บทที่ 204 กินมื้อดึก
“คุณว่า จากเรื่องที่เราสองคนไม่อาจคบกันต่อไปได้จนกลายเป็นความแค้น คุณควรจะตั้งหน้าตั้งตามองดูฉันถูกคนอื่นหลอกเสียจนไม่เป็นท่า สุดท้ายแล้วคุณจะได้หัวเราะเยาะฉันไม่ดีกว่าเหรอ?
ทำไมตอนนี้ถึงได้รู้สึกถึงความผิดชอบชั่วดี จู่ๆอยากจะทำความดีเพื่อสั่งสมคุณธรรมอย่างนั้นเหรอ? คุณทำแบบนี้มีผลดีอะไรกับตัวคุณเองกัน?หรือว่าคุณยังชอบฉันอยู่ ไม่อยากเห็นฉันกับลู่จิ่งเซินมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน?”
เมื่อสิ่งพูดจบเธอก็มองไปยังเขากึ่งหัวเราะ
เสียงของมู่ยั่นเจ๋อติดอยู่ในลำคอ
ภายใต้ดวงตาที่แหลมคมของเธอดูเหมือนจะมีบางอย่างที่สามารถมองเห็นในจิตใจของเขาได้
เขารีบก้มหน้าลงแล้วแสร้งทำเป็นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “จิ่งหนิง ผมเตือนคุณจากใจจริง คุณอย่าคิดว่าผมล้อเล่น”
จิ่งหนิงพยักหน้าอย่างจริงจัง
“ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว คุณกำลังบอกกับฉันว่าคุณไม่อาจลืมความรักครั้งเก่าของเราได้และหวังว่าฉันกับลู่จิ่งเซินจะเลิกกันแล้วกลับมาคบกับคุณจากใจจริงสินะ?”
มู่ยั่นเจ๋อ “……”
จิ่งหนิงหัวเราะเหอะๆแล้วส่ายหัว
“น่าเสียดายจริงๆ โบราณว่าคนที่ดีจะไม่คิดถอยหลัง มู่ยั่นเจ๋อ คุณเป็นคนที่หักหลังฉันก่อน ต่อให้ฉันเลิกกับลู่จิ่งเซินฉันก็ไม่มีทางกลับไปชอบคุณอีกแน่ๆ คุณกำลังคิดบ้าอะไรอยู่เหรอ?”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเมื่อได้ยินคำพูดของเธอประโยคนี้อารมณ์ของมู่ยั่นเจ๋อก็พลุ่งพล่าน
มันคล้ายกับหยาดฝนมากมายที่โถมลงมาซัดสาดหัวใจของเขาให้เต้นแรง
เขาเลียริมฝีปากของตัวเองแล้วพูดด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า “ผมไม่ได้หวังให้คุณกลับมาหาผมอีก ผม……ผมรู้ว่าคุณเกลียดผมมากและผมไม่กล้าจะคาดหวังอะไร เพียงแต่ไม่อยากให้คุณจะต้องเจ็บปวดอีก ถือซะว่าเป็นการชดเชยที่ผมเคยติดค้างคุณไว้”
จิ่งหนิงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่ามันตลกมาก แต่เธอก็อดกลั้นเอาไว้
เธอพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “โอเค ฉันรู้แล้วค่ะ ถ้าไม่มีเรื่องอื่นเชิญคุณออกไปก่อน”
มู่ยั่นเจ๋อมองดูเธอคล้ายจะพูดอะไร
แต่สุดท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงหันหลังแล้วเดินจากออกไป
กระทั่งประตูของห้องรับรองถูกปิดลง และเขาเดินออกไปไกลแล้วเธอจึงได้หัวเราะออกมา
โม่หนานเดินเข้ามาจากด้านนอก เมื่อมองเห็นเธอหัวเราะเสียจนตัวเกร็งก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“จิ่งหนิง เป็นอะไรไปหัวเราะขนาดนี้?”
จิ่งหนิงโบกมือ ผ่านไปพักหนึ่งเธอจึงหยุดหัวเราะได้แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรฉันก็แค่รู้สึกว่าเจอกับเรื่องที่มันตลกมากน่ะ”
โม่หนานรู้สึกแปลกใจมาก “เรื่องอะไรกัน?”
“เมื่อสักครู่มู่ยั่นเจ๋อเข้ามาข้างใน เธอทายดูซิว่าเขาพูดอะไรกับฉัน?”
โม่หนานตะลึงและส่ายหัว
“ฉันเดาไม่ถูก”
จากนั้นจิ่งหนิงจึงได้หัวเราะพลางเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้เธอฟัง
เมื่อโม่หนานฟังจบก็รู้สึกพูดไม่ออก
“เขาเป็นโรคจิตหรือไง?คิดว่าเธอเป็นอะไรกัน อยากมาก็มาอยากไปก็ไป อีกทั้งยังหยิบยกความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา มาทำให้เขาทะเลาะกัน เขาคิดว่าตัวเองดีเด่นมาจากไหนกัน คิดว่าเธอจะต้องขอบคุณเขาเหรอ?”
จิ่งหนิงหัวเราะเสียจนแทบจุก ผ่านไปเนิ่นนานเธอจึงได้หายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “ก็คงอย่างนั้นมั้ง แต่เขาไม่รู้มาก่อนว่าฉันรู้เรื่องนี้แล้ว ตอนที่เดินออกไปรู้สึกผิดหวังมากเลยล่ะ”
โม่หนานเผยอริมฝีปากอย่างเย้ยหยัน
“เป็นถึงคุณชายแห่งตระกูลมู่ แต่มีจิตใจชั่วร้ายถึงขนาดยั่วยุให้สามีภรรยาเขาเกิดความบาดหมางกัน กล้าดียังไงจะมาเปรียบเทียบกับคุณชายฉัน น่าขำจริงๆ!”
จิ่งหนิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “เขาทำตนเองเหมือนตัวตลกแบบนี้ไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว เอาล่ะอย่าไปสนใจเขาเลย อ้อ โม่หนานก่อนหน้านี้ลู่จิ่งเซินกลับไปเมืองหลวงมาเหรอ?”
โม่หนานชะงักไปชั่วครู่ เมื่อเธอตั้งสติได้ก็รีบตอบกลับว่า “ใช่ตอนนั้นคุณกำลังถ่ายหนังอยู่ ฉันก็เลยรับสายแทนให้จากนั้นก็ลืมบอกน่ะ”
จิ่งหนิงพยักหน้า
“ไม่เป็นไร ฉันก็แค่ถามดูเฉยๆ เอาล่ะวันนี้ก็ใกล้ถึงเวลาแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”
“อืม”
การถ่ายทำในช่วงกลางคืนดำเนินไปอย่างราบรื่น
แม้ว่าระหว่างการถ่ายทำจะมีปัญหาหลายต่อหลายครั้งที่จิ่งเสี่ยวหย่าสร้างขึ้น และสั่งถ่ายทำใหม่หลายต่อหลายครั้ง แต่ถ้าเทียบกับก่อนหน้านี้ก็นับว่าดีมากแล้ว
หลินซูฝานเบื่อหน่ายที่จะดุด่าเธออีกต่อไป เขามองออกว่าเมื่อจิ่งเสี่ยวหย่าแสดงกับคนอื่นก็แสดงได้ดีมาก
หากเป็นบทที่แสดงกับจิ่งหนิงก็มักเกิดปัญหา
ถ้าไม่ใช่ลืมบทพูดก็แสดงไม่เป็นธรรมชาติ ต้องคอยสั่ง ng ตลอด
ณ จุดนี้ หลินซูฝานไม่รู้จะว่าอย่างไร เขามองออกว่าจิ่งหนิงกำลังจงใจทำให้จิ่งเสี่ยวหย่าเป็นแบบนี้
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจนั่นคือจิ่งหนิงเพิ่งจะเคยถ่ายทำเป็นครั้งแรก เธอมีความสามารถที่แข็งแกร่งอย่างนี้ได้อย่างไร?
ในวงการบันเทิง มักมีการกดดันฝ่ายตรงข้ามให้เห็นอยู่เสมอ
บรรดานักแสดงที่มีประสบการณ์ก็จะแสดงทักษะอันสง่าผ่าเผยของตนออกมาแล้วขึ้นเป็นผู้ครอบครองสนามนั้น
ในระหว่างการถ่ายทำ พวกเขาจะสร้างแรงกดดันให้ฝ่ายตรงข้าม
หากเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกันทั้งสองคนก็จะแสดงออกมาได้ดี หากให้ความกดดันแก่ฝ่ายตรงข้ามไม่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะแสดงดีขนาดไหนก็จะถูกแรงนั้นบดขยี้เสียจนไม่อาจเงยหน้าขึ้นได้
โดยปกติแล้วกลุ่มคนที่มีความสามารถนี้จะต้องใช้เวลา8ปีหรือ10ปีเป็นอย่างน้อย
แต่จิ่งหนิงมีความสามารถนี้ตั้งแต่กำเนิด ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมาก
ในเมื่อเขารู้ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่จิ่งเสี่ยวหย่า หลินซูฝานก็สบายใจขึ้น
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เอ็นดูจิ่งเสี่ยวหย่า แต่ในเมื่อเซ็นสัญญากันแล้วก็จะต้องทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด หากเขาเสียเวลาไปหนึ่งวันก็จะสิ้นเปลืองงบประมาณไปหนึ่งวันโดยใช่เหตุ เขาจะต้องนึกถึงเจ้าหน้าที่ทุกคนในกลุ่มถ่ายทำ จะปล่อยให้จิ่งหนิงกดดันแบบนี้ไม่ได้
ดังนั้นหลังจากถ่ายทำเสร็จหลินซูฝานก็เดินมาหาจิ่งหนิงเพื่อเจรจากับเธอ
คล้ายกับว่าเธอรู้ล่วงหน้าว่าเขาจะมาหา หลังเลิกงานจิ่งหนิงก็ยืนอยู่ที่นั่นเพื่อรอเขา
เมื่อเห็นเขาเดินมาถึงก็ยิ้มแล้วถามว่า “ผู้กำกับหลินหิวไหมคะ?เราไปหาอะไรกินกันไหม?”
หลินซูฝานเอามือลูบที่ท้องของตัวเองพยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็ดีเหมือนกัน ไปกินที่ร้านในซอยตรงข้ามเป็นยังไง?”
จิ่งหนิงตอบรับ
ถนนตรงข้ามนั้นมีร้านบาร์บีคิวอยู่ จากประสบการณ์ของทั้งสองก่อนหน้านี้พวกเขาจึงไม่ได้นั่งด้านนอก แต่เข้าไปทางด้านใน
โม่หนานรู้ว่าพวกเขามีเรื่องต้องคุยกันจึงไม่ได้ตามเข้าไปด้วย ได้แต่รออยู่ข้างนอก
เมื่อเข้าไปในห้องหลังจากสั่งอาหารเสร็จแล้ว จิ่งหนิงก็พูดออกมาตรงๆว่า “ผู้กำกับหลินคะ วันนี้คุณมาหาฉันเป็นเพราะเรื่องจิ่งเสี่ยวหย่าหรือเปล่า?”
เมื่อหลินซูฝานเห็นว่าเธอพูดออกมาด้วยตัวเองก็รู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเขาพยักหน้าตอบรับ
“ผมรู้ว่าพวกคุณเป็นพี่น้องกันและเคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน ก่อนหน้านี้ผมไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่นั่นก็เป็นเรื่องส่วนตัวของพวกคุณทั้งสองคน เมื่ออยู่ในกองถ่ายผมหวังว่าคุณจะคิดแทนคนอื่นบ้าง อย่าเอาเรื่องส่วนตัวเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องงาน จะทำให้ส่งผลต่อความก้าวหน้าของงาน”
จิ่งหนิงพยักหน้า
“ความหมายของคุณคือเรื่องนี้ฉันจะต้องขอโทษคุณอย่างนั้นเหรอคะ ว่าแต่มีอยู่เรื่องหนึ่งคุณรู้หรือเปล่า?”
หลินซูฝานตกตะลึงแล้วรีบถามขึ้นว่า “เรื่องอะไร?”
จิ่งหนิงแกะตะเกียบออกจากกันแล้วพูดว่า “คนที่แอบถ่ายตอนฉันเข้าไปในห้องคุณแล้วเผยแพร่ภาพนี้ไปอินเทอร์เน็ต คนที่ใส่ร้ายพวกเรา คนคนนั้นฉันจับได้แล้ว”