บทที่ 191 ดราม่าน้ำเน่า
ตรงกันข้าม กลับเป็นจิ่งเสี่ยวหย่าที่ใส่ใจ
เนื่องจากท้ายที่สุด ละครยังคงอยู่ในขั้นตอนการถ่ายทำ แม้กระทั่งตัวอย่างยังไม่ถูกปล่อยออกไป ดังนั้นข่าวทั้งหลายจึงต้องอาศัยภาพจากข้างถนนพวกนี้เท่านั้น
ดังนั้น ทันทีที่สื่อเข้ามา จิ่งเสี่ยวหย่าก็เริ่มกลับเข้าสู่บทบาทนางฟ้าที่อ่อนโยนของเธอ
“พี่สาว ฉากต่อไปเป็นฉากที่สำคัญที่สุดในบท คุณต้องแสดงให้ดี อย่าได้เสียเวลาทุกคนถึงจะถูก”
จิ่งหนิงมองไปที่เธอเรียบๆ จากนั้นจึงเอ่ยเยาะเย้ยเบาๆ “เป็นห่วงตัวเองเถอะ!”
จิ่งเสี่ยวหย่าหัวเราะ และเอ่ยเสียงเบา “ผู้สื่อข่าวมากมายอยู่ที่นี่ ฉันต้องแสดงดีอยู่แล้ว กลับเป็นพี่ อย่าคิดว่าก่อนหน้านี้ทำผลงานได้ไม่เลว แล้วคิดไปว่าทักษะการแสดงดีพอแล้ว
เรื่องการแสดง อาศัยแค่ความขยันคงยังไม่พอ มันต้องการพรสวรรค์ด้วย ฉากวันนี้ จะต้องระเบิดพลังอย่างมาก หากทักษะไม่ถึง คนอื่นที่อยู่ด้วยก็ดูอยู่ ถึงเวลานั้นถ้ามีข่าวซุบซิบออกมา ฉันคงช่วยพี่ไม่ได้แล้ว”
จิ่งหนิงมองเธออย่างไม่แยแส ราวกับกำลังมองดูเรื่องตลก
จิ่งเสี่ยวหย่าเห็นว่าเธอไม่พูด ก็คิดไปว่าคำพูดของตนมีอิทธิพลขึ้นมาแล้ว ดังนั้นจึงยิ้มอย่างสะใจก่อนจะหันหลังจาก
เมื่อจัดตำแหน่งทุกคนเรียบร้อย การถ่ายทำก็เริ่มขึ้น
ฉากนี้ เป็นฉากที่ตัวละครของจิ่งหนิง ฟู่ฉาชุน หลังจากความยากลำบากมากมายในที่สุดก็ขึ้นสู่ตำแหน่ง
อีกทั้งฮองเฮาอี้หลันกลับถูกเปิดโปงแผนการชั่วร้ายที่มีต่อตนและรับผลกรรมที่ก่อไว้ สูญเสียความรักจากฮ่องเต้ ถูกปลดและส่งเข้าคุกไป
หนึ่งฮองเฮาองค์ใหม่ หนึ่งฮองเฮาองค์เก่า พบกันที่วังเย็น ฮองเฮาองค์ใหม่ประทานยาพิษให้เธอแก้วหนึ่ง เพื่อให้เธอฆ่าตัวตาย
ฮองเฮาที่ถูกปลดก่อนตายยังไม่ยอมให้ฮองเฮาองค์ใหม่ได้สมใจ เธอเปิดเผยว่าผู้ร้ายตัวจริงที่สั่งให้เธอฆ่าคนทั้งตระกูลของฮองเฮาองค์ใหม่ก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
ช่างเป็นฉากดราม่าสุดน้ำเน่า แต่กลับไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ามันช่างพลิกล็อกและทำให้คนรู้สึกมีอารมณ์ขึ้นมา
ฉากนี้ ในละครแน่นอนว่าย่อมถือเป็นฉากไคลแม็กซ์
ดังนั้น ทุกคนจึงต้องเตรียมตัวล่วงหน้า
เมื่อคืนนี้ สาเหตุที่หลินซูฝานเรียกจิ่งหนิงไปตอนกลางดึก ก็เพราะเขากังวลว่าการเล่นของเธอจะทำได้ไม่ดีและต้องการอธิบายให้เธอฟังสักหน่อย
แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะเล่นได้ดีมาก่อน แต่ฉากเหล่านั้นก็ค่อนข้างคงที่ซึ่งแตกต่างจากวันนี้ที่ต้องใช้อารมณ์อย่างยิ่ง
แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะถูกคนเล่นงานเข้าให้
หลินซูฝานอารมณ์หดหู่อย่างมาก แม้กระทั่งบรรยากาศในกองถ่ายวันนี้ก็ยังรู้สึกกดดันขึ้นไปด้วย
เมื่อเตรียมพร้อมแล้ว ก็เริ่มถ่ายทำขึ้น
วังเย็นนั้นเต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวและทรุดโทรม ในพระราชวังอันทรุดโทรม สวนร้างไปด้วยใบหญ้ารกครึ้ม ต้นหลิวที่คดงอถูกปลูกเอาไว้อยู่ในกำแพง ท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่นเช่นนี้ ใบไม้ส่วนใหญ่กลับเป็นสีเหลือง เห็นได้ชัดว่าไร้ซึ่งผู้คนดูแล
อิฐสีเขียวบนพื้นปกคลุมไปด้วยมอสส์ หากไม่ทันระวังก็ง่ายต่อการลื่นล้ม ทุกหย่อมหญ้าเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นของเชื้อรา อีกทั้งยังแฝงไปด้วยกลิ่นอับชื้นจนทำให้คนต้องปิดจมูก
จิ่งหนิงคิดในใจ ไม่รู้ว่ากองถ่ายหาสถานที่นรกร้างแบบนี้เจอได้ยังไงเหมือนกัน
สวนมีขนาดไม่ใหญ่ หลังจากเดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงตัวเรือน สาวรับใช้สองคนที่อยู่ข้างหลังเข้าไปผลักประตูให้เปิดออก จากนั้นขันทีตัวน้อยก็โค้งเอวต่ำลงและประกาศ “ฮองเฮาเสด็จ!”
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครออกมาต้อนรับ
ในพระราชวังนั้นเต็มไปด้วยความหม่นหมองและมืดมน ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ฝุ่นและกลิ่นอับชื้นก็พุ่งเข้ามา
จิ่งหนิงขมวดคิ้ว สาวใช้สองคนที่อยู่ข้างๆ เธอเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอและพยายามพัดพาอากาศระบายกลิ่นฉุนออกไป
เธอยกมือขึ้น บ่งบอกให้พวกเธอหยุด จากนั้นจึงยกกระโปรงของเธอเดินเข้าไป
แค่จากข้างนอกก็สามารถสัมผัสได้ถึงความหดหู่และความทรุดโทรมของวังเย็น แต่เมื่อเข้าไปด้านในกลับยิ่งให้ความรู้สึกที่ชัดเจนเสียยิ่งมาก
ทุกที่ล้วนมีฝุ่นหนาเขรอะ ทุกมุมในตำหนักมีใยแมงมุมเกาะอยู่มากมายนับไม่ถ้วน บนใยมียุงและสัตว์เลื้อยคลานตัวเล็กๆ ติดอยู่บนนั้น
ในตำหนักไร้การตกแต่งใด แม้แต่เก้าอี้และโต๊ะก็กระจัดกระจายนอนอยู่บนพื้นอย่างไม่เป็นระเบียบ บ้างก็ขาหัก บ้างก็ขอบบิ่น มองดูก็ไม่รู้ว่าเป็นเวลากี่ปีแล้วที่ไม่เคยเปลี่ยนมัน
ในตำหนักส่งกลิ่นอับชื้นอย่างรุนแรง ที่มุมหนึ่งทางทิศตะวันออกมีตั่งไม้เรียบง่ายวางอยู่ บนตั่งมีร่างของคนผู้หนึ่งอยู่บนนั้น
บางทีอาจเป็นเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น คนคนนั้นจึงลุกขึ้นนั่ง
เธอสวมใส่ชุดสีฟ้าที่สกปรกมากจนมองไม่เห็นสีเดิมอีกต่อไป เส้นผมกระเซอะกระเซิง เมื่อเห็นผู้ที่มาเยือนเข้า ดวงตาก็สว่างวาบด้วยความไม่พอใจ
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
จิ่งหนิงโบกมือ นางกำนัลก็ถอยฉากออกไป จากนั้น เธอก็เดินเข้าไปด้วยรอยยิ้ม
“ได้ยินว่าฮองเฮาล้มป่วย เลยตั้งใจมาเยี่ยม เป็นอะไร? ดูเหมือนว่าท่านจะแปลกใจ?”
คำว่า “ฮองเฮา” นี้ราวกับเข็มที่ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของจิ่งเสี่ยวหย่า
ในตอนแรก เธอเป็นฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ เป็นสตรีที่สูงสุดเหนือผู้ใดที่อาณาจักร เรียกลมและฝนได้ดั่งใจ พี่ชายเป็นถึงแม่ทัพ กุมอำนาจทหารในมือ แม้กระทั่งฝ่าบาทยังต้องยำเกรงเธอถึงสามส่วน
ส่วนสตรีตรงหน้านางนี้ กลับเป็นเพียงนางกำนัลตัวน้อยๆ คนหนึ่ง ราวกับมดโลภมากตัวหนึ่งที่ถูกนางเหยียบลงกับพื้น ขอแค่ออกแรง ก็สามารถทำให้นางแหลกเป็นชิ้นๆ ได้
แต่ตอนนี้ สตรีผู้นี้ กลับแทนที่ตำแหน่งของเธอ และกลายเป็นฮองเฮาคนใหม่
ส่วนเธอ กลับต้องมาอยู่ในตำหนักอันทรุดโทรมแห่งนี้ กลายเป็นสตรีที่ใครๆ ต่างก็ชิงชังทอดทิ้ง
ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า….
ช่างน่าสมเพช น่าหัวเราะเยาะเสียจริง!
จิ่งเสี่ยวหย่าหัวเราะเยาะออกมา น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเศร้าโศกนับไม่ถ้วนอยู่ในนั้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอจึงหยุดหัวเราะลง เธอจ้องมองจิ่งหนิงอย่างเย็นชาและเอ่ยเย้ยหยัน “ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจรข้าไม่มีอะไรจะพูด หากวันนี้เจ้ามาเพื่อเยาะเย้ยข้า เจ้าสมใจแล้ว ไสหัวไปซะ! ”
“บังอาจ! กล้าพูดกับฮองเฮาแบบนี้ได้เยี่ยงไร!”
จิ่งหนิงยกมือขึ้นเพื่อหยุดการด่าทอของนางกำนัลลง
เธอมองสตรีตรงหน้าอย่างนิ่งเฉย และเดินเข้าไปทีละก้าว
“ท่านคิดว่า เรื่องมาถึงวันนี้แล้ว ท่านยังมีเรื่องให้ข้าหัวเราะเยาะได้อีกหรือ?”
แสงไปเคลื่อนที่ตามฝีเท้าของจิ่งหนิงไปข้างหน้าทีละนิดๆ จนในที่สุดก็หยุดลงที่ห่างจากจิ่งเสี่ยวหย่าไปหนึ่งก้าว
จิ่งหนิงโค้งตัวลงมาเล็กน้อยและจับคางของนางไว้
ใบหน้าของนางประดับรอยยิ้ม แต่ดวงตากลับไร้วี่แววของมัน เมื่อถูกแสงกระทบ มันกลับสะท้อนประกายความเย็นชาขึ้นมา
ไม่มีรอยยิ้มในดวงตาของเธอ เธอถูกแสงและในทางกลับกันเธอกลับเต็มไปด้วยจุดเย็น ๆ
จิ่งเสี่ยวหย่าถูกเธอจับคางเอาไว้ และบังคับให้เงยหน้าขึ้น
ท่าทางที่น่าอับอายเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าตัวเธอไม่อาจรับได้ เธอพยายามดิ้นรนหลายครั้ง แต่กลับไร้ประโยชน์
ในทางตรงกันข้าม ความเจ็บปวดที่คางค่อยๆ แทรกซึมเข้าเข้าไปลึกจากผิวหนังยังกระดูก เธอรู้สึกเพียงว่ากระดูกกำลังจะแหลกสลายลงในมือของเธอ
จิ่งหนิงกระซิบทีละคำ “สภาพเจ้าในตอนนี้แม้กระทั่งสุนัขยังไม่อาจเทียบ เจ้าว่า ข้าจะสนใจเมตตาสุนัขที่กระดิกหางขอความเมตตาหรือไม่? หืม?”
เสียงของเธอทุ่มต่ำเยียบเย็น ราวกับน้ำแข็งบนทะเลสาบ เมื่อได้ยินเข้าก็ทำให้รู้สึกหนาวเหน็บจนสั่นสะท้าน
หัวใจของจิ่งเสี่ยวหย่าสั่นไหว
ความรู้สึกตื่นตระหนกที่ไม่อาจพรรณนาได้ราวกับสายลมที่มองไม่เห็นปะทะเข้ามา