บทที่ 206 เสแสร้งแกล้งทำ
ที่สำคัญคือตอนนี้มู่ยั่นเจ๋อเป็นทายาทของแห่งมู่ซื่อกรุ๊ป อีกทั้งตอนนี้รับหน้าที่เป็นผู้จัดการใหญ่
แม้ว่ามู่ซื่อกรุ๊ปจะไม่ได้แข็งแกร่งและมีชื่อเสียงเท่ากับลู่ซื่อกรุ๊ป แต่ในเมืองจิ้นนี้ก็นับว่าเป็นบริษัทแนวหน้า
ใครๆก็รู้ว่าในฐานะผู้จัดการใหญ่อย่างมู่ยั่นเจ๋อนั้น แต่ละวันจะมีเรื่องต้องจัดการมากมายขนาดไหน
แต่เขากลับยอมทิ้งงานในมือที่มีอยู่ เพื่อที่จะเดินทางมาส่งซุปบำรุงร่างกายให้กับเธอด้วยตนเอง ช่างเป็นแฟนที่ดีราวกับเทวดาก็ว่าได้?
บรรดาตัวประกอบต่างพากันอิจฉา
แน่นอนว่าจิ่งเสี่ยวหย่าต้องภูมิใจเป็นที่สุด เธอถือซุปนั้นไว้ในมือด้วยรอยยิ้ม
อีกทั้งยังโอ้อวดซุปกับนักแสดงหญิงที่อยู่ตรงนั้นด้วย จึงทำให้เกิดเสียงเฮฮาขึ้นมาอีก
จิ่งหนิงมองดูฉากที่อยู่ตรงหน้านี้แล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะ
เธอนึกขึ้นได้ถึงประโยคที่มู่ยั่นเจ๋อพูดกับเธอเมื่อวานนี้
ไม่รู้ว่าถ้าจิ่งเสี่ยวหย่ารู้เรื่องนี้เข้า เธอจะมีท่าทางอย่างไร?
เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอก็คล้ายกับคิดอะไรได้ จึงยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์แล้วถามว่า
“โม่หนาน จิ่งเสี่ยวหย่าชอบมู่ยั่นเจ๋อขนาดนั้น ถ้าวันไหนพวกเขาเลิกกันขึ้นมา เธอจะเป็นบ้าหรือเปล่า?”
โม่หนานตะลึง จากนั้นเบ้ปากพูดว่า
“คนหนึ่งเสเพล อีกคนก็แพศยา เป็นคู่ที่เหมาะสมกันดีจริงๆ อย่าให้พวกเขาได้เลิกกันแล้วไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นๆอีกเลยค่ะ คู่กันแบบนี้ดีแล้ว”
จิ่งหนิงพยักหน้า “อืม พูดแบบนี้ก็ถูก”
เธอหยุดพูดสักพัก จากนั้นก็หัวเราะออกมา
“แต่ว่าความรักจะต้องมีอุปสรรค ว่าไหม?”
โม่หนานไม่ค่อยเข้าใจว่าเธอหมายความว่าอย่างไร ในเมื่อจิ่งหนิงไม่ได้อธิบายออกมา เธอก็ไม่กล้าถาม
ผ่านไปสักพักหลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว จิ่งเสี่ยวหย่าก็โอบแขนมู่ยั่นเจ๋อมายังห้องแต่งตัว
จิ่งหนิงเห็นดังนั้นก็พูดกับโม่หนานว่า “ได้เวลาแล้ว พวกเราไปแต่งหน้ากันเถอะ”
โม่หนานพยักหน้า
ทั้งสองคนเดินไปยังห้องแต่งหน้า ก็ได้ยินจิ่งเสี่ยวหย่าพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนกับมู่ยั่นเจ๋อว่า “พี่เจ๋อคะ ซุปที่พี่เอามาให้อร่อยจังเลย พรุ่งนี้พี่เอามาให้อีกได้ไหมคะ?”
มู่ยั่นเจ๋อกุมมือเธอด้วยความทะนุถนอมแล้วลูบไปที่หัวเธอเบาๆ “ครับ”
“พี่เจ๋อคะ พี่ดีกับฉันจริงๆ”
“นั่นเป็นเพราะเสี่ยวหย่าของเขาคู่ควร”
ทั้งสองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาได้ยินประโยคเหล่านั้นก็พากันแขยงขน
อี๋~~~
คำพูดที่สะอิดสะเอียนแบบนี้พูดให้อีกฝ่ายหนึ่งฟังหรือพูดให้ครอบข้างฟังกันแน่?
จิ่งหนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นรู้สึกอยากจะอ้วก เธอจึงเดินเข้าไปข้างใน
“อ้าวพี่คะ มาแล้วเหรอ!”
เมื่อจิ่งเสี่ยวหย่าเห็นเธอ ก็รีบเอ่ยทักทาย
จิ่งหนิงไม่ได้ทำหน้าเยือกเย็นใส่เธอ แต่กลับยิ้มแย้มแล้วพยักหน้าตอบรับ แล้วหันไปพูดกับช่างแต่งหน้าว่า “รบกวนด้วยนะคะ”
ช่างแต่งหน้าสนิทกับเธอมาก เมื่อสักครู่อยู่ในห้องนี้ต้องนั่งทนฟังจิ่งเสี่ยวหย่ากับมู่ยั่นเจ๋อแสดงความรักต่อกันและกัน เมื่อเห็นจิ่งหนิงมาก็ดีใจ
จึงได้พูดขึ้นว่า “มาสักทีนะคะ!”
จิ่งหนิงยิ้มออกมาอย่างรู้ใจ จากนั้นนั่งลงที่เก้าอี้
เนื่องจากงบประมาณมีจำกัด ดังนั้นจึงมีห้องแต่งหน้าเพียงสองห้องเท่านั้น ห้องหนึ่งสำหรับตัวประกอบ อีกห้องหนึ่งสำหรับตัวแสดงหลัก
การแต่งหน้าของนางเอกค่อนข้างจะซับซ้อนดังนั้นพวกเธอมักจะเดินทางมาก่อนเสมอ ในตอนนี้นอกจากช่างแต่งหน้ากับมู่ยั่นเจ๋อแล้ว ก็มีเพียงจิ่งหนิงและจิ่งเสี่ยวหย่าเท่านั้น
จิ่งเสี่ยวหย่ามองดูจิ่งหนิงแล้วยิ้มเยาะเย้ยว่า “พี่คะ ได้ยินเรื่องพี่กับผู้กำกับหลินจากอินเทอร์เน็ตลือกันไปผิดเพี้ยนหมดแล้ว พี่โอเคหรือเปล่า?”
มู่ยั่นเจ๋อตกตะลึงเล็กน้อย
เขากันไปมองจิ่งหนิง
เขารู้เรื่องข่าวที่เผยแพร่ในเน็ตดี แต่เชื่อว่าเธอไม่ใช่คนแบบนั้น
แต่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหลินซูฝานถึงไม่เลือกนักแสดงที่มีประสบการณ์ แต่กลับมาเลือกจิ่งหนิงที่ไม่เคยแสดงละครมาก่อน แต่ด้วยนิสัยของจิ่งหนิงนั้นเขารู้ดีเป็นที่สุด
ก่อนหน้านี้หลายต่อหลายครั้งเธอไม่เคยใช้รูปลักษณ์ภายนอกเพื่อที่จะปีนป่ายขึ้นสู่ที่สูง ในครั้งนี้เพียงแค่ละครเรื่องเล็กๆธรรมดาเท่านั้นเธอไม่ทำแบบนั้นแน่นอน
จิ่งหนิงคิดไม่ถึงว่ามู่ยั่นเจ๋อจะเชื่อมั่นในตัวเธอมากขนาดนั้น
เธอนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วพูดออกมาอย่างเชื่องช้าว่า “ก็ดีนะ กินอิ่มนอนหลับ ทำไมเหรอเป็นห่วงฉันหรือไง?”
“ก็แน่นอนอยู่แล้วค่ะไม่ว่ายังไงพี่ก็คือพี่ของฉัน เลือดเนื้อมันตัดกันไม่ขาดหรอก เรื่องแบบนี้กับพี่ขึ้นฉันก็ต้องเป็นห่วงอยู่แล้ว”
จิ่งหนิงยิ้มออกมา อย่างไม่เต็มใจนักแล้วมองไปทางจิ่งเสี่ยวหย่า “ขอบคุณนะที่เป็นห่วง แต่ว่าสบายใจได้ เรื่องนี้ฉันส่งคนไปตรวจสอบแล้วคิดว่าคงจะรู้ผลเร็วๆนี้”
จิ่งเสี่ยวหย่าเลิกคิ้วขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ ในเมื่อพี่เป็นผู้ถูกใส่ร้าย ฉันขออวยพรให้พี่พบกับคนร้ายเร็วๆและคืนความยุติธรรมให้กับตัวเอง”
“ขอบคุณนะคะน้องสาว”
ทั้งสองคนสนทนากันไปมาแม้จะบอกว่าเป็นห่วง แต่จากคำพูดที่เสแสร้งแกล้งทำนั้นมันไม่สามารถปิดบังได้
แม้แต่ช่างแต่งหน้าทั้งสองคนก็รู้สึกอึดอัดตามไปด้วย
พวกเธอเคยได้ยินว่าสองพี่น้องนี้ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่นัก แต่ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนี้จริงๆ
ดีที่ทั้งสองคนนี้ยังสามารถใช้สถานที่ร่วมกันได้ ไม่อย่างนั้นหากต้องใช้ห้องแต่งหน้าเดียวกันก็ไม่รู้จะต้องจัดการอย่างไร
คนรอบข้างล้วนพากันเช็ดเหงื่อแทนทั้งสองคน จากนั้นได้ยินจิ่งหนิงหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “แล้วผู้ช่วยที่หายไปน่ะเจอหรือยัง?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จิ่งเสี่ยวหย่าก็เริ่มโมโห
แต่ตอนนี้เธออยู่ต่อหน้าจิ่งหนิงจะทำตัวน่าสงสัยไม่ได้
ดังนั้นจึงทำได้เพียงกัดฟันแล้วแกล้งพูดออกมาว่า “ยังเลยค่ะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า ฉันก็ให้คนไปหาแล้วเหมือนกัน พี่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ”
จิ่งหนิงพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ยังไงซะก็เป็นถึงผู้ช่วยของน้องสาวฉันและอยู่ด้วยกันกับเธอมาตั้งนาน ถ้าไม่เป็นอะไรก็ดี แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นละก็ น้องสาวฉันคงจะปัดความรับผิดชอบนี้ไปไม่พ้นสินะ”
จิ่งเสี่ยวหย่าโมโหเสียจนกำมือแน่น เธอไม่ได้ตอบอะไรออกไป
ว่าไปแล้วก็แปลก หลังจากค่ำคืนที่เสี่ยวขุยหายตัวไป เธอก็ส่งคนไปตามหาทุกที่แม้กระทั่งโรงพยาบาล
แต่ก็พบว่าหาเธอไม่เจอ คล้ายกับระเหยไปท่ามกลางอากาศซะอย่างนั้น
เดิมทีเธอคิดว่าเสี่ยวขุยถูกจิ่งหนิงจับได้ตอนไปขโมยของจึงได้กักตัวเธอเอาไว้
แต่ข่าวในอินเทอร์เน็ตเผยแพร่ไปอย่างดุเดือด จิ่งหนิงก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธใดๆ ถ้าเธอจับเสี่ยวขุยได้จริงๆคงจะออกมาบีบบังคับให้เสี่ยวขุยพูดความจริงแล้ว เพื่อเป็นการล้างความผิดของตัวเองและคืนความยุติธรรมกลับมา
การที่เธอไม่ได้ทำแบบนี้ก็หมายความว่าเสี่ยวขุยไม่ได้อยู่ในมือเธอ
เมื่อคิดได้อย่างนี้จิ่งเสี่ยวหย่าก็โล่งอก
เพียงแค่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเสี่ยวขุยอยู่ที่ไหนจึงทำให้เธอค่อนข้างจะกังวล
ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กโง่นั่นไปตายอยู่ที่ไหนกันแน่ ถ้าเธอหาตัวเจอละก็จะสั่งสอนซะให้เข็ด!
แววตาของจิ่งเสี่ยวหย่าสะท้อนถึงความเจ้าเล่ห์ออกมาเป็นประกาย
มู่ยั่นเจ๋อสัมผัสได้ว่าทั้งสองคนนี้มีบางอย่างผิดปกติไป แต่เขาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร