บทที่ 167 ลูกของเรา
จิ่งหนิงกวาดไปทั่วกุญแจและพบว่าเขาตั้งใจเขียนชื่อลงไปอย่างเรียบร้อยจนขนตาของเธอสั่นไหวเล็กน้อย
หลังจากลู่จิ่งเซินเขียนชื่อเสร็จแล้วและเห็นคนอื่นเขียนคำรักลงไปบนลูกกุญแจเช่นกันจึงหันไปถามจิ่งหนิงตามน้ำ “จะให้เขียนอะไรเพิ่มลงไปไหม?”
จิ่งหนิงตอบ “คุณคิดว่าเขียนอะไรเพิ่มลงไปดีล่ะ?”
ลู่จิ่งเซินลำบากใจ
เดิมทีเขาไม่ใช่พวกหวานเลี่ยนแบบนั้น ต่อหน้าเธอ จะพูดคำรักอบอุ่นใจหวานเลี่ยนก็ต่อเมื่อรู้สึกถึงความรักอันลึกซึ้งเท่านั้น
แต่เวลานี้ในพื้นที่ห่างไกล ให้เขาคิดถึงคำรักออกมา เขาคิดไม่ออกจริง ๆ
แต่พูดออกไปแล้วเขาก็ไม่อยากยอมแพ้ เมื่อคิดดูก็นำปากกาออกมาตวัดโบกมือเขียนจนเสร็จ
จิ่งหนิงโน้มตัวไปดูเพียงเพื่อดูว่าบนนั้นเขียนอะไร: นอนกับเธอตลอดไป
จิ่งหนิง: “…”
คุณชายลู่ คุณนี่เข้าใจเล่นจริง ๆ!
ลู่จิ่งเซินแขวนลูกกุญแจด้วยความพึงพอใจ ในมือจิ่งหนิงยังมีกุญแจลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ลู่จิ่งเซินคว้าไปและเขียนชื่อสองชื่อไว้แล้วแขวนกุญแจไว้ที่เดียวกันกับที่แขวนกุญแจคู่รักก่อนหน้านั้น
จิ่งหนิงถามเขา: “คุณเขียนอะไรคะ?”
“ชื่อ”
“ชื่อ?” เธอเบิกตาโพลงด้วยความงุนงง “ชื่อใครคะ?”
“ลูกของเรา”
จิ่งหนิง: “…”
เธอก็ไม่ได้คิดเยอะเพียงแต่คิดว่าลู่จิ่งเซินหมายถึงลูกในอนาคต
ลู่จิ่งเซินล็อกกุญแจและจูงเธอเดินกลับ สีหน้าของจิ่งหนิงดูแปลกเล็กน้อย ลู่จิ่งเซินไม่ได้สนใจเธอ
ทั้งสองคนเดินกลับไปยังสถานที่ที่พวกเขาเพิ่งทานอาหาร และหลังจากสอบถามพวกเขาก็รู้ว่าฝนดาวตกที่เล่าลือกันบนอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องจริง
หอสังเกตการณ์ได้รายงานว่าคืนนี้จะมีฝนดาวตกและหลายคนก็มาแต่เช้าตั้งเต็นท์บนภูเพื่อรอดู
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเธอกับเขาที่ได้ดูฝนดาวตกด้วยกัน เขาเคยพาเธอไปดูเมื่อก่อนหน้านี้ไม่นาน
แต่ว่าในเมื่อมาก็มาแล้วและบังเอิญว่าวันนี้ก็มีจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ดู
จิ่งหนิงสลัดความหดหู่เมื่อครู่แล้ววิ่งขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อดูฝนดากตก
แต่ในตอนนี้ยังไม่มีฝนดาวตกและมีคนจำนวนไม่น้อยนั่งอยู่บนเนินหญ้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นคู่รัก
นอกจากนี้ยังมีครอบครัวสามคนที่มารวมกัน อิงแอบกันสองสามคนและบรรยากาศก็เงียบสงบ
“ถ้ามีกล้องโทรทรรศน์ก็ดีนะ คงจะดูได้ชัดเจนแน่” จิ่งหนิงถอนหายใจ
ลู่จิ่งเซินได้ยินดังนั้นเขาก็เลิกคิ้วและชี้ไปที่ผู้ขายที่อยู่ไม่ไกล “เหมือนจะมีคนขายอยู่ตรงนั้น”
“ใช่ไหม? เข้าไปดูกันไหม?”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้าทั้งสองเดินเข้าไปที่แผงที่ขายกล้องโทรทรรศน์ที่สภาพเก่าเก็บและตกรุ่น
เมื่อคนขายเห็นหนุ่มสาวสองคนท่าทางสูงศักดิ์และร่ำรวย จึงได้พยายามขายของพวกเขา
และยังบอกว่าคืนนี้จะมีฝนดาวตกแน่นอน ใช้สิ่งนี้แล้วจะเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นและสวยขึ้น
จิ่งหนิงไม่สามารถตัดสินใจได้เธอไม่เข้าใจเรื่องนี้ดังนั้นเธอจึงเลือกโยนเรื่องให้ลู่จิ่งเซิน
ลู่จิ่งเซินเลือกดูของบนแผงอยู่หลายอันและไม่ได้ถามเรื่องราคาเขาถอดชิ้นส่วนทั้งหมดออกและเลือกส่วนประกอบอย่างรวดเร็วและประกอบเข้าด้วยกัน
การกระทำของเขารวดเร็วลื่นไหลดั่งเมฆลอยและสายน้ำ พ่อค้ายังไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เมื่อพวกเขาเห็นว่าเขาแยกออกมาสามสี่อันแล้ว ทันใดนั้นก็ร้อนรนขึ้นมา
“นี่คุณ ผมไม่ขายแยกนะ ถ้าคุณแยกแล้วผมจะขายยังไงล่ะ?”
ลู่จิ่งเซินนิ่งสงบ “ของห่วย ๆ ที่ตกรุ่น ไม่ขายให้คนอื่นก็ดี”
คนขายของคนนั้นดูโกรธและคิดจะเถียง ลู่จิ่งเซินกลับใช้ชิ้นส่วนที่แกะออกมาประกอบกันจนเสร็จ จากนั้นก็ทดลองส่องดู
ผลของมันถึงแม้จะไม่ได้เป็นที่น่าพอใจมากและมีของจำกัด ได้เพียงเท่านี้ก็ถือว่าดีกว่าเมื่อครู่เยอะแล้ว
เขาหยิบแบงก์ออกมาหลายใบแล้วโยนให้คนขายแล้วหยิบกล้องโทรทรรศน์และหยิบเบาะจากแผงแล้วจูงจิ่งหนิงเดินออกมา
ลู่จิ่งเซินจูงจิ่งหนิงเดินไปที่ที่ที่ค่อนข้างกว้าง ปูเสื่อกับพื้นและทั้งสองก็นั่งลงตรงจุดนั้น
จิ่งหนิงหยิบกล้องโทรทรรศน์ขึ้นมาลอง แต่ก็ยังไม่รู้สึกอะไร
ลู่จิ่งเซินให้เธอรอสักพักจนฝนดาวตกมาแล้วค่อยดู ก็จะรู้ว่ามันต่างจากกล้องส่องทางไกลธรรมดายังไง
เมื่อจิ่งหนิงเห็นเช่นนั้นจึงได้วางกล้องโทรทรรศน์ลงทั้งสองนั่งอยู่รอบนพื้นอยู่นาน
“เอ๊ะ ได้ยินว่าเวลาที่ฝนดาวตกเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการขอพร อีกเดี๋ยวดาวตกแล้วคุณอยากขออะไรเหรอ?”
จิ่งหนิงกระทุ้งเขาที่แขนและถาม
ลู่จิ่งเซินยิ้ม “ไม่ใช่ว่าเวลาขอพรบอกไม่ได้เหรอ พูดออกมาแล้วมันจะไม่เป็นผลไม่ใช่เหรอ?”
จิ่งหนิงคิดแล้ว ก็ใช่
พูดอย่างเขินอาย “เอาล่ะ!”
ลู่จิ่งเซินเห็นเธอดูอ่อนล้าอยู่บ้างและเป็นกังวลว่าเธอจะเหนื่อยจึงเสนอไหล่ของตัวเองและพูด “คุณพักสักครู่สิ คิดว่าต้องรออีกนาน”
จิ่งหนิงปีนเขามาทั้งบ่ายแน่นอนว่าต้องเหนื่อย เมื่อได้ยินดังนั้นจึงพิงไหล่เข้าไป
ลู่จิ่งเซินเอื้อมมือออกไปและโอบเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาและทั้งสองก็กอดกันอย่างใกล้ชิด
ค่ำคืนเงียบสงบ อากาศพัดเอื่อยอบอวลด้วยกลิ่นหอมหวานของหญ้าเขียวอ่อน จิ่งหนิงอยู่ในอ้อมกอดเขาอย่างสงบ สัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจที่ทรงพลังและการหายใจที่สม่ำเสมอของชายหนุ่มก็สงบสุขในจิตใจ
“คุณจะหนาวไหม?” เธอถาม
ลู่จิ่งเซินกระซิบ “ไม่หรอก”
“ถ้าคุณหนาวก็บอกฉัน ใส่เสื้อไว้ อย่าเป็นหวัดล่ะ”
“อืม กอดคุณ ไม่หนาวหรอก”
ทั้งสองกอดกันเงียบ ๆ จิ่งหนิงขยับตัวและเปลี่ยนเป็นท่าทางที่สบาย ๆ เธอวางศีรษะบนตักของเขา มือของลู่จิ่งเซินวางอยู่บนเอวของเธอและบรรยากาศก็เงียบสงบ
“ง่วงก็นอนพักสักหน่อยสิ!” ลู่จิ่งเซินเห็นความเมื่อยล้าระหว่างคิ้วของเธอและพูดด้วยเสียงที่ทุ้มลึก
จิ่งหนิงส่ายหน้า “ฉันไม่หลับ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ”
แววตาอันอบอุ่นของชายหนุ่มไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของเธอ จิ่งหนิงกระซิบ “คุณหาเรื่องคุยสิ เราคุยกัน คุย ๆ ไปก็ไม่เหนื่อยแล้ว”
ลู่จิ่งเซินคิด “คุณอยากคุยอะไร?”
“คุยเรื่องอะไรก็ได้”
“งั้น…เล่าเรื่องสมัยคุณเด็ก ๆ ให้ผมฟังหน่อย?”
จิ่งหนิงนิ่งไป
เรื่องของเธอสมัยเด็ก?
เธอเปิดปากโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อคำพูดนั้นมาอยู่ที่ริมฝีปาก ทันใดนั้นเธอก็คิดถึงแม่ที่ที่ล่วงลับไปแล้วดวงตาของเขาก็หรี่ลงทันใด เธอจะเล่าเรื่องสมัยเด็กของเธอได้อย่างไรนะ?
ไม่ว่าจะพูดยังไง ดูเหมือนจะไม่สามารถหลบหนีจากแผลนั้นได้เลย
จิ่งหนิงเงียบหลังจากคิดอยู่นานแล้วพูดขึ้น “ฉันไม่เล่า”
ลู่จิ่งเซินเลิกคิ้วอย่างคิดไม่ถึงแล้วก้มหน้ามอง
เห็นเพียงดวงตาใสแวววับของหญิงสาวที่มาพร้อมกับความซับซ้อนในนั้น ริมฝีปากเม้มแน่นแสดงส่วนโค้งที่แข็งกระด้าง
ดวงตาของเขาซับซ้อนและใช้เวลาครู่ใหญ่ก่อนจะพูดขึ้นเหมือนมีความลับใหญ่: “มีเรื่องน่าขายหน้าอะไรไหม อายที่จะพูดเหรอ?”
จิ่งหนิงหยุดนิ่งไป เดิมก็ยังรู้สึกหดหู่เล็กน้อย แต่ก็ถูกคำพูดของเขาทำให้หายไป
“คุณสิน่าขายหน้า”
ชายหนุ่มอดยิ้มอ่อนไม่ได้
“อันที่จริงต่อให้คุณพูด ผมก็ไม่รังแกคุณหรอก”
จิ่งหนิงเงยหน้ามองดูเขา จากนั้นก็หดตัวกลับไป “งั้นฉันก็ไม่พูด”
ลู่จิ่งเซินเห็นดังนั้นจึงไม่ดึงดัน
ลมบนยอดเขานั้นหนาวเย็นมาก ชายหนุ่มกอดเธอ ทั้งสองอิงแอบกันเงียบ ๆ และขับไล่ความหนาวเย็นออกไปได้มาก
นิ้วของชายคนนั้นแทรกตัวรอบเส้นผมของเธอโดยไม่รู้ตัวและกระซิบเบา ๆ “เหนื่อยก็พักสักหน่อย ฝนดาวตกมาผมจะเรียกคุณ”