บทที่143 วางใจอย่างหมดหวัง
จิ่งหนิงมองดูใบหน้าเด็กน้อยที่นอนอย่างเงียบสงบและสวยงาม ในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้น。
ดึงแขนออกอย่างเบามือ แล้ววางตัวเธอลง เด็กก็ร้องเรียกออกมาคำหนึ่งอย่างเลือนราง แล้วกอดแขนเธอไว้อย่างไม่รู้ตัว ร้องเรียกเบาๆ:“หม่ามี้——!”
จิ่งหนิงอึ้งไปเล็กน้อย รู้สึกปวดใจ。
ยิ่งรู้สึกว่าเด็กที่อยู่ตรงหน้าทั้งน่ารักและน่าสงสารเป็นอย่างมาก จึงนั่งต่ออีกครู่หนึ่ง ใช้มือตบเบาๆบนตัวของเธอ จนกระทั่งเธอหลับสนิท ถึงได้ดึงแขนออกมา ปิดไฟแล้วเดินออกไป。
นอกประตู นายหญิงหชินยื่นอยู่ตรงนั้น เห็นเธอเดินออกมา ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มทันที。
“อานอานนอนหลับไปแล้ว คุณยายไม่ต้องเป็นหวังนะค่ะ รีบพักเถอะค่ะ。”
หญิงชราพยักหน้า “แม่หนู หนูเป็นคนดีจริงๆ。”
จิ่งหนิงอึ้งไป แล้วก็ยิ้มขึ้น。
คนดีเหรอ?เธอไม่คิดว่าตัวเองเป็น。
แค่รู้สึกว่าถูกชะตากับเด็กคนนี้อย่างบอกไม่ถูก บางทีอาจเป็นเพราะเจอกันครั้งแรก เธอก็ดูจะชอบตัวเองมากล่ะมั้ง!
จิ่งหนิงไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากที่บอกลาหญิงชรา ก็กลับไปที่ห้องนอนของตัวเอง。
ในห้องนอนหลักบนชั้นสอง ลู่จิ่งเซิงกำลังส่งข้อความวีแชทให้หญิงชรา。
ลู่จิ่งเซิง:“คุณย่ากำลังทำอะไร?”
นายหญิงหชิน:“แกหุบปากไปเลยนะ!ถ้ากล้าพูดอะไรมาก ระวังฉันจะจัดการแก!”
ลู่จิ่งเซิง:“คุณย่า อยากเจอจิ่งหนิง ก็มาเจออย่างเปิดเผยก็ได้ ทำไมต้องพาอานอานมาเล่นละครตบตาแบบนี้?แล้วยังสอนให้อานอานโกหกอีก?”
นายหญิงหชิน:“แกจะไปรู้อะไร?ถ้าไม่ใช่เพราะฉันไม่ไว้ใจในสายตาแก แล้วจะลำบากถ่อมาช่วยแกลองใจถึงนี้ทำไม?เห่อ!คนเขาหวังดียังหาแล้วยุ่งอีก อกตัญญูเหมือนพ่อแกไม่มีผิด!”
ลู่จิ่งเซิน:“……”
ทำไมต้องลามไปถึงบนตัวพ่อ?
ลู่จิ่งเซิน:“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ย่าก็เจอแล้ว ก็น่าจะวางใจแล้ว?”
นายหญิงหชินส่งสติ๊กเกอร์ที่ยิ้มระลื่นกลับมา。
นายหญิงหชิน:“วางใจแล้ว คราวนี้วางใจจริงๆแล้ว ฉันเตือนเลยนะ หนิงๆเป็นผู้หญิงที่ดี แกห้ามรังแกเธอเด็ดขาด ถ้าให้ฉันรู้ว่าแกไม่ดีกับเธอ ดูสิว่าฉันจะจัดการแกยังไง!”
ลู่จิ่งเซิน:“……คุณย่าไปคิดก่อนเถอะว่าตัวเองจะอธิบายกับเธอยังไง!”
ลู่จิ่งเซินพูดจบ ก็ไม่ได้ตอบข้อความอีก。
และอีกด้านหนึ่ง หญิงชราเก็บมือถือ แล้วคิดถึงประโยคสุดท้ายที่ลู่จิ่งเซินพูด แล้วรู้สึกผิดเล็กน้อยอย่างบอกไม่ถูก。
หนิงๆอ่อนโยนขนาดนั้น มีเหตุผลและมีน้ำใจขนาดนั้น คงไม่ถือโทษโกรธเธอหรอก!
ถึงจะคิดแบบนั้น แต่ทำไมในใจกลับยิ่งอยู่ยิ่งกังวล?
อานอานไม่ได้หลับสนิท ตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ เห็นเธอยื่นทำหน้าไม่สบายใจ จึงเอื้อมมือไปหาเธอ。
“คุณย่าทวด。”
“จ้ะ อานอานทำไมตื่นแล้วล่ะ?”
อานอานกวาดตามองไปรอบๆทีหนึ่ง แล้วไม่เจอจิ่งหนิง เลยทำปากจู๋ “หม่ามี่ล่ะ?”
“หม่ามี่ไปหาแด๊ดดี้แล้ว เด็กดีหนูนอนที่นี่เถอะ คุณย่าทวดจะนอนเป็นเพื่อนหนูเอง อ๋อ。”
อานอานพริบตาไปมา。
“หม่ามี่ไปหาแด๊ดดี้ เพราะจะไปมีน้องชายให้หนูเหรอ?”
“ใช่แล้วใช่แล้ว อีกไม่นานหรอก หนูก็จะมีน้องชายตัวน้อยๆแล้ว。”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ เห็นแก่น้องชายของหนู ถ้าอย่างนั้นหนูก็จะไม่ไปหาแม่แล้ว。”
อานอานหลับไปอย่างสบายใจ หญิงชราก็ถึงได้โล่งอกไป แล้วก็รีบร้อนหยิบมือถือขึ้นส่งข้อความไปหาลู่จิ่งเซิน。
“จำไว้ พวกแกสองคนอายุไม่น้อยแล้ว รีบมีลูกกันอีกคนหนึ่ง!อานอานอยู่คนเดียวเหงาเกินไป น่าจะมีเพื่อนเล่นสักคนถึงจะถูก。”
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบกลับ。
วันรุ่งขึ้น。
รุ่งเช้า จิ่งหนิงก็ได้รับสายจากบริษัท มีศิลปินคนหนึ่งเกิดเรื่องด่วน ต้องรีบจัดการทันที。
ที่จริงวันนี้เธอคิดว่าจะจัดการเรื่องที่อานอานสองย่าหลานจะไปจากที่นี้ ตอนนี้คงจะต้องเอาแล้วก่อน ไปจัดการเรื่องของบริษัทก่อน。
ตอนที่ออกไป นายหญิงหชินมาส่งเธออย่างยิ้มแย้ม。
“ไม่ต้องรีบร้อน หนูไปจัดการเรื่องของหนูก่อน เสร็จแล้วค่อยช่วยจัดการให้เราก็พอแล้ว。”
ถึงแม้จิ่งหนิงจะรู้สึกว่าท่าทางของหญิงชราดูแปลกเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แล้วพยักหน้า。
วันนี้ลู่จิ่งเซินตั้งใจถ่วงเวลาไว้อยู่บ้าน ไม่ยอมออกไป จนกระทั่งจิ่งหนิงออกไป ถึงได้ทำหน้าเย็นชา แล้วมองสองย่าหลานที่อยู่ตรงหน้า พูดด้วยเสียงต่ำ:“พวกคุณย่าจะกลับเมืองหลวงเอง หรือจะให้ผมสั่งให้คนไปส่งพวกคุณย่า เลือกเอาเอง!”
หญิงชรามองดูท่าทางที่เย็นชาของเขา เบ้ปากอย่างไม่พอใจ。
“ฉันเพิ่งได้เจอหลานสะใภ้ฉัน ยังอยู่ที่นี้ไม่หนำใจเลย!จะไปตอนนี้ได้ยังไง?”
เจ้าเด็กอ้วนก็ตื่นเต้นเหมือนกัน จึงรีบพยักหน้า “ใช่!หนูก็จะอยู่กับหม่ามี๊!”
ลู่จิ่งเซินเห็นอย่างนั้น เลยยิ้มแห้งๆอย่างเย็นชา “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นผมจะโทรเรียกเธอกลับมาเดี๋ยวนี้ แล้วบอกความจริงกับเธอ จะพูดยังไง พวกคุณย่าก็ไปอธิบายกับเธอเองก็แล้วกัน!”
พูดแล้วก็ทำท่าจะล้วงมือถือออกมา หญิงชราเห็นอย่างนั้น ก็สีหน้าเปลี่ยน แล้วรีบหยุดเขาเอาไว้。
“เอาเถอะ เอาเถอะ พวกเราไปก็ได้พอใจหรือยัง?จริงๆเลย!”
เธอทนไม่ไหวทำตาขวางใส่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ。
“เสียแรงที่ฉันรักแกมากขนาดนั้นตั้งแต่เด็ก ค่อยเช็ดขี้เช็ดฉี่เลี้ยงแกมาจนโต ตอนนี้โตแล้วปีกกล้าขาแข็งแล้ว แค่ย่าจะพักที่นี้ต่ออีกสองสามวันก็ไม่พอใจแล้ว เห่อ เป็นคนที่อกตัญญูสักจริง ถ้ารู้แต่แรกตอนนั้นก็น่าจะทิ้งแกเอาไว้ข้างถนน ไม่ต้องสนใจแก。”
ลู่จิ่งเซินเห็นอย่างนั้น ก็ทำหน้าบึ้งตึง。
แต่ก็ไม่อยากจะสนใจแก หันหน้าไปสั่งซูมู่ “ส่งคุณท่านกับคุณหนูไปที่สนามบิน。”
ซูมู่พยักหน้าตอบรับ แล้วไปขับรถมา ยิ้มแล้วประตูรถออก。
“คุณท่าน คุณหนู เชิญครับ!”
หญิงชราจ้องลู่จิ่งเซินทีหนึ่ง แล้วก็ เห่อ อย่างเสียงดังไปทีหนึ่ง ถึงได้พาอานอานขึ้นรถไปอย่างไม่เต็มใจ。
จิ่งหนิงเพิ่งถึงบริษัทไม่นาน ก็ได้รับข้อความที่ส่งมาจากหญิงชรา。
บอกว่าพวกเขาติดต่อกับครอบครัวได้แล้ว ตอนนี้กำลังไปสนามบิน เตรียมตัวกลับบ้านแล้ว。
จิ่งหนิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ในเมื่อติดต่อกับครอบครัวได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว。
แล้วก็พูดสารภาพกับเธอไปสองสามประโยค อานอานตะโกนพูดอยู่ในสายว่าคราวหน้าค่อยมาเยี่ยมเธอ หลังจากนั้นถึงได้วางสายไป。
ที่สนามบิน ทั้งสองคนเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อ ก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยสองเงาที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล。
อานอานตาไวปากไว ตะโกนเรียกไปทีหนึ่งอย่างใจดี“คุณย่า” หลังจากนั้นก็วิ่งไปทางเธออย่างตื่นเต้น。
ลู่หลันจือได้ยินเสียง แล้วหันหลังไปอย่างประหลาดใจ ก็มองเห็นเจ้าเด็กอ้วนที่สีชมพูคนหนึ่งกระโจนเข้ามาหาตัวเองรวดเร็วราวสายลม。
เธอถึงกับตกใจ ยื่นมือออกไปรับทันที หลังจากที่เห็นคนที่กระโจนเข้ามาชัดเจนว่าเป็นอานอาน ก็ลืมตากว้างอย่างตกใจในทันที。
“อานอาน แม่ ทำไมพวกท่านถึงมาอยู่ที่นี้?”
ด้านข้าง กวนเสว่เฟยก็ยิ้มเบาๆ แล้วทักทายอย่างสุขภาพไปประโยค “สวัสดีค่ะคุณท่าน。”
นายหญิงหชินก็แปลกใจมากเหมือนกันที่เจอพวกเธอที่นี้ พยักหน้าไปมา จากนั้นก็ถามลู่หลันจือว่า “ทำไมพวกเธอถึงมาอยู่ที่นี้?เธอไม่ได้บอกฉันว่าจะไปดูแฟชั่นโชว์ที่ต่างประเทศเหรอ?ทำไมถึงมาปรากฏตัวที่เมืองจิ้น?”
ลู่หลันจือตะกุกตะกัก พูดอะไรไม่ออก เห็นได้ชัดว่ารู้สึกกังวนใจ。
กวนเสว่เฟยเห็นอย่างนั้น ก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ยิ้มแล้วพูด:“แฟชั่นโชว์เปลี่ยนเวลาไปเพราะเกิดปัญหาเล็กน้อย ได้ยินว่าที่เมืองจิ้นอากาศดี บังเอิญมีเวลา ฉันก็เลยพาป้าลู่มาเที่ยวดูค่ะ。”