บทที่ 214 ทั้งสองตระกูลเจอกัน
ผ่านไปสักพัก จึงส่งเสียง “พ่น” เสียงหัวเราะหนึ่งคำ
“คุณคิดว่ายังไงล่ะ?”
“ฉันหรือ?”
จิ่งเสี่ยวหย่าดูเหมือนประหลาดใจเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่ามู่ยั่นเจ๋อจะถามตนเองกลับ
เธอกัดริมฝีปากกัดแล้วกัดอีก เขินอายจนปลายหูแดงระเรื่อกระจายขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงเบาพูดว่า “ฉันย่อมหวังว่าจะได้แต่งานกับพี่ อาเจ๋อ โดยเร็วอยู่แล้ว ที่จริงแล้ว พวกเราอยู่ด้วยกันก็นานมากแล้ว……..”
“ในเมื่อคุณอยาก งั้นก็แต่งเถอะ!”
ประโยคหนึ่งที่เรียบๆและเยือกเย็น ทำให้จิ่งเสี่ยวหย่าตกตะลึงอย่างรุนแรง จากนั้นปลื้มปีติมาก
“จริงหรือ? พี่ อาเจ๋อ คุณรับปากแล้วหรือ?”
มู่ยั่นเจ๋อจ้องมองนอกหน้าต่างอย่างเย็นชา ท่ามกลางทิวทัศน์ยามค่ำคืน ความเจริญรุ่งเรืองที่พลุกพล่านวุ่นวายอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อยู่ดีๆก็มีความรู้สึกที่โดดเดี่ยวเดียวดายมากเศร้ารันทดมากแบบหนึ่ง
ก็เหมือนมีไฟที่เผาอยู่ในใจกองหนึ่งมาโดยตลอด อยู่ภายใต้การทดสอบอันยิ่งใหญ่ของเวลา ค่อยๆ สูญหายไปทีละนิดๆตามกาลเวลา
เขาพูดอย่างราบเรียบว่า “เป็นจริงอยู่แล้ว คุณตามผมหลายปีขนาดนี้ ทั้งยังเคยมีลูกกับผม แม้ว่าเด็กไม่อยู่แล้ว แต่ว่าผมก็จำเป็นต้องรับผิดชอบคุณ ไม่ใช่หรือ?”
จิ่งเสี่ยวหย่าแทบจะดีใจจนร้องไห้
“พี่ อาเจ๋อ ขอบคุณค่ะ ฉัน ฉันคิดว่า…….”
เธอสะอึกสะอื้นอยู่ แทบจะร้องไห้สะอื้นอยู่ในใจ ผ่านไปนานมาก จึงพูดติดๆขัดๆว่า “ฉันคิดว่าผ่านเรื่องมากมายขนาดนี้ คุณจะไม่ชอบฉันแล้ว ไม่รักฉันแล้ว ยิ่งจะไม่แต่งงานกับฉันแล้ว อีกทั้งตอนนี้ฉัน…….ตอนนี้ฉัน ……..”
มู่ยั่นเจ๋อดึงมุมปากดึงแล้วดึงอีก
“ไอ้โง่ จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ? ถึงแม้ว่าคนทั้งหลายล้วนยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคุณ ผมก็จะอยู่ข้างๆเป็นเพื่อนของคุณโดยตลอด ประคองพยุงคุณล่ะ!”
“พี่ อาเจ๋อ!”
“……”
ในคืนนี้ สำหรับจิ่งเสี่ยวหย่ามากล่าวแล้ว ก็เหมือนดั่งฝันที่งดงามและสลายง่ายฉากหนึ่ง
หลังจากผ่านไปนานมาก ตอนที่เธอนึกขึ้นมาอีกครั้ง ก็รู้สึกหวานชื่นเช่นเดิม
เพียงแค่ไม่ว่าหวานชื่นขนาดไหน ฝันถึงที่สุดก็เพียงแค่ฝัน ไม่ใช่สภาพจริง
ก็เหมือนดั่งแสงริบหรี่ที่ส่งมาจากขอบฟ้าที่ยาวไกล ทั้งๆเป็นมายาเลื่อนลอยดีเลิศเกินจริง เธอกลับเห็นมันเหมือนดั่งฟางข้าวที่ช่วยชีวิตจับไว้อยู่ในมืออย่างแน่น
หลังจากรอเรือใบมากมายผ่านไปค่อยแบมือออกมาดู จึงพบเห็นว่าทั้งหมดเป็นเพียงแค่ความปรารถนาแต่ฝ่ายเดียวของตัวเธอเองเท่านั้น
สิ่งเหล่านั้นที่ไม่ใช่สำหรับเธอ ไปจากเธอไกลมานานแล้ว ฝันถึงที่สุดก็ต้องตื่น เพียงแค่เธออาลัยอาวรณ์ความหวานชื่นในฝันมากเกินไป ไม่ยอมตื่นขึ้นมาก็เท่านั้นเอง
……
มีความเห็นด้วยของมู่ยั่นเจ๋อ ตระกูลจิ่งติดต่อญาติที่อยู่ในบ้านถึงข่าวดีของคนทั้งสองอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกัน ก็โทรหามู่โหงด้วยเช่นกัน ถึงยังไงวันหลังก็เป็นญาติกันจริงๆแล้ว นัดออกมากินข้าวสักวัน เจอกันหน่อย ก็จะได้ปรึกษาเรื่องงานแต่งของพวกรุ่นเด็กสักหน่อย
ยังไงก็ตาม แม้ว่าคนทั้งสองตอนนี้ยังไม่ได้จัดงานแต่งงาน แต่ห่างจากละครใหม่ปิดกล้องของจิ่งเสี่ยวหย่าก็ไม่นานมากเท่าไหร่เช่นกัน ถ้าจะจัดงานแต่งงานแล้วจริงๆล่ะก็ ต้องวางแผนล่วงหน้า
ตอนนี้ห่างไกลจากการปิดกล้องยังมีเวลาหนึ่งเดือน เวลาพอดีๆ
มู่โหงบอกตกลงเต็มปากในโทรศัพท์ ไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ว่าทันทีที่วางสาย หันหน้าก็ปิดหน้าคลุมหัวด่ามู่ยั่นเจ๋อหนึ่งรอบ
“ในตอนต้นแกอยากจะเลิกกันกับจิ่งหนิง อยู่ด้วยกันกับผู้หญิงคนนี้ ผมก็ไม่เห็นด้วย!ตอนนี้แกดูสิเธอทำเรื่องอะไรไปอยู่หรือ? ชื่อเสียงเน่าถึงขนาดนี้แล้ว แกก็ยังอยากจะแต่งงานกับเธอหรือ?
นี่แกคือแต่งสะใภ้คนหนึ่งเข้าบ้าน หรือว่าแต่งกับตัวก่อเรื่องคนหนึ่ง แต่งกับความหายนะคนหนึ่งเข้าบ้านล่ะ?เพราะว่าเธอเฟิงหัวจึงขาดทุน ผมไม่ถือสาก็ได้ แต่ว่าให้เธอเป็นลูกสะใภ้ของเราตระกูลมู่ ผมไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาด!”
มู่ยั่นเจ๋อนั่งอยู่บนโซฟา ก้มหัวอยู่ ให้เขาด่าอย่างตามใจ แม้แต่ประโยคเดียวก็ไม่โต้กลับ
รอเขาด่าเสร็จแล้ว จึงเงยหน้าจ้องมองเขา สีหน้าสงบพูดว่า “พ่อ ท่านสงบอารมณ์ก่อน ร่างกายเดิมทีก็ไม่ดีอยู่แล้ว ทำให้ตนเองโมโหขนาดนี้ทำไมหรือ?”
“แก!”
มู่โหงยิ่งโมโหในทันที ยื่นมือออกไปจับหมอนข้างอันหนึ่งก็โยนไปยังเขา
“แกยังกล้าพูดหรือ? ถ้าไม่ใช่แกทำให้ผมโมโหครั้งแล้วครั้งเล่า ผมจะโมโหจนไม่สบายหรือ?”
มู่ยั่นเจ๋อปิดปากเงียบ รับหมอนข้างไว้อยู่ข้างๆ
ผ่านไปสักพัก จึงเสียงราบเรียบพูดว่า “เรื่องงานแต่งงานผมรับปากไปแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ผมติดเธอ ควรต้องให้เธอ”
“แกติดอะไรเธอหรือ? เรื่องที่แกทำเพื่อพวกเขาตระกูลจิ่งยังมากไม่พอหรือ? เธอนี่คือยังอยากจะหมัดแกไว้สร้างกระแสล้างชื่อเสียงให้ตนเองสะอาดล่ะ! แกยังตามใจเธอทำอย่างนี้จริงๆหรือ? แกวางชื่อเสียงของพวกเราตระกูลมู่ไว้ที่ไหนล่ะ?”
“พวกเราเป็นนักธุรกิจ ก็ไม่ต้องอาศัยชื่อเสียงหาเงิน………”
“พูดอย่างสบายนะ!”
มู่โหงเผชิญหน้ากับลูกชายคนนี้ แทบจะโมโหไปหมดจริงๆ เลย คิดแล้วคิดอีกพูดว่า “เรื่องนี้แกถ่วงพวกเขาไว้ก่อน รับแต่ปากก็ได้แล้ว อย่าให้โง่จนตอนนี้ก็ไปจดทะเบียนสมรส! ทะเบียนบ้านผมจะเก็บออกมา แกอย่าคิดที่จะถือไว้ ถ้าไม่ได้จริงๆแล้ว แกก็เหมือนอย่างน้องสาวแก ไสหัวไปที่ต่างประเทศเลย รอคิดให้ชัดเจนแล้วค่อยกลับมาอีก!”
พูดจบ มู่โหงก็ไม่สนใจเขาอีก ลุกขึ้นกลับไปห้องนอนเลย
มู่ยั่นเจ๋อนั่งอยู่บนโซฟา นวดผมนวดแล้วนวดอีก ไม่ได้พูด
วันรุ่งขึ้น ตระกูลจิ่งก็นัดเวลากับมู่โหงเรียบร้อยแล้ว ตอนเที่ยงกินข้าวอยู่ที่ โรงแรมเซียงเจว๋
จิ่งเสี่ยวหย่ามาถึงเร็วกว่า เธอไม่ได้ขับรถเองเลย แต่นั่งคันเดียวกันกับหวังเสว่เหมย หยูซิ่วเหลียนกับจิ่งเซี่ยวเต๋อนั่งคันเดียวกัน
รถจอดอยู่ที่ลานจอดรถใต้อาคาร ก่อนลงจากรถ หวังเสว่เหมยดึงเธอไว้ ถามว่า “นักข่าวล้วนวางแผนเรียบร้อยหรือยัง?”
จิ่งเสี่ยวหย่าลังเลสักพัก พยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก
หวังเสว่เหมยนี่จึงพอใจ ต่อจากนั้นก็ถอนหายใจอีกหนึ่งที
“นี่ฉันก็คือไม่มีทางเลือกเช่นกัน เมื่อคืนฉันได้ยินน้ำเสียงของลุงมู่แก ดูเหมือนไม่ค่อยกระตือรือร้นต่อเรื่องนี้ขนาดนั้นเลย ฮึ! คนอย่างเขานี้ ฉันยังถือว่าเข้าใจ
แต่ก่อนเห็นแก่แกตั้งครรภ์ลูกของมู่ยั่นเจ๋อ ยังถือว่าดีต่อแก แต่ตั้งแต่ลูกไม่อยู่แล้ว แทบจะไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องงานแต่งงานของพวกแกเลย ฉันก็คือกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจเช่นกัน ดังนั้นจึงเตรียมฉากนี้วันนี้ แกสามารถเข้าใจถึงความรู้สึกเหนื่อยยากลำบากใจของคุณย่าไหม?”
จิ่งเสี่ยวหย่ากัดริมฝีปากไว้ พยักหน้า เสียงอ่อนพูดว่า “ขอบคุณคุณย่า ฉันล้วนเข้าใจ”
“อืม แกเข้าใจก็ดีแล้ว อีกสักครู่ทำตัวดีๆหน่อย อย่าทำให้ย่าขายหน้า”
“ฉันรู้แล้ว”
ลงจากรถ คนทั้งหลายเข้าไปในลิฟต์ เดินไปยังห้องพิเศษที่จองไว้แล้ว
มู่ยั่นเจ๋อกับมู่โหงคือรีบเข้ามาตามเวลากินข้าว ทันทีที่เข้าประตู ก็กระตือรือร้นจับมือกับจิ่งเซี่ยวเต๋อและนายหญิง
“ไอ้หยะ ขอโทษจริงๆนะ บริษัทเกิดเรื่องด่วนฉุกเฉิน มาสายแล้วนายหญิงอย่าต่อว่าเลย”
หวังเสว่เหมยยิ้มอ่อนโยนพูดว่า “อย่าพูดอย่างนั้นล่ะ? อีกไม่นานก็เป็นญาติกันแล้ว ประธานมู่ ก็ไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้ ล้วนไม่ใช่คนนอกใดๆ ทุกคนตามความสบายใจหน่อยก็ดี”
มู่โหงยิ้มเบิกบานตอบรับ คนทั้งหลายนั่งตามลำดับรุ่น จิ่งเสี่ยวหย่าย่อมนั่งอยู่ข้างมู่ยั่นเจ๋ออยู่แล้ว ผู้บริการเริ่มเสิร์ฟอาหารเข้ามา
“ประธานมู่ ฉันรู้ว่ายามปกติคุณงานยุ่งมาก ดังนั้นก็เกรงใจที่จะรบกวนคุณ สาเหตุที่วันนี้ให้เราทั้งสองตระกูลล้วนออกมารวมตัวกัน หลักๆก็เพราะว่าที่จะมาปรึกษาเรื่องงานแต่งงานของรุ่นเด็กทั้งสองคน……”
“ผมรู้ ความคิดของนายหญิงผมล้วนรู้ พูดแล้วละอายใจนะ เรื่องนี้เดิมทีควรเป็นเราตระกูลมู่เอ่ยขึ้นมา แต่ช่วงนี้ยุ่งมากจริงๆ ในทันทีไม่สามารถแบ่งใจออกมาได้ ผมขออภัยโทษกับนายหญิงอยู่ที่นี่ ”
“ไม่ต้องๆ ประธานมู่ เกรงใจเกินไปแล้ว”
“อย่างนี้ เรากินข้าวก่อน เรื่องนี้ไม่รีบ กินข้าวเสร็จพวกเราค่อยๆปรึกษาหารือ”