บทที่139 โชคชะตาลิขิต
หลังจากที่คุยกันเสร็จแล้ว เนื่องจากมันคงต้องใช้เวลาซักพักหนึ่งถึงจะหาเจอ ฉะนั้นถ้าจะให้ยืนรออยู่ที่หน้าประตูอยู่ตลอดก็คงไม่ไหว
จิ่งหนิงเลยพาอานอานไปที่ห้องพักหลังเวที
ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงพักการแสดงพอดี หลินเทียนจึงลงมาจากเวทีแล้วใช้เวลาพักที่เหลืออีกสองนาทีไปเปลี่ยนชุดพร้อมกับหยิบขวดน้ำไปดื่มที่นั่น
เขาเห็นเธออุ้มเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามา แถมเด็กคนนั้นยังเรียกเธอว่าหม่ามี๊อยู่เต็มปากเต็มคำด้วยเสียงหวาน ลูกตาเขาแทบจะถลนออกมาจากเบ้าเลยทีเดียว
“จิ่งหนิง อย่าบอกนะว่า นี่ลูกคุณ?ผมรู้แค่ว่าคุณแต่งงานแล้ว แต่ไม่ยักจะรู้เลยว่าลูกคุณโตขนาดนี้แล้ว?”
จิ่งหนิงมองค้อนเขาไปหนึ่งที “นายไม่พูดก็ไม่มีใครว่านายเป็นใบ้หรอกนะ”
“นี่ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ งั้นสรุปคุณไปเอายัยหนูน้อยนี่มาจากไหน? ”
จิ่งหนิงเอา“ยัยหนูน้อย”ที่เขาเรียกวางลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็ส่งคนออกไปซื้อเครื่องดื่มที่เด็กชอบกินมา แล้วพูดอธิบายขึ้น “เป็นเด็กที่มีโชคกับฉันมากๆคนหนึ่ง ฉันเจอหล่อนมาสองครั้งแล้ว แถมทั้งสองครั้งก็เป็นการพบกันเพราะหล่อนหลงกับผู้ปกครองด้วย เพราะงั้นในเมื่อเจอหล่อนแล้วฉันก็คงปล่อยหล่อนไว้ข้างนอกคนเดียวไม่ได้หรอก?อีกอย่างฉันส่งคนออกไปตามหาผู้ปกครองของหล่อนแล้วล่ะ แค่พาหล่อนมาพักอยู่ในนี้ก่อนเท่านั้นเอง”
หลินเทียนเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งทันที
แต่ก็ถามขึ้นด้วยความสงสัยอีกครั้ง “แต่ว่าทำไมหล่อนถึงเรียกคุณว่าหม่ามี๊ล่ะ?”
ไม่คุยเรื่องนั้น ก็ถามเรื่องนี้อยู่ดี จิ่งหนิงรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
คงมีแค่ผีเท่านั้นแหละที่รู้ว่าทำไมหนูน้อยคนนี้ถึงเรียกเธอว่าหม่ามี๊ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน แถมหล่อนยังเรียกแบบนี้มาตลอดจนถึงตอนนี้ด้วย!
“อานอาน จากนี้ไปพวกเราเปลี่ยนชื่อเรียกกันหน่อยดีไหมคะ?”
อานอานกระพริบตาคู่สวยที่เปียกแฉะไปด้วยน้ำตาแล้วถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะคะ?”
“ก็เพราะว่าฉันไม่ใช่แม่ของหนู ถ้าหนูเรียกฉันแบบนี้ แม่แท้ๆของหนูมาได้ยินเข้าจะเสียใจเอานะ!หนูไม่อยากให้หม่ามี๊ของหนูเสียใจใช่ไหมล่ะ?”
อานอานทำปากเบ้ออกมาทันที
“แต่ว่าหนูไม่มีแม่แท้ๆนี่นา!”
จิ่งหนิงได้แต่อึ้ง
หลินเทียนที่อยู่ข้างๆก็พลอยอึ้งไปด้วย
ใครจะคิดล่ะว่าเด็กน้อยที่น่ารักขนาดนี้จะไม่มีแม่
จิ่งหนิงรู้สึกเหมือนถูกบีบหัวใจอย่างแรงอยู่ข้างใน มันเจ็บปวดรวดร้าวไปหมด
เธอรีบโผเข้าไปกอดหนูน้อยที่ยืนน้ำตาคลออยู่ตรงหน้าทันทีแล้วใช้มือตบเบาๆที่หลังเพื่อเป็นการปลอบ “อานอานเป็นเด็กดี อานอานไม่ร้องนะ ฉันผิดเอง จากนี้ไปอานอานอยากเรียกฉันว่าอะไรก็เรียกได้ตามสบายเลย ไม่เป็นไรนะ”
อานอานร้องสะอื้นออกมาเบาๆสองทีแล้วเช็ดน้ำตาบนหน้าออกพร้อมกับมองไปที่จิ่งหนิงอย่างน้อยใจ
“งั้นต่อไปนี้หนูจะไม่เรียกคุณว่าหม่ามี๊แล้ว หนูจะเรียกคุณว่าคุณน้า ได้ไหมคะ?”
จิ่งหนิงรีบพยักหน้ารับ
“ได้เลย ไม่มีปัญหา”
หลินเทียนยิ้มพูดขึ้น “ยัยหนูนี่น่ารักมาก ความจริงนี่ถ้าไม่รู้ว่าพวกคุณทั้งสองเป็นอะไรกัน ดูจากหน้าตาหล่อนกับคุณก็ดูคล้ายๆกันอยู่นะ ทำไมคุณไม่รับหล่อนมาเป็นลูกบุญธรรมซะล่ะ ยังไงหล่อนก็ชอบคุณมากขนาดนี้ ”
จิ่งหนิงหันไปมองค้อนเขาทันที
“หยุดพูดมั่วๆได้แล้ว!”
แม้ว่าเธอจะชอบอานอานมาก แต่ยังไงก็เธอก็ไม่ได้สนิทกับคนในครอบครัวหล่อน อีกอย่างเรื่องแบบนี้ต้องได้รับความยินยอมจากทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะทางฝ่ายพ่อแม่ของอานอาน
หลินเทียนฉีกยิ้มกว้างแล้วก้มตัวลงไปพูดแหย่อานอาน
“หนูน้อย หนูรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?”
อานอานเอียงหัวมองหลินเทียนแล้วกระพริบตาปริบๆ
“หนูเคยเห็นคุณ คุณคือพี่หลินเทียน”
หลินเทียนหัวเราะร่าออกมาทันที
“อื้ม ใช่ ฉันคือพี่หลินเทียน หึหึ หนูน้อยนี่ปากหวานจริงเชียว”
เขาใช้แขนกระแทกไปที่จิ่งหนิงเบาๆ “ได้ยินไหม?หล่อนเรียกคุณว่าคุณน้า แต่กลับเรียกผมว่าพี่ชาย หึหึ หนิงหนิงคุณกลับมาได้สองปีแล้วก็ควรจะดูแลตัวเองให้ดีสิ อย่าให้ใครเขามาเข้าใจผิดแบบนี้!”
จิ่งหนิงยื่นมือไปบิดเอวเขาอย่างแรง
“หลินเทียนคุณคันตรงนี้ใช่ไหมล่ะ?”
หลินเทียนตะโกนร้องโอดโอยพร้อมกับเอี้ยวตัวหนี จากนั้นก็หัวเราะร่าแล้วพูดขึ้น “อย่าโกรธไปเลย ผมแค่ล้อเล่นเอง คุณยังสวยเหมือนเดิม ในใจผมนี่ไม่มีใครเทียบคุณได้เลยนะ!”
จิ่งหนิงกัดฟันแน่น “อย่าดีใจให้มันมากนัก!ยังไงฉันก็ไม่มีหลายชายโตเท่าคุณขนาดนี้หรอก!”
พอได้ยิน หลินเทียนก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
เขาไม่รู้ว่าจิ่งหนิงหมายถึงอะไรจนกระทั่งช่างแต่งหน้าที่กำลังเติมหน้าให้เขาอยู่หัวเราะออกมา
อานอานเรียกจิ่งหนิ่งว่าคุณน้า แล้วเรียกเขาว่าพี่ชาย ก็หมายความว่าเขาเด็กกว่าจิ่งหนิงใช่ไหม?ถ้างั้นที่จิ่งหนิงเรียกเขาว่าหลานชายนั่นมันก็ไม่แปลก!
พอคิดได้ หลินเทียนก็หน้ามุ่ยขึ้นมาทันที
“หนูอานอาน จากนี้ไปถ้าเจอฉันให้เรียกว่าคุณลุงนะ คุณลุงหลินเทียนแบบนี้ เข้าใจไหม?”
อานอานยิ้มตาหยีขึ้น “พี่หลินเทียนเป็นถึงไอดอลนะ ไอดอลกลัวการแก่ที่สุด ถ้าหนูเรียกคุณว่าคุณลุง มันก็แปลว่าคุณแก่แล้วน่ะสิ?ฉะนั้นหนูคงเรียกคุณแบบนั้นไม่ได้หรอก”
หลินเทียน “……”
ชิ!
ยัยเด็กนี่รู้ดีจริงๆ?
สุดท้ายเขาก็หมดคำจะพูด เขาจึงทำได้แต่กำหมัดแน่นแล้วกัดฟันพูดออกไป “ใครบอกว่าฉันเป็นไอดอล ฉันเป็นพวกที่มีศักยภาพต่างหาก!เห็นไหม?ศักยภาพของฉันน่ะ!”
ทันใดนั้นทีมงานก็เข้ามาเร่งเขา
“พี่เทียน หมดเวลาพักแล้ว แฟนคลับด้านนอกกำลังเร่งให้คุณออกไป รีบขึ้นเวทีเถอะ!”
หลินเทียนร้องหึออกมาเสียงดัง แล้วเดินย้ำเท้าออกไปอย่างเย่อหยิ่ง
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ทางฝ่ายประชาสัมพันธ์ก็โทรมาบอกเธอว่ามีคนแก่คนหนึ่งมาขอร้องให้พวกหล่อนตามหาเด็กให้ พวกหล่อนจึงสอบถามข้อมูลอยู่พักหนึ่งจึงคิดว่านี่คงจะเป็นคุณยายที่อานอานพูดถึง
ดังนั้นจิ่งหนิงจึงอุ้มอานอานไปที่หน้าเคาน์เตอร์ พอไปถึงก็เห็นหญิงชราผมหงอกที่เคยเจอเมื่อครั้งก่อนยืนรออยู่ด้วยท่าทางร้อนใจ
หญิงชรามีอายุค่อนข้างเยอะ ดูๆแล้วคงจะประมาณซักหกสิบเจ็บสิบปีได้ แต่อาจจะได้รับการดูแลอย่างดี ร่างกายและกระดูกอะไรจึงยังคงดูแข็งแรง
พอเห็นเป็นหญิงชราแบบนี้จิ่งหนิงเลยไม่พูดตำหนิอะไรออกไป ถ้าจะโทษก็คงต้องโทษพ่อแม่ของหล่อนแล้วล่ะที่ไร้ความรับผิดชอบปล่อยให้เด็กและคนแก่ออกมาข้างนอกกันเอง เรื่องนี้โทษหญิงชราทั้งหมดไม่ได้
เธอปล่อยอานอานลง เด็กน้อยรีบวิ่งเข้าไปหาหญิงชราด้วยความดีอกดีใจ
“คุณยาย!”
“อ้ะ”
หญิงชรากอดหล่อนไว้แน่นอย่างดีใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นยิ้มให้จิ่งหนิง
“แม่สาวน้อยเป็นคุณอีกแล้วที่หาอานอานเจอ ดูเหมือนว่าพวกเราจะมีโชคชะตาต่อกันจริงๆนะ!”
จิ่งหนิงฝืนยิ้มขึ้น “ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้เอง”
“สำหรับคุณคงเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่นี่มันช่วยฉันได้มากเลยล่ะ!ฉันไม่มีอะไรจะขอบคุณคุณเลย งั้นเอาอย่างนี้ อีกเดี๋ยวคุณว่างไหม ให้ฉันเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทนจะได้ไหม?”
จิ่งหนิงรีบปฏิเสธทันควัน “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ตอนบ่ายหนูมีธุระต้องไปทำต่อ……”
“คุณน้าหนิงหนิง ไปกินข้าวกับพวกเราเถอะนะ หนูอยากกินข้าวกับคุณน้า……”
ยังไม่ทันได้พูดจบก็ถูกหนูน้อยพูดดักไว้ซะแล้ว
หล่อนดึงมือจิ่งหนิงไว้พลางแกว่งไปแกว่งมา แล้วเงยหน้ามองเธอด้วยดวงตาสีดำกลมโต ท่าทางน่าสงสาร ไม่ว่าใครก็คงปฏิเสธไม่ลงหรอก