บทที่ 207 กลายเป็นภาระ
หลังจากนั่งอยู่สักพักและเห็นว่าเวลาใกล้จะถึงเต็มทีแล้ว อีกทั้งสองคนก็แต่งหน้าจวนเสร็จแล้ว มู่ยั่นเจ๋อจึงได้ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “สายแล้ว ผมต้องกลับบริษัทแล้วนะ”
จิ่งเสี่ยวหย่าขมวดคิ้วขึ้นด้วยความเสียดาย
“จะไปแล้วเหรอคะ?อยู่เป็นเพื่อนฉันอีกสักหน่อยไม่ได้เหรอ”
มู่ยั่นเจ๋อปลอบโยนเธออย่างอดทนว่า “ที่บริษัทมีเรื่องที่ต้องจัดการ อีกอย่างเดี๋ยวคุณไปถ่ายละครก็ไม่สนใจผมแล้ว ผมไม่อยู่รบกวนแล้วดีกว่า”
เมื่อเห็นเขาพูดแบบนี้จิ่งเสี่ยวหย่าจึงได้พยักหน้า
“ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันไปส่งคุณนะคะ พรุ่งนี้ต้องมาหาฉันอีกนะ”
มู่ยั่นเจ๋อพยักหน้าตอบรับ
ทั้งสองคนเดินหันหลังจากไปยังไม่ทันได้สองก้าวก็ได้ยินเสียงดังฟังชัดไล่หลังว่า
“รอเดี๋ยว!”
เมื่อหันกลับไปก็พบจิ่งหนิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ขมวดคิ้วขึ้นแล้วมองมาทางพวกเขา
“ฉันมีเรื่องจะถามคุณ”
จิ่งเสี่ยวหย่ามองดูเธอด้วยท่าทางหวาดระแวง “พี่เจ๋อจะต้องรีบกลับไปทำงาน พี่มีเรื่องอะไรค่อยถามทีหลังไม่ได้เหรอ?”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเมื่อเธอเห็นดวงตาของจิ่งหนิงคู่นั้น ก็รู้สึกว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่
ดังนั้นการที่ไม่ให้ทั้งสองคนพูดคุยกันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
แต่ไม่ว่าจะเป็นจิ่งหนิงหรือมู่ยั่นเจ๋อมีใครจะฟังเธอกันเล่า
มู่ยั่นเจ๋อหยุดชะงักลงแล้วเอ่ยถามว่า “เรื่องอะไรถามมาเถอะครับ”
จิ่งหนิงยิ้มเบาๆแล้วลุกขึ้นยืน
“เรื่องเมื่อคืนที่คุณคุยกับฉัน เป็นความจริงใช่ไหม?”
มู่ยั่นเจ๋อตกตะลึง!
จิ่งหนิงถอนหายใจแล้วทำท่าทางเหมือนเสียเสียใจพูดว่า “ถ้าเป็นเรื่องจริงละก็ ที่ผ่านมาฉันคงจะเข้าใจคุณผิดไป ฉันก็ขอโทษไว้ตรงนี้ด้วย ขอบคุณที่เตือนฉันนะคะฉันจะคอยระวัง”
มู่ยั่นเจ๋อคิดไม่ถึงว่าเธอจะถามสิ่งนี้ขึ้น
ในสมองของเขามีคำถามมากมาย อีกทั้งอารมณ์ที่บอกไม่ได้
ดีใจ ตื่นเต้น มีความสุข รู้สึกแย่ ผิดหวัง……ทุกอย่างมากองรวมกัน
จิ่งเสี่ยวหย่าไม่รู้ว่าเขาทั้งสองคนพูดอะไรกันอยู่ เพียงสัมผัสได้ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ สายตาอันสงสัยนั้นมองไปยังทั้งสองคน
“พี่เจ๋อคะ เมื่อคืน……พี่ออกจากห้องรับรองของฉันแล้วก็จากไปเลยไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงได้……?”
มู่ยั่นเจ๋อตกตะลึง เขาดึงสติกลับมาแล้วรีบอธิบายว่า “อ๋อ ตอนนั้นคิดเรื่องบางอย่างได้ก็เลยเดินไปคุยกับเธอน่ะ”
สีหน้าของจิ่งเสี่ยวหย่าเปลี่ยนไปทันที
“ทำไมฉันไม่รู้?”
“ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลยไม่ได้บอก”
“แต่ว่า……”
“มู่ยั่นเจ๋อ” จิ่งหนิงพูดขึ้นขัดจังหวะพวกเขาแล้วยิ้มให้กับมู่ยั่นเจ๋อบอกว่า “วางใจได้เลยนะคะ ฉันจะไม่เดินไปถึงจุดที่คุณเป็นห่วงแน่ เพื่อเป็นการตอบแทน ฉันจะขอเตือนคุณเรื่องหนึ่งเหมือนกัน”
มู่ยั่นเจ๋อรู้สึกได้ว่าเธอพูดจากใจจริง ดังนั้นจึงได้ทำท่าทางจริงจังพยักหน้าพูดว่า “ครับ เชิญพูด”
จิ่งหนิงมองดูจิ่งเสี่ยวหย่าที่ทำตัวไม่ถูกอยู่ตอนนี้
จากนั้นใบหน้าเธอก็ปรากฏรอยยิ้มแล้วพูดว่า “มู่ซื่อกรุ๊ปแม้ว่าจะก่อตั้งขึ้นในเมืองจิ้นหลายปีมาแล้ว และหยั่งรากลึกลงสู่ดิน แต่ในวันนี้การแข่งขันเป็นไปค่อนข้างดุเดือด หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นแม้แต่น้อยละก็ เกรงว่าหมากกระดานนี้จะแพ้หมด!
ในฐานะที่คุณเป็นทายาทของตระกูลมู่ การจะคบหากับใครก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ฉันหวังว่าคุณจะคิดให้ดีเสียก่อน และดูแลคนของคุณให้ดีอย่าให้ไปเป็นภาระของคนในอนาคต”
มู่ยั่นเจ๋อตกตะลึง
แล้วมองเธออย่างเหลือเชื่อ
แต่จิ่งเสี่ยวหย่ากลับกรีดร้องขึ้นมาราวกับถูกใครเหยียบหาง
“จิ่งหนิง คำพูดนี้หมายความว่ายังไง ใครเป็นภาระของพี่เจ๋อกัน?”
จิ่งหนิงชายตาไปมองเธอ
กึ่งยิ้มกึ่งหัวเราะแล้วตอบว่า “จะเดือดร้อนทำไมกัน ฉันไม่ได้ว่าเธอสักหน่อย หรือเธอไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลย ฉันก็แค่พูดลอยๆเธอทำไมต้องเก็บไปคิดว่าเป็นตัวเองล่ะ?”
จิ่งเสี่ยวหย่า “……”
มู่ยั่นเจ๋อทำสีหน้าเคร่งขรึมมองไปทางเธอแล้วรู้สึกเอือมระอา
“ผมรู้แล้ว คุณวางใจได้ผมจะคอยระวัง”
จิ่งหนิงพยักหน้าแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก เธอพาโม่หนานเดินออกจากไป
เมื่อเธอเดินจากไปแล้ว ช่างแต่งหน้าอีกสองคนรู้สึกได้ถึงความผิดปกติจึงได้รีบออกไปเช่นกัน
ในห้องแต่งตัวตอนนี้เหลือเพียงแค่จิ่งเสี่ยวหย่าและมู่ยั่นเจ๋อเท่านั้น
จิ่งเสี่ยวหย่าโอบไปที่แขนของเขา เงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วรีบพูดว่า “พี่เจ๋อคะ คุณจะต้องเชื่อฉันนะ ฉันจะต้องเชิดหน้าชูตาให้ได้ จะไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน คุณอย่าไปเชื่อคำพูดไร้สาระของเธอ”
มู่ยั่นเจ๋อก้มลงมามองเธอ ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขานั้นไม่หลงเหลือความอ่อนโยนเมื่อสักครู่
เขาพูดขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า “ผมเชื่อคุณ แล้วอีกอย่างที่จิ่งหนิงพูดมาเมื่อสักครู่อาจจะไม่ใช่คุณก็ได้ จะเป็นเดือดร้อนทำไมกัน?”
จิ่งเสี่ยวหย่าพูดไม่ออก
จะไม่ให้เธอเดือดร้อนได้ยังไงกัน!
ตัวเธอเพิ่งจะเซ็นสัญญากับบันเทิงเฟิงหัวได้ไม่นาน ก็มีข่าวคราวอื้อฉาวที่โรงเรียนนั่น เดิมทีสัญญาเรื่องพรีเซนเตอร์ที่เคยคุยกันไว้ก็ถูกยกเลิกอีกทั้งยังต้องชดเชยเงินจำนวนไม่น้อย
ตอนนี้กว่าเธอจะทำให้เรื่องราวสงบลงได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว เธอได้รับบทในการแสดงและหวังว่าจะคืนสู่ตำแหน่งเดิมได้ แต่กลับมาพบเข้ากับคนอย่างจิ่งหนิง และเธอได้ถูกนำไปถูกเปรียบเทียบนับครั้งไม่ถ้วน
ถ้าเธอกลับเข้าสู่วงการไม่สำเร็จ ถ้าเธอสร้างผลงานในเรื่องนี้ออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร เธอไม่กล้าคิดจริงๆว่าสภาพของเธอจะจบลงอย่างไร
วงการนี้เดิมทีก็ค่อนข้างจะยากเย็น แต่ละวันมีนักแสดงหน้าใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา ตัวเองไม่ได้มีผลงานมากกว่าครึ่งปีแล้ว เวลาครึ่งปีเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนลืมเธอ
ถ้าเธอไม่มีผลงานมาลบล้าง และแสดงให้เห็นถึงความสามารถของเธอ เกรงว่าจะมีคนลืมเธอมากกว่านี้
เมื่อถึงเวลานั้น บันเทิงเฟิงหัวที่ลงทุนกับเธอมามากมายคงต้องขาดทุน
ก่อนหน้านี้ได้ชดเชยค่าเสียหายไปก้อนหนึ่งแล้ว ท่านประธานกรรมการก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็น หากตอนนี้ทำให้พวกเขาขาดทุนอีก แม้แต่มู่ยั่นเจ๋อที่เป็นแฟนของเธอก็เกรงว่าอาจจะถูกประธานกรรมการจัดการด้วย
มู่ซื่อกรุ๊ปเป็นธุรกิจของครอบครัว แต่กว่าจะพัฒนามาได้ขนาดนี้ หลายต่อหลายครั้งที่พวกเขาเผชิญปัญหาด้านการเงินจึงไม่ได้เป็นเพียงธุรกิจครอบครัวธรรมดาเท่านั้น
แม่ว่ามู่โหงจะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท อีกทั้งกุมอำนาจในการตัดสินใจใหญ่สุด แต่หากประธานกรรมการแสดงความคิดเห็นในด้านลบต่อมู่ยั่นเจ๋อละก็ แม้จะเป็นพ่อแท้ๆก็ไม่อาจปกป้องเขาได้
คำพูดของจิ่งหนิงเมื่อสักครู่ชัดเจนแล้วว่า แม้มู่ซื่อกรุ๊ปจะไม่ได้มีเพียงบันเทิงเฟิงหัวแค่บริษัทเดียว แต่บันเทิงเฟิงหัวก็สร้างรายได้มากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งพัฒนาได้ดีที่สุดในตอนนี้
หากเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นละก็ เกรงว่ามู่ยั่นเจ๋อก็อาจจะยากที่จะอยู่ต่อไปในบริษัทได้
ในฐานะคู่หมั้นของมู่ยั่นเจ๋อ จิ่งเสี่ยวหย่าจะไม่เข้าใจได้อย่างไร?
ดังนั้นเธอจึงเริ่มกังวล
มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงมองดูเธอแล้วยิ้มขึ้น
“เสี่ยวหย่า คุณเป็นคู่หมั้นของผมนะ คุณควรที่จะเลือกเชื่อใจผมและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ต้องเอาคำพูดของเธอเมื่อสักครู่หยิบมาใส่ใจ ผมเชื่อในตัวคุณเสมือนกับเชื่อตัวเองเข้าใจไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา จิ่งเสี่ยวหย่าก็เริ่มวางใจลง
เธอฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ขอแค่พี่เจ๋อเชื่อใจฉันก็พอค่ะ”
เธอชะงักลงชั่วครู่ นึกถึงคำพูดที่จิ่งหนิงเอ่ยก่อนจะจากไป จากนั้นจึงถามขึ้นว่า “พี่เจ๋อคะ……เมื่อคืนพี่พูดอะไรกับเธอเหรอ?”