บทที่ 197 ยินดีที่ตกหลุมพราง
ในที่สุดไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็พบกับสิ่งของที่เธอต้องการอยู่ในตะกร้าผ้าที่ใส่แล้ว เธอพบมันในกระเป๋าเสื้อตัวหนึ่ง
เสี่ยวขุยหยิบสิ่งของนั้นออกมาด้วยความดีใจ เธอคิดไปว่าคนพวกนี้ช่างประมาทจริงๆ ทำไมถึงเอาของสำคัญแบบนี้ใส่ไว้ในกองเสื้อผ้าสกปรกแล้วลืมเอาออกมากันได้
เธอคิดพลางเปิดกระดาษนั้นออกดู
แต่วินาทีต่อมาสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป
เมื่อพบว่าในกระดาษนั้นเขียนข้อความไว้ว่า “ยินดีด้วยคุณตกหลุมพรางแล้ว!”
……
จิ่งหนิงและโม่หนานเดินกลับมาที่ห้องพักอย่างมีความสุขพร้อมกับของกินเล่นที่ซื้อมามากมายในมือ
ที่ถนนคนเดินมีของกินอร่อยๆมากมายตามคำร่ำลือจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นบาร์บีคิว ผัดมาม่า ต็อกบ็อกกี ซุปหมาล่า……แม้จะเป็นเพียงอาหารตามข้างถนน แต่สำหรับสาวๆแล้วเป็นเมนูโปรดที่ไม่ต้องสงสัย
ทั้งสองคนซื้อของกลับมากินมากมาย แต่เนื่องจากที่นั่นเสียงค่อนข้างดัง แล้วก็กินไม่สะดวกจึงได้ถือกลับมากินที่ห้อง
เมื่อออกมาจากลิฟต์ก็พบว่าห้องของตนถูกเปิดอยู่ มีแสงไฟลอดออกมาจากด้านใน
ทั้งสองมองหน้ากันอย่างรู้ใจแล้วเดินตรงเข้าไปในห้อง
ภายในห้อง
เสี่ยวขุยนั่งคอตกอยู่บนโซฟา เธอนิ่งเงียบและเศร้าหมอง
มีบอดี้การ์ดสวมชุดสีดำร่างกายสูงใหญ่ขนาบทั้งซ้ายขวา พวกเขาเป็นคนที่โม่หนานเพิ่งจ้างมาชั่วคราว
เมื่อจิ่งหนิงเดินเข้าไปเห็นภาพนี้ เธอก็หัวเราะแล้วบอกว่า “ขอบคุณทั้งสองคนมากค่ะ ตรงนี้ไม่มีอะไรแล้วลงไปข้างล่างเถอะ”
ทั้งสองคนจึงพยักหน้าแล้วหันหลังจากไป
จิ่งหนิงมองไปยังคนที่อยู่ตรงหน้าพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวขุยบังเอิญจังเลยนะ เราพบกันอีกแล้ว”
ตอนนี้เสี่ยวขุยแทบอยากจะตายไปซะจริงๆ
เธอถูกจับได้ทั้ง 2 ครั้ง ในครั้งแรกก็ยังพอถูไถไปได้บ้าง แต่ในครั้งนี้เธอกระโดดเข้ามาในหลุมพรางเต็มๆ
เธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่จิ่งหนิงด้วยสายตาที่อยากจะร้องไห้
“พี่หนิงคะ ฉันผิดไปแล้ว”
จิ่งหนิงเลิกคิ้วแล้วถามว่า “เหรอ ผิดตรงไหนล่ะ?”
เสี่ยวขุยยกมือขึ้นปิดปากของเธอ
แล้วนึกในใจว่า ก็รู้อยู่ยังจะถามอีก……
จิ่งหนิงต้องการให้เธอพูดออกมาด้วยตัวเอง จึงได้เดินไปนั่งลงที่โซฟาอีกด้านหนึ่ง แล้วกำชับให้โม่หนานไปหยิบจานใส่ขนมที่ซื้อกลับมา จากนั้นพูดว่า “บอกมาซิว่าผิดตรงไหน?”
เสี่ยวขุยก้มหน้าก้มตาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีว่า “ฉันไม่ควรขโมยของ”
จิ่งหนิงหัวเราะ
“จิ่งเสี่ยวหย่าสั่งให้มาใช่ไหม?”
ครั้งนี้เสี่ยวขุยไม่พูดอะไร
จิ่งหนิงส่ายหัว
เจ้าเด็กโง่นี่ยังอยากจะช่วยจิ่งเสี่ยวหย่าปิดความลับอยู่อีกเหรอ?
เธอไม่รีบร้อนแล้วหยิบบาร์บีคิวที่โม่หนานส่งมาให้เคี้ยวเข้าปาก
เธอกินไปแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรค่อยๆคิด คิดดีแล้วค่อยบอกฉัน”
เมื่อพูดจบเธอกับโม่หนานก็กินกันอย่างสนุกสนานไม่สนใจเสี่ยวขุยอีก
กลิ่นของอาหารลอยเข้ามาแตะจมูก เสี่ยวขุยอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคอ
เสี่ยวขุยเธอยังไม่ได้กินอาหารเย็น เมื่อตอนกลางวันถูกโม่หนานขังไว้ที่นี่ ข้าวกลางวันก็ไม่ได้กินเช่นกัน ตอนนี้เธอหิวจนแทบจะเป็นลมแล้ว
เมื่อมองเห็นอาหารมากมายวางอยู่บนโต๊ะมีทั้งซาลาเปาทอด ปลาซาบะย่าง ขาไก่แสนนุ่ม……
เธอหิวมาก……
อยากกินจังเลย……
เธอกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
จิ่งหนิงได้ยินเสียงเธอกลืนน้ำลายลงคอ จึงได้เงยหน้าแล้วยิ้ม
เธอยื่นเนื้อแพะบาร์บีคิวให้เสี่ยวขุยแล้วถามว่า “อยากกินเหรอ?”
เสี่ยวขุยสะดุ้งแล้วรีบหันหน้าไปทางอื่น เธอส่ายหัว
จิ่งหนิงหัวเราะแล้วพูดว่า “ก็ได้ ในเมื่อไม่อยากกิน อย่างนั้นเพราะเราก็ไม่เกรงใจแล้วนะ”
พูดจบเธอก็หันไปกินต่อ
เสี่ยวขุยแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว
ในชีวิตนี้เธอไม่เคยต้องมาพบกับสถานการณ์แบบนี้เลย
ท้องเจ้ากรรมก็ยังมาร้องเอาตอนนี้ ตอนที่เธอทำได้แต่มองแต่กินไม่ได้
เธอเผยอปากขึ้นคล้ายกับกำลังจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด
ไม่ได้เธอจะพูดออกมาไม่ได้!
ถ้าเธอพูดออกไปจะทำให้จิ่งเสี่ยวหย่าโมโหขุ่นเคือง ถ้าอย่างนั้นค่ารักษาพยาบาลของแม่ก็จบสิ้นพอดี!
เมื่อเธอนึกถึงแม่ที่นอนอยู่ในโรงพยาบาลรอการผ่าตัด อาหารและกลิ่นหอมๆอยู่ตรงหน้าก็กลายเป็นอากาศไปทันที
เธอไม่ได้กิน ไม่ได้ยิน และมองไม่เห็น!
แม่! เธอต้องช่วยแม่ให้ได้!
จิ่งหนิงเห็นว่าเดิมทีเธออยากกินมากแต่สุดท้ายก็นั่งลง อีกทั้งทำสีหน้าเมินเฉยจิ่งหนิงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ
เพียงชั่วครู่เธอก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอีก
เธอได้แต่ยิ้มไม่ได้พูดอะไรออกมา หลังจากกินไปได้ครึ่งหนึ่งก็หยุดกิน
จิ่งหนิงวางของกินไว้ข้างๆลุกขึ้นยืนและบิดขี้เกียจอย่างสบายอารมณ์ จากนั้นรินน้ำขึ้นมาดื่ม
“อร่อยจริงๆเลยไม่ได้กินอาหารแผงลอยข้างถนนอย่างนี้มานานแล้ว”
ตั้งแต่ที่เธออยู่กับลู่จิ่งเซิน ผู้ชายคนนั้นก็เข้มงวดกับเธอมาก
ตั้งแต่วางแผนเรื่องการทำงานเล็กๆน้อยๆไปจนกระทั่งการกินการอยู่ ทุกอย่างเขาต้องเข้ามาแทรกแซง
ตามปกติแล้วอย่าพูดถึงอาหารข้างทางแบบนี้เลย แม้แต่ร้านอาหารเล็กๆที่ริมถนนก็ไม่ให้เธอเข้าไป
บอกว่ามันไม่สะอาด!
ในสายตาของจิ่งหนิงแล้ว นี่มันช่างไร้มนุษยธรรมจริงๆ
มีใครไม่รู้บ้างว่าอาหารที่ดีที่สุดในโลกนั้นไม่ได้อยู่ในภัตตาคารห้าดาว แต่อยู่ในแผงขายอาหารริมทาง
แต่เขาคนนั้นไม่ใส่ใจกับทฤษฎีของเธอ ความคิดของเขาสิ่งเหล่านี้ก็คือขยะ
ผู้หญิงของลู่จิ่งเซินจะกินของอย่างนี้ได้ยังไง?
จิ่งหนิงเองก็รำคาญที่จะไปโต้เถียงกับเขา ดังนั้นเธอถึงได้ตามใจเขา จากสถานการณ์ตอนนี้เขาไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงได้ ดังนั้นเธอจึงได้ทำอะไรตามต้องการ
เมื่อจิ่งหนิงกินอาหารและเครื่องดื่มอย่างมากมาย เธอก็อารมณ์ดีขึ้นและมองไปทางเสี่ยวขุยด้วยท่าทางรู้สึกสบายใจขึ้น
หลังจากเธอกินอิ่มมาก เธอไม่ได้นั่งลงแต่กลับลุกขึ้นยืนถือแก้วน้ำเดินไปทางหน้าต่าง มือข้างหนึ่งวางไว้ที่ราวบันไดด้วยท่าทางผ่อนคลาย
เธอมองไปยังเสี่ยวขุยแล้วถามว่า “คิดดีหรือยังจะพูดหรือไม่พูด?”
เสี่ยวขุยเม้มริมฝีปากแน่น เธอนิ่งไม่ยอมพูด
แววตาของจิ่งหนิงเย็นลงเล็กน้อย เธอพูดขึ้นว่า “คิดว่าไม่พูดฉันก็ไม่มีวิธีจัดการกับเธอหรือ?”
แต่เสี่ยวขุยก็ยังคงไม่พูด
จิ่งหนิงหัวเราะเยาะ
“ฉันรู้ว่าเธอมีความลับบางอย่างอยู่ในมือถือจิ่งเสี่ยวหย่า แต่คิดมาก่อนหรือเปล่าว่าถ้าตอนนี้ฉันโทรแจ้งตำรวจแล้วจับเธอเข้าคุกไปซะ แค่เรื่องก่อนหน้านี้ที่เธอทำก็สามารถนอนอยู่ในคุกได้ตั้งครึ่งปีหรืออาจจะ 2-3 ปีก็ได้
เวลานานขนาดนี้ทางครอบครัวเธอจะเป็นอย่างไร? คนที่เธออยากจะดูแลปกป้องเขาจะสามารถอยู่ต่อได้หรือเปล่า?”
เสี่ยวขุยสะดุ้งตัวสั่นทันที
เธอเงยหน้าขึ้นมองจิ่งหนิงแล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “คุณอย่าแจ้งตำรวจนะ”
จิ่งหนิงหัวเราะ
“ทำไมล่ะ?”
“ฉัน……”
เสี่ยวขุยลังเลเล็กน้อย เธอรู้ว่าเธอไม่ควรบอกเรื่องนี้กับจิ่งหนิง ถ้าเธอไม่พูดและต้องเข้าคุกไป จิ่งเสี่ยวหย่าก็ยังสามารถช่วยรักษาแม่เธอได้
แต่ถ้าเธอพูดออกไปแล้วจิ่งเสี่ยวหย่าเกลียดชังเธอ ต้องการแก้แค้นเธอ อย่าว่าแต่แม่ของเธอเลยแม้แต่ตัวเธอก็คงจบไม่สวย
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวขุยลังเลอย่างนั้น จิ่งหนิงก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอหยิบบัตรธนาคารใบหนึ่งจากกระเป๋าแล้วโยนลงบนโต๊ะ
“ในบัตรใบนี้มีเงินสองแสนหยวน พอดีกับค่าผ่าตัดของแม่เธอ บอกมาเถอะจิ่งเสี่ยวหย่าให้เธอทำอะไร?”
แววตาของเสี่ยวขุยหรี่ลง
เธอจ้องมองไปยังบัตรธนาคารที่อยู่บนโต๊ะจากนั้นเงยหน้ามองจิ่งหนิง