอก็รู้สึกได้ว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้ข้างหลัง
เธอยังคิดว่าเป็นคนรับใช้ในห้องครัว ดังนั้นจึงไม่ได้หันไปมอง พูดขึ้นมาว่า : “กี่โมงแล้วเนี่ย? ถ้าใกล้เวลาแล้วก็ยกอาหารไปเสิร์ฟเถอะ น้ำซุปนี้ยังไม่ได้ที่ ต้องต้มอีกสักหน่อย……”