บทที่ 140 เธอแต่งงานแล้ว
หัวใจของจิ่งหนิงละลายทันที
มองมาที่หญิงชราก็เห็นแววตาที่วิงวอนอีกครั้ง แววตาทั้งของเด็กและคนแก่เช่นนี้ใครจะต้านทานไหว?
สุดท้ายจิ่งหนิงก็ล้มเลิกนัดทานข้าวตอนกลางคืนทิ้งไป ขับรถพาคนแก่กับเด็กไปที่ร้านอาหารของญาติแห่งหนึ่งใจกลางเมือง
ซึ่งร้านนี้เน้นตกแต่งไปในแนวอบอุ่น จิ่งหนิงก็เพิ่งจะมาเป็นครั้งแรกเหมือนกัน
นอกจากมีพวกเธออยู่ภายในร้านแล้ว ยังมีผู้ปกครองจำนวนมากได้พาลูกหลานของตนมาทานข้าวในร้านแห่งนี้
โต๊ะอาหารตั้งอยู่มุมหนึ่ง ส่วนอีกมุมหนึ่งก็ได้จับวางสวนสนุกขนาดย่อมเอาไว้
หลังจากที่สั่งอาหารไปเสร็จสรรพ เพราะต้องรอสักพักถึงจะมาเสิร์ฟอาหาร จิ่งหนิงจึงให้กำลังใจอานอานลองไปเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ
ที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
แต่ทว่าอานอานกลับส่ายหัว พลางมองไปยังกลุ่มเด็กๆที่รวมตัวเล่นกันอย่างครึกครื้นด้วยสีหน้ารังเกียจและป้องกันตัว
จิ่งหนิงก็พบว่าเด็กคนนี้หากดูจากผิวเผินจะเป็นคนร่าเริงสดใส แต่นิสัยที่แท้จริงค่อนข้างเก็บตัวไม่น้อย
ไม่รู้ว่าเด็กอย่างนี้ พ่อแม่จะเป็นเช่นไรกัน
และตั้งแต่ต้นเธอก็ยอมเข้าใกล้ตน จึงเป็นสาเหตุทำให้ในใจของจิ่งหนิงจุดประกายความรู้สึกที่แปลกประหลาดบางอย่างขึ้นมา
“สาวน้อย คุณดูอานอานของพวกฉันชมชอบคุณมากเลย ปกติเธอมักไม่ชอบเข้าใกล้กับคนแปลกหน้า แม้กระทั่งคนในบ้าน นอกจากคนที่สนิทชิดเชื้อไม่กี่คนแล้ว ก็ไม่ค่อยจะยินยอมให้คนนอกเข้าใกล้ตัวเธอได้เลย แต่ตอนที่เธอเจอคุณครั้งแรกก็ชอบคุณมากเลยทีเดียว แสดงว่าพวกคุณมีวาสนาต่อกันจริงๆ”
คนแก่เอ่ยเนิบช้า ภายในดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่เบิกบาน
จิ่งหนิงก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ หันหน้าไปมองอานอาน ก่อนจะแตะผมบนหัวของเธออย่างอ่อนโยน
“ใช่ค่ะ หนูก็รู้สึกว่ามีวาสนากันมาก และที่สำคัญไม่เพียงแต่เธอชื่นชอบหนูเท่านั้น หนูยังชื่นชอบเธออีกด้วย”
อานอานได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็ดีอกดีใจจนต้องหรี่ตามองเธอ คล้ายกับลูกแมวน้อยที่กำลังออดอ้อนออเซาะอยู่
จิ่งหมิงถูกความน่ารักของเธอกระโจนเข้าใส่จนจะเลือดไหลเสียแล้ว!
หญิงชราปริ่มยิ้ม “พูดมาถึงตรงนี้ คุณได้ช่วยพวกเรามาสองครั้งสองหนแล้ว ฉันยังไม่รู้ว่าคุณชื่ออะไรเลย”
“จิ่งหนิงค่ะ จิ่งที่หมายถึงทิวทัศน์ หนิงที่หมายถึงสงบสงัดค่ะ”
“ออ เป็นชื่อที่เพราะมาก คุณจิ่งดูแล้วอายุยังน้อยมีแฟนหนุ่มหรือยัง!”
จิ่งหนิงพูดความจริงอย่างชัดเจน
“หนูแต่งงานแล้วค่ะ”
“หา?”
ดูท่าทางหญิงชราแล้วคงจะประหลาดใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็ยิ้มพลางเอ่ยพูดว่า
“แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร สำหรับผู้หญิงที่เลอเลิศอย่างคุณต้องมีผู้ชายมาชอบไม่น้อยเลย!ไม่รู้ว่าใครมีบุญได้แต่งงานกับคุณ”
จิ่งหนิงไม่อยากเปิดเผยข้อมูลของลู่จิ่งเซินสู่ภายนอกเท่าใดนัก ฉะนั้นจึงพูดอย่างยิ้มแย้มว่า “เขาดีมากค่ะ หนูเองที่เป็นฝ่ายปีนไต่ไปหาเขา”
“ไม่ใช่หรอกไม่ใช่หรอก ฉันดูจากท่าทางของหนูก็หนูว่าไม่ธรรมดา มีสง่าสูงส่ง ไม่แน่ว่าเขาจะเป็นฝ่ายปีนไต่คุณก็ได้”
จิ่งหนิงอดหัวเราะไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
อาหารที่สั่งไปยกมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว เดิมทีตอนที่จิ่งหนิงกินข้าวจะไม่ชอบพูดคุย แต่จนปัญญาเพราะหญิงชราชวนเธอคุยอยู่ตลอดเวลา เธอจึงได้แต่กินไปตอบรับไปด้วย
“คุณจิ่ง ผู้หญิงที่หน้าตาดีอย่างคุณ สามีของคุณต้องดีกับคุณแน่ๆเลยใช่ไหม!พวกคุณคิดจะมีลูกกันไหม?”
จิ่งหนิงเกือบสำลักข้าวในปาก รีบดื่มน้ำเปล่า ก่อนที่จะตอบว่า “ ตอนนี้ยังไม่ได้คิดค่ะ”
“อย่างนี้เหรอ!”
ไม่รู้ว่าจิ่งหนิงเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า เพราะรู้สึกว่าหลังจากที่ตอบคำถามจบ ระหว่างคิ้วของคนแก่ท่านนี้ก็ปรากฏความเศร้าหมองขึ้น
เธอรู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มอึดอัดเล็กน้อย รีบเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาขึ้นมาทันที
“ใช่แล้วค่ะท่านมาท่องเที่ยวที่เมืองจิ้นกับอานอานตามลำพังเหรอคะ?ข้างกายยังมีญาติพี่น้องหรือเพื่อนไหมคะ?”
ก่อนหน้านี้เธอก็เคยได้ยินอานอานบอกว่า เธอกับย่าทวดมาท่องเที่ยวในเมืองจิ้น
คนแก่ส่ายหัว“ไม่มีนี่ มีแค่พวกเราสองคน”
จิ่งหนิงขมวดคิ้วด้วยสัญชาตญาณ
“ขออภัยที่หนูขอพูดตามตรงนะคะ ถึงแม้หนูจะไม่รู้จักพ่อของอานอาน แต่เขาปล่อยให้ท่านที่อายุมากแล้วพาเด็กเล็กออกมาท่องเที่ยวถือว่าประมาทเกินไปแล้วนะคะ หากระยะนี้เกิดเรื่องขึ้น จะทำยังไงล่ะคะ?”
คนแก่รีบอธิบายทันควันอย่างยิ้มชื่น
“ไม่หรอก พวกเราระวังตัวมาก ยิ่งไปกว่านั้นบนโลกนี้มีคนดีอยู่เยอะ หากพบเจอปัญหาจริงๆก็ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นได้อยู่
อย่างครั้งนี้ก็ไม่ใช่พบคนใจดีอย่างคุณจิ่งหรอกเหรอ?”
จิ่งหนิงมองท่าทางมองโลกในแง่ดีของคนแก่ก็เม้มปากไม่ได้พูดอะไร
ความมืดมนที่เลวร้ายบนโลกนี้ เธอเคยลิ้นลองมามากแล้ว เพียงแต่ไม่อยากพูดต่อหน้าอานอานก็เท่านั้น
คนแก่ราวกับทายความคิดของเธอออก ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายว่า
“อันที่จริงฉันก็อยากให้พ่อของเธอพาเธอออกมา เพียงแต่พ่อของเธองานยุ่งมาก ส่วนเด็กก็อยากออกมาเที่ยวเล่น ยายแก่ๆอย่างฉันจึงต้องรับหน้าที่พาออกมาแทน”
จิ่งหนิงยิ้ม พูดอย่างเข้าใจ “ลำบากท่านแล้ว แต่ครั้งหน้าพยายามให้ความสำคัญหน่อยนะคะ เพราะอานอานยังเด็ก หากพลั้งพลาดจากกันแล้วไปเจอคนไม่ดีเข้าก็จะยุ่งกันใหญ่เลยนะคะ”
คนแก่พยักหน้ารัวๆ“ฉันรู้อยู่ ขอบคุณคุณจิ่งที่คอยช่วยเตือน”
จิ่งหนิงไม่ได้พูดอะไรอีก ทั้งสามคนกินข้าวอย่างรวดเร็ว
หลังจากทานข้าวเสร็จ หญิงชราก็อาสาเป็นเจ้ามือเอง
แต่คว้าหากระเป๋าอยู่แสนนานก็ไม่เอาออกมาเสียที ไม่เพียงแต่เท่านี้ สีหน้าก็ได้เปลี่ยนไปด้วย
“จบกัน กระเป๋าสตางค์ของฉันเหมือนจะหายแล้ว!”
สีหน้าของจิ่งหนิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“หายตอนไหนคะ ท่านรู้สึกตัวไหมคะ?”
หญิงชราส่ายหน้า
ทั้งสามคนเดินย้อนกลับไปยังที่นั่งก่อนหน้านี้หนึ่งรอบ แต่ก็หาไม่เจอ หญิงชราพูดอย่างร้อนรนว่า “คุณดูสิ เกรงใจจริงๆเลยนะ เดิมทีฉันคิดว่าจะเลี้ยงขอบคุณคุณเสียหน่อย สุดท้ายก็ทำกระเป๋าตังค์หายเฉย เออ……”
จิ่งหนิงเอ่ยว่า”ไม่เป็นไรค่ะ ข้าวมื้อเดียวเองหนูเลี้ยงพวกคุณก็ได้แล้วค่ะ”
เธอพูดพลางรีบให้บริกรไปรูดบัตรของตน
จากนั้นก็ถามขึ้นมาอย่างเอาใจใส่ว่า “ท่านต้องการให้หนูไปแจ้งความเป็นเพื่อนไหมคะ?ด้านในกระเป๋าตังค์น่าจะมีเอกสารสำคัญอยู่นะคะ!ถ้าเป็นเช่นนี้ เกรงว่าต้องไปแจ้งหายด้วยค่ะ เพื่อเลี่ยงความเสียหายเมื่อตกไปอยู่ในมือของผู้ประสงค์ร้ายนะคะ”
หญิงชรารีบโบกมือ
“ไม่ต้องไม่ต้อง ด้านในมีเพียงเงินสดนิดหน่อย ฉันเก็บใบรับรองไว้ที่โรงแรม!และไม่มีของสำคัญอะไร ฉะนั้นไม่ต้องไปแจ้ง
ความหรอก”
จิ่งหนิงเห็นสถานการณ์ฝืนบังคับก็ไม่ดี จึงได้แต่พยักหน้า
“เย็นมากแล้ว หนูส่งพวกคุณกลับเข้าโรงแรมนะคะ”
“ดีเลย ถ้างั้นก็รบกวนคุณจิ่งด้วย”
จิ่งหนิงขับรถพาคนแก่หนึ่งกับเด็กหนึ่งไปยังโรงแรมที่พักของพวกเธอ
จิ่งหนิงอย่างประหลาดใจเมื่อพบว่าโรงแรมที่พวกเธอเข้าพักนั้นเป็นโรงแรมห้าดาวที่หรูหราที่สุดในเมืองจิ้น
ก่อนหน้านี้เธอฟังคนแก่บอกว่าพ่อของอานอานงานยุ่ง แม้กระทั่งเวลาพาอานอานออกมาท่องเที่ยวก็ไม่มี และคิดเชื่อมโยงว่าอานอาน
ไม่มีแม่
จึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องทำงานอย่างหนักหน่วงเพื่อประทังชีวิตอย่างยากเย็น แต่เมื่อเห็นโรงแรมที่ทั้งสองคนเข้าพัก จึงคิดว่าคาดการณ์
ผิดเพี้ยนไปจากความจริงเสียแล้ว
แต่ทว่าเธอก็ไม่ได้คิดอะไรมา เพราะคนแก่หนึ่งกับเด็กหนึ่ง เวลาออกมาก็ต้องเอาความปลอดภัยเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว ฉะนั้นพักอยู่ใน
โรงแรมหรูก็ไม่ถือว่าเป็นอะไร
จิ่งหนิงส่งพวกเธอเข้าไป คาดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเดินมาถึงประตูทางเข้าก็ถูกพนักงานขัดทางเอาไว้เสียแล้ว