บทที่ 185 บรรยากาศน่าอึดอัด
มู่ยั่นเจ๋อได้เข้ามาเวลานี้พอดี
น่าจะเข้ามาหาจิ่งเสี่ยวหย่า ดังนั้นเลยเข้ามาในห้องแต่งหน้า เมื่อเห็นว่ามีเพียงจิ่งหนิงนั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียว ก็อึ้งไปเล็กน้อย
เรื่องที่จิ่งหนิงเข้ากองถ่ายละคร เขาก็รู้อยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกันที่นี่
ช่างแต่งหน้าไม่รู้เรื่องระหว่างเธอกับมู่ยั่นเจ๋อ แต่ก็รู้ว่าคุณชายมู่เป็นคู่หมั้นของจิ่งเสี่ยวหย่า เปิดกล้องมาตั้งหลายวันแล้ว นี่เพิ่งเป็นครั้งแรกที่เขามาดูที่กองถ่าย
เลยหันไปยิ้มให้กับเขา แล้วเอ่ยพูด : “คุณชายมู่มาหาเสี่ยวหย่าเหรอคะ? เดี๋ยวอีกสักพักเธอก็น่าจะมาถึงแล้ว คุณรออยู่ที่นี่ก่อนไหมคะ?”
มู่ยั่นเจ๋อคิดอยากปฏิเสธ แต่ทว่าเมื่อเห็นจิ่งหนิงนั่งอยู่ตรงนั้น ก็ตอบตกลงไปโดยไม่รู้ตัว
ช่างแต่งหน้าให้ผู้ช่วยไปยกน้ำมาให้มู่ยั่นเจ๋อ ผู้ช่วยแอบจ้องมองเขา เห็นว่าคุณชายมู่คนนี้ ดูหล่อเหลากว่าในรูปเสียอีก
รูปร่างหน้าตาอย่างนี้ ถ้าหากได้เป็นดารา น่าจะมีคนชื่นชอบไม่น้อยเลยทีเดียว!
แต่น่าเสียดายที่เขาน่าจะไม่สนใจทางด้านนี้เท่าไหร่ ในเมื่อต้นตระกูลของเขาดีขนาดนั้น การศึกษาก็ดี แถมยังเป็นลูกเศรษฐีคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดอีกต่างหาก ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องมาลำบากลำบนในวงการนี้หรอกนะ!
ในใจของทุกคนต่างพากันคิดแบบนี้ และอิจฉาจิ่งเสี่ยวหย่าที่วาสนาดี หาสามีที่ทั้งหล่อและชาติตระกูลดีได้ขนาดนี้
มู่ยั่นเจ๋อไม่รู้ความคิดในใจของพวกเขา ตั้งแต่เข้ามานั่งอยู่ในนี้ สายตาก็เอาแต่จ้องไปยังจิ่งหนิงที่ช่างแต่งหน้ากำลังแต่งหน้าให้เธออยู่
ความรู้สึกในใจไม่สามารถพูดได้ว่าไม่ซับซ้อน
เมื่อก่อนตอนที่อยู่ด้วยกัน เขาก็มีความคิดที่อยากจะให้จิ่งหนิงเข้าวงการบันเทิง
แต่เคยถามเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากที่ถูกเธอปฏิเสธ ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก
แต่ตอนนี้ เธอกลับเข้าวงการนี้ด้วยตัวเอง
เธอเคยพูดไม่ใช่เหรอ ว่ารำคาญเรื่องในวงการบันเทิงพวกนี้มาก?
ยังพูดอีกด้วยว่า เธอไม่ชอบแสงสปอตไลท์ เธอชอบทำงานอยู่เบื้องหลังเงียบ ๆ มากกว่า
เมื่อย้อนคิดถึงตอนนั้น เขาก็แอบถอนหายใจออกมา
ที่จริงเธอทำงานอยู่เบื้องหลังตลอดก็ดี อย่างน้อย ก็ไม่ไปแย่งซีนของจิ่งเสี่ยวหย่า
เขารู้จักความสามารถของเธอดี และก็รู้ว่าถึงความงดงามที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความธรรมดานั่น ขอเพียงแค่เธอเต็มใจทำ คะแนนความนิยมหลังจากเข้าวงการแล้วต้องชนะจิ่งเสี่ยวหย่าแน่นอน
นั่นเป็นสิ่งที่ตอนแรกเขาไม่อยากเห็นมัน
แต่วันนี้ มองดูเธออีกครั้ง ในใจกลับรู้สึกว่าไม่มีความรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว
ในห้องแต่งหน้าเงียบมาก บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ
ผ่านไปสักครู่ มู่ยั่นเจ๋อก็ทนต่อไปไม่ไหว เลยเอ่ยพูดขึ้นมา : “หนิงหนิง ไม่เจอกันนานเลยนะ เธอสบายดีไหม?”
ช่างแต่งหน้าเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ
สองคนนี้รู้จักกันเหรอเนี่ย!
จากนั้น อยู่ ๆ เธอก็นึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างจิ่งหนิงและจิ่งเสี่ยวหย่าขึ้นมาทันที
มิน่าล่ะ ที่แท้ก็สนิทสนมกันนี่ แฟนของน้องสาว ต่อให้ไม่สนิทกันก็น่าจะรู้จักกันอยู่แล้ว
ถ้าจะแปลกก็แปลกตรงที่จิ่งหนิงและจิ่งเสี่ยวหย่าอยู่ในกองถ่ายเย็นชาใส่กันมากเหลือเกิน เป็นพี่น้องกันแท้ ๆ แต่กลับทำเหมือนคนแปลกหน้าที่แค่ผ่านมาเท่านั้น ทำเอาคนอื่นต่างพากันลืมความสัมพันธ์ของพวกเธอไปแล้วบ่อย ๆ
จิ่งหนิงค่อย ๆ หลุบตาลง เพื่อให้ช่างแต่งหน้ากรีดตาให้เธอ ไม่ได้สนเขาเลยสักนิด
มู่ยั่นเจ๋อรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
นอกจากอึดอัดแล้ว ลึก ๆ ยังรู้สึกไม่ยอมอีกด้วย
น่าจะเป็นเพราะคนที่คอยตามติดเราคนนั้นในเมื่อก่อน ผู้หญิงคนนั้นที่คอยตามติดเรา หายไปแล้ว
ตอนนี้กลับกลายเป็นเย็นชา มองข้าม ต่อต้านด้วยความรำคาญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีเบื่อหน่ายที่แสดงออกมาให้เห็นโดยไม่ตั้งใจเป็นครั้งคราวนั้น เหมือนเข็มเล่มหนึ่ง ที่ทิ่มแทงลึกไปถึงหัวใจของเขา
มู่ยั่นเจ๋อเหมือนยังอยากพูดอะไรอีก แต่ทันใดนั้นเอง จิ่งเสี่ยวหย่าก็เดินเข้ามาจากด้านนอกพอดี
“พี่อาเจ๋อ!”
เมื่อเธอเห็นมู่ยั่นเจ๋อ ก็ดีอกดีใจเป็นอย่างมาก รีบเดินเข้ามาหาทันที แล้วโผเข้ากอดเขา
“ทำไมพี่เพิ่งมาหาฉันตอนนี้! รู้หรือเปล่าว่าหลายวันมานี้ฉันคิดถึงพี่แค่ไหน”
น้ำเสียงออดอ้อน ท่าทางสนิทสนมนั้น ทำให้ช่างแต่งหน้ากระแอมเสียงออกมาอย่างกระอักกระอ่วน แล้วพูดอย่างยิ้ม ๆ ว่า : “เสี่ยวหย่ากับคุณชายมู่ช่างดูรักกันจังเลยนะคะ”
มู่ยันเจ๋อรู้สึกสันหลังแข็งทื่อไปชั่วขณะ
แต่สุดท้าย ก็ค่อย ๆ โอบไหล่เธอเอาไว้ ยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยพูด : “ก็หลายวันก่อนฉันยุ่งนี่ ตอนนี้มีเวลาว่างแล้วก็รีบมาหาเลย”
จิ่งเสี่ยวหย่าออดอ้อนออเซาะอยู่ในอ้อมกอดเขา “ฉันรู้อยู่แล้ว งานพวกนั้นของพี่น่ะ ยังไงก็สำคัญกว่าฉันเสมอ”
“ใช่ที่ไหนกันล่ะ?”
มู่ยั่นเจ๋อจับมือเธออย่างไม่ค่อยเป็นตัวเองนัก ยิ้มอ่อน ๆ แล้วพูดขึ้นว่า : “พอได้แล้ว คนอื่นกำลังแต่งหน้ากันอยู่นะ พวกเราออกไปก่อนเถอะ อย่ารบกวนคนอื่นเลย”
จิ่งเสี่ยวหย่าปรายตามองจิ่งหนิง นัยน์ตาลึก ๆ นั้นแฝงไปด้วยความโอหังอย่างได้ใจ
แต่ก็ไม่ได้ขัดเจตนาเขา เลยตามเขาออกไปข้างนอก
หลังจากรอทั้งสองคนออกไปแล้ว ช่างแต่งหน้าก็ยิ้มออกมาแล้วเริ่มซุบซิบ “ดูท่าทางพวกเขา ช่างรักกันเหลือเกินนะ สิ่งหลอกลวงในวงการนี้ช่างมากมายเหลือเกิน นานแล้วที่ไม่ได้เห็นคู่รักที่รักกันอย่างนี้”
จิ่งหนิงยิ้มออกมาด้วยท่าทีเย้ยหยัน แต่ไม่ปริปากพูดอะไรออกมา
ไม่นาน ก็แต่งหน้าเสร็จแล้ว
จิ่งหนิงออกไปซ้อมบทละครเพื่อเตรียมพร้อม จึงเปลี่ยนเป็นจิ่งเสี่ยวหย่าเข้าไปแต่งหน้าแทน
วันนี้ท่าทางมู่ยั่นเจ๋อจะไม่มีธุระอะไร เลยอยู่กับเธอตลอด
ทั้งสองคนเหมือนหนุ่มสาวที่รักกันอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ เป็นที่น่าอิจฉาของคนในกองถ่ายจำนวนหนึ่งเลย
จิ่งหนิงไม่สนใจฟังเรื่องพวกนี้ ได้แต่นั่งอยู่ที่ม้านั่งตัวเล็ก แล้วท่องบททีละประโยค ๆ
ข้าง ๆ โม่หนานได้เอาแก้วน้ำเก็บความเย็นที่มีน้ำแตงโมอยู่เดินเข้ามา แล้วยื่นให้เธอพลางพูดอย่างเย้ยหยันว่า : “เล่นอะไรกัน ก็แค่หญิงร้ายชายเลวที่แอบสมสู่กันคู่หนึ่ง คนพวกนั้นเห็นเป็นความรักบริสุทธิ์ใสซื่อจริง ๆ น่ะเหรอ!”
จิ่งหนิงรับน้ำแตงโมมา แล้วดื่มไปอึกหนึ่ง จากนั้นค่อย ๆ เอ่ยพูดว่า : “ไม่ต้องสนหรอกว่าคนอื่นจะพูดยังไง ตอนนี้พวกเขารักกันดีนั้นเป็นความจริง สำหรับจิ่งเสี่ยวหย่าแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”
โม่หนานนิ่งไปครู่หนึ่ง
เธอมองไปที่จิ่งหนิงอย่างวิตกกังวล เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า : “เธอ……คงไม่ได้ไม่สบายใจหรอกใช่ไหม!”
“หืม?”
จิ่งหนิงรีบเงยหน้าขึ้นมา สัมผัสได้ถึงความกระอักกระอ่วนในสายตาของเธอ จึงมีสติขึ้นมา แล้วกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ : “คิดบ้าอะไรเนี่ย? ฉันไม่รู้สึกอะไรกับเขานานแล้วนะ”
โม่หนานได้ยินดังนั้น ก็ถอนหายใจออกมา
“ก็จริง เธอมีคุณผู้ชายแล้วนี่ คุณผู้ชายเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในโลกใบนี้เลยแหละ คนอย่างมู่ยั่นเจ๋อน่ะเหรอ แม้แต่เป็นคนถือรองเท้าให้คุณผู้ชายก็ยังไม่เหมาะเลย ไม่คู่ควรกับเธอสักนิด!”
จิ่งหนิงหลุดหัวเราะออกมา แต่เมื่อได้ยิน โม่หนานพูดถึงลู่จิ่งเซิน ก็คิดขึ้นมาได้ว่าสองวันมานี้มัวแต่ยุ่งกับการถ่ายละคร เลยไม่ได้โทรหาเขามาสองวันแล้ว
หลายวันก่อนที่เข้ากองถ่าย เกือบทุกคืน ผู้ชายคนนั้นจะต้องโทรมาหา ทั้งสองคนใช้เวลาคุยโทรศัพท์กันนานมาก คุยกันไม่ต่ำกว่าหนึ่งถึงสองชั่วโมงเลยทีเดียว
วันก่อนเธอมีคิวถ่ายตอนกลางคืน ไม่ได้รับสายของเขา เมื่อถ่ายเสร็จกลับไปก็ดึกมากแล้ว เลยกลัวว่าจะรบกวนเวลาพักผ่อนของเธอ ชายคนนั้นเลยรีบพูดสองสามประโยคแล้วก็วางสายไป
จนถึงวันนี้ ก็ไม่ได้โทรมาหาอีก
จิ่งหนิงแอบคิด ถ้าคืนนี้ถ่ายทำเสร็จเร็ว ต้องโทรศัพท์ไปหาเขาแล้วล่ะ
ขณะกำลังคิดอะไรอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงตื่นเต้นดังมาจากในห้องแต่งตัว
“ว้าว! สวยจังเลยค่ะ!”
“เสี่ยวหย่า เธอนี่ช่างโชคดีเสียเหลือเกิน!”
“แหวนเพชรเม็ดใหญ่ขนาดนี้ ต้องราคาแพงมากแน่เลย! ช่างน่ารักอะไรอย่างนี้!”
เธออยากรู้เลยหันไปตามเสียงนั่น แล้วก็เห็นที่ทางเข้าห้องแต่งตัว จิ่งเสี่ยวหย่ายืนอยู่ตรงนั้น ในมือโอบดอกกุหลาบช่อใหญ่เอาไว้ ส่วนในมือของมู่ยั่นเจ๋อถือแหวนเพชรวงหนึ่ง คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น กำลังสวมแหวนไปที่นิ้วของจิ่งเสี่ยวหย่า