บทที่ 142 รูปหล่อมาก
เห็นใจก็ส่วนเห็นใจ ภายใต้สายตาที่เข้มงวดของหญิงชรา ป้าหลิวก็ไม่กล้าพูดอะไร。
ไม่นานนัก ลู่จิ่งเซินก็กลับมา。
เขาได้รับข้อความจากจิ่งหนิง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่คิดว่ามีเพื่อนของเธอมาพักชั่วคราว。
เรื่องที่อีกฝ่ายเป็นใครนั้น เขาไม่ได้สนใจ。
และ ความคิดพวกนั้น ก็ต้องพังทลายลง ทันทีที่เขาได้ก้าวเท้าเข้าประตูบ้านไป。
ในห้องรับแขก หญิงชรากับอานอานนั่งอยู่บนโซฟา เพราะยังไม่ถึงเวลาเข้านอน จิ่งหนิงก็กำลัง
อาบน้ำ หญิงชราเลยนั่งเล่นเกมแกะเชือกเป็นเพื่อนอานอานอยู่ตรงนั้น。
ป้าหลิวยื่นมองพวกเขาอยู่ด้านข้างด้วยรอยยิ้ม ในทีวีก็กำลังฉายการ์ตูนที่อานอานชอบดูอยู่
บรรยากาศดูอบอุ่นและเข้ากันเป็นอย่างมาก。
“พวกคุณ……”
“เอ๋อ คนนี้ก็คือสามีของคุณจิ่งสินะ!รูปหล่อมากเลย!”
หญิงชราลุกขึ้นมาจากโซฟาทันที แล้วมองลู่จิ่งงเซินด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม。
ลู่จิ่งเซิน:“????”
ป้าหลิวกระตุกที่มุมปากทีหนึ่ง แล้วรีบเดินเข้าไปรับเสื้อคลุมที่อยู่บนมือลู่จิ่งเซินมา。
“คุณผู้ชาย กลับมาแล้วเหรอค่ะ。”
ลู่จิ่งเซิงสูทหายใจลึกๆไปทีหนึ่ง ถึงระงับความตกใจที่อยู่อยู่ในใจลงได้。
กำลังคิดที่จะพูดอะไรบางอย่าง เสียงของจิ่งหนิงก็ดังลอยมาจากทางบันได。
“ลู่จิ่งเซิน คุณกลับมาแล้วเหรอ。”
เธอเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ บนตัวสวมชุดนอนอยู่ ผมยังเปียกอยู่และใช้ผ้าขนหนูคลุมเอาไว้ ก็รีบร้อน
เดินลงมาจากชั้นบน。
“แนะนำให้คุณรู้จักหน่อย คนนี้คืออานอาน คนนี้คือคุณย่าทวดของอานอานนายหญิงหชิน
พวกเขาเป็นเพื่อนใหม่ที่ฉันเพิ่งรู้จัก คืนนี้จะมาค้างที่นี่คืนหนึ่ง คงไม่มีปัญหานะ?”
ที่จริงจิ่งหนิงกังวลมากว่าลู่จิ่งเซินจะปฏิเสธ。
เพราะจริงๆแล้ว ผู้ชายคนนี้ดูแล้วอ่อนโยน แต่ความจริงบางครั้งก็เข้าใจอะไรยาก。
โดยเฉพาะพื้นที่ส่วนตัวอย่างที่บ้าน เธอพบว่าเขาไม่ชอบให้มีคนนอกเข้ามา。
เหมือนคราวที่แล้วที่หัวเหยามาหา ลู่จิ่เซินก็ไม่พอใจ。
ลู่จิ่งเซินสูทหายใจเข้าลึกอีกทีหนึ่ง。
เขามองหญิงชราทีหนึ่ง หญิงชรายังคงทำสีหน้ายิ้มแย้ม และมีเพียงคนที่คุ้นเคยกัน ที่จะสามารถ
มองเห็นสัญญาณเตือนและดุร้ายนั้น ที่แสดงผ่านส่วนลึกของนัยน์ตาชราคู่นั้นที่แหลมคม。
แล้วเขาก็หันไปมองเจ้าเด็กอ้วนคนนั้นที่นั่งอยู่บนโซฟาทีหนึ่ง。
เจ้าเด็กอ้วนผิวขาวราวกับหิมะ มีดวงตากลมโตที่เป็นประกายระยิบระยับ เหมือนตุ๊กตาเซรามิดที่ดูหรูและบอบบาง กระพริบตาแล้วมองเขาอย่างคาดหวัง。
บนใบหน้าไม่มีความรู้สึกผิดหลังทำเรื่องที่ไม่ดีเลยสักนิด。
ในใจของลู่จิ่งเซินสับสนเล็กน้อย。
จิ่งหนิงเห็นเขาไม่พูดอะไร เลยรู้สึกว่าเขากำลังไม่พอใจ แต่เห็นแก่หน้าเธอเลยไม่อยากพูดต่อหน้าพวกเขา。
เธอก็เลยขยับฝีเท้า เดินเข้าใกล้ดึงแขนเขาแล้วส่ายไปมา。
พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน:“พวกเขาน่าสงสารมาก ที่บ้านไม่มีคนดูแล กระเป๋าก็มาหายตอนออกมาเที่ยวอีก คนหนึ่งก็คนแก่อีกคนก็เด็กบนตัวก็ไม่มีเงิน พักอยู่ข้างนอกก็ไม่สะดวก……”
ลู่จิ่งเซินหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา。
เอียงหน้ามองจิ่งหนิง “น่าสงสาร?ไม่มีคนดูแล?”
จิ่งหนิงพยักหน้าอย่างจริงจัง。
ลู่จิ่งเซิงพยายามมากที่จะไม่แสดงความไม่พอใจของตัวเองออกมา。
“ดีมาก พวกเขาอยากอยู่ก็ให้พวกเขาอยู่ไปเถอะ!คุณมากับผม。”
พูดแล้ว ก็เดินตรงขึ้นชั้นบนไป。
จิ่งหนิงมองดูใบหน้าที่บึ้งตึงของเขา และฝีเท้าที่เร็วราวกับสายลม แล้วเอามือก่ายหน้าผากอย่างปวดหัว。
“คุณจิ่ง พวกเรามารบกวนหรือเปล่า?”
หญิงชราถามอย่างไม่สบายใจเล็กน้อย。
จิ่งหนิงรีบยิ้มขึ้น。
“เปล่าค่ะ เขาก็นิสัยแบบนี้แหล่ะค่ะ ภายนอกเย็นชาภายในอ่อนโยน ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณยายอยากคิดมากนะค่ะ。”
“จ้ะ ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วจ้ะ。”
“อืม นี้ก็ดึงแล้ว พวกคุณยายก็รีบพักผ่อนเถอะค่ะ ฉันขึ้นไปก่อนนะค่ะ。”
“จ้ะ ได้จ้ะ。”
จิ่งหนิงปลอบใจหญิงชราเสร็จ ก็รีบเดินตามขึ้นไปชั้นบน。
ในห้องนอนบนชั้นสอง。
ลู่จิ่งเซินถอดเน็กไทออก ทันทีที่หันหลังมา ก็เห็นหญิงสาวที่ก้มตัวแล้วเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง。
มองดูเธอที่ทำตามท่าทางของเขา ทันใดนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าควรโมโหหรือหัวเราะดี。
นั่งลงบนเตียง จากนั้นก็กวักมือเรียกเธอ。
“มานี่!”
จิ่งหนิงรู้ว่าเขาโกรธ เวลานี้ก็เลยไม่กล้าขัดเขา ตอบรับ“อืม”ไปคำหนึ่ง แล้วก็เดินเข้าไป。
เพิ่งจะเดินเข้าไป ข้อมือก็รู้สึกถึงความแน่น ร่างก็ถูกเขาดึงไปนั่งอยู่บนขาของเขาแล้ว และร่างก็ล้มเข้าไปในอ้อมกอดเขาทันที。
จิ่งหนิงพูดเบาๆประโยคหนึ่ง มือทั้งคู่กอดคอเขาไว้แน่นทันที ถามอย่างเขินอาย:“จะทำอะไร?”
ลู่จิ่งเซิงมองเธอด้วยสายตาแน่นิ่ง “คุณเจอพวกเขาได้ยังไง?”
จิ่งหนิงอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะเรื่องนี้ แล้วเธอก็พูดเล่าเหตุการณ์ที่เจออานอานทั้งสองครั้งให้เขาฟัง。
ก็ไม่รู้ว่าเธอรู้สึกไปเองหรือเปล่า รู้สึกว่า เธอยิ่งพูด สีหน้าของเขาก็ยิ่งดูแย่ลง。
เธอคิดแค่ว่าคนๆนี้ไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน แต่เธอชอบอานอานมากจริงๆ คงปล่อยให้เด็กเล็กขนาดนี้ออกไปนอนพักข้างนอกลางดึงแบบนี้ไม่ได้。
เพราะอย่างนั้นเธอเลยกอดคอเขาไว้แล้วพูดขอร้อง:“แค่คืนเดียวนะ!ฉันรับรอง แล้วพรุ่งนี้จะช่วยโทรหาครอบครัวของพวกเขา จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้คุณแน่。”
ลู่จิ่งเซินมองเธอ แล้วหัวเราะอย่างเย็นชาทีหนึ่ง。
ไม่รู้ว่าควรหัวเราะในความใสซื่อ หรือว่าความน่ารักของเธอดี。
สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่พยักหน้า แล้วหยิกเบาๆทีหนึ่งบนเอวของเธอ。
“ได้ แล้วคุณจะให้รางวัลผมยังไง?”
จิ่งหนิงหน้าแดง。
รู้ว่าเขาอยากได้อะไร ชิดหน้าเข้าไปจูบบนริมฝีปากของเขาอย่างรวดเร็วทีหนึ่ง。
ขณะที่กำลังจะถอยกลับ ทันใดนั้นฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งก็จับที่หัวของเธอเอาไว้ เขาดึงเธอเข้าไปในอ้อมกอด แล้วเพิ่มแรงจูบให้จูบนี้ลึกซึ้งเข้าไปอีก。
เมื่อจบการจูบ จิ่งหนิงก็ลืมตาขึ้นอย่างเหนื่อยหอบ。
สิ่งที่เห็นคือใบหน้าที่หล่อเหลาของชายหนุ่ม ลึกเข้าไปในดวงตา ก็มีความอ่อนไหวจางๆอยู่。
“ยังเหลืออีกครึ่งเดือน。”
จิ่งหนิงอึ้งไปเล็กน้อย ตั้งสติขึ้นเข้าใจในความหมายของเขา กัดริมฝีปาก。
ฟันที่ขาวใส่กัดลงริมฝีปากสีแดงระลื่น ราวกับลูกเชอร์รี่สีแดงที่เย้ายวนคน。
นัยน์ตาลู่จิ่งเซินดูหนักหน่วง ขยับในลำคอไปมาอีกครั้ง สุดท้ายก็กลั้นความต้องการลึกๆในใจไว้ได้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“คุณรับปากกับผมแล้ว ห้ามผิดคำพูด。”
จิ่งหนิงพยักหน้าเบาๆ。
ครึ่งชั่วโมงต่อมา จิ่งหนิงเดินออกมาจากห้องนอน ลงไปที่ห้องรับรองแขกชั้นล่าง。
ในห้อง อานอานก็อาบน้ำเสร็จภายใต้การดูแลของแม่บ้านแล้ว กำลังนอนอยู่บนเตียง รอให้เธอมาเล่านิทานให้ฟัง。
ตอนที่จิ่งหนิงเข้าไป ก็มองเห็นเจ้าเด็กอ้วนสวมชุดนอนสีชมพูขนปุย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกแม่บ้านไปหามาจากไหน แต่ก็ดูน่ารักดี。
ยิ่งขัดให้ผิวที่ขาวนุ่มราวหิมะอยู่แล้วของเจ้าเด็กอ้วน ดูเหมือนผิวของตุ๊กตาเซรามิกยิ่งขึ้น และดูขาวใส่อมชมพูไปทั้งตัว。
“ป้าหนิงๆ มาแล้วเหรอ!”
ชื่อที่เจ้าเด็กอ้วนเรียก เหมือนเรียกวามรู้สึกของเธอ。
หลังจากที่รู้ว่าเจ้าเด็กอ้วนไม่มีแม่ จิ่งหนิงก็เลยปล่อยให้เรียกแบบนั้น ยิ้มแย้ม แล้วเดินไปนั่งลงข้างเตียง。
“อืม ป้ามาแล้ว คืนนี้เสี่ยวอานอานอยากฟังนิทานอะไรล่ะ!”
“หนูอยากนิทานของราชินีน้ำแข็ง。”
“ราชินีน้ำแข็งอีกแล้วเหรอ!”
จิ่งหนิงพบว่า เจ้าเด็กอ้วนชอบราชินีน้ำแข็งมากจริงๆ ครั้งที่แล้วก็จะฟังเรื่องนี้。
ดีที่มีประสบการณ์มาครั้งหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นเวลาว่างยังเคยค้นหานิทานเรื่องนี้ในมือถือ ครั้งนี้ก็ถือว่าเล่าได้ดีควบถ้วนมากขึ้น。
เจ้าเด็กอ้วนซบในอกของเธอ แล้วฟังอย่างเงียบๆ ไม่นานก็นอนหลับไป。