วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – ตอนที่ 220 ไม่มีสัจจะสลัดทิ้งซึ่งคุณธรรม

บทที่ 220 ไม่มีสัจจะสลัดทิ้งซึ่งคุณธรรม

“จิ่งเสี่ยวหย่าคิดว่า เพียงแค่ปิดปากฉันก็ได้แล้ว แต่เธอน่าจะคาดไม่ถึงอย่างแน่นอนว่า ความผิดที่ตัวเธอเองทำไว้ก็เหมือนดั่งแหที่ต้องซ่อมเต็มไปหมด กลัวว่าที่นี่ซ่อมแล้วที่นั่นก็จะขาดอีกด้วย

ถึงเวลานั้น เธอจึงจะได้รู้ อะไรเรียกว่ารสชาติที่จับปลาสองมือท้ายที่สุดก็ไม่ได้อะไรเลย! การสูญเสียสองอย่างซ้ำในครั้งเดียว คงจะทำให้คนเสียใจมากกว่าที่เสื่อมเสียชื่อเสียงโดยตรงเยอะเลยล่ะ!”

โม่หนานจ้องมองเธอ เห็นเธอใช้น้ำเสียงที่อ่อนช้อยใจเย็นแบบนั้นพูดประโยคนี้ออกมา เพียงแค่รู้สึกเหมือนอากาศในบริเวณนั้นล้วนเย็นชาลงเล็กน้อย อดไม่ไหวขนลุกขึ้นมา

“หนิงหนิง แกน่ากลัวจัง”

จิ่งหนิงยักคิ้วจ้องมองเธอ “โม่หนาน แกว่าฉันเป็นแบบนี้น่าเสียใจจังนะ มีความเมตตาให้กับศัตรูก็คือให้ความโหดเหี้ยมกับตัวเองไม่ใช่หรือ?”

โม่หนานกลืนน้ำลายหนึ่งที พยักหน้า “ใช่ ฉันเข้าใจ แต่ก่อนตอนที่พวกเราฝึกฝนอยู่ที่สนามฝึก ครูผู้ฝึกก็พูดแบบนี้เช่นกัน”

จิ่งหนิงยิ้มแล้วยิ้มอีก “แกเข้าใจก็พอ เวลาดึกแล้ว กลับไปพักผ่อนเร็วหน่อยเถอะ”

โม่หนานพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก นี่จึงลุกขึ้นออกไป

วันรุ่งขึ้น

คำวิพากษ์วิจารณ์บนอินเทอร์เน็ตฮอตฮิตถึงขีดสูงสุดแล้ว

ความเป็นนิยมของ weibo จิ่งหนิงเดิมทีแฟนคลับก็พุ่งขึ้นถึงสามล้านคนแล้ว แต่เพราะว่าวิดีโอที่จิ่งเสี่ยวหย่ารับการสัมภาษณ์ เดิมทีคนที่มีจุดยืนไม่มั่นคงบางส่วน ในทันทีก็ออกจากการเป็นแฟนคลับเลย

ถึงแม้ว่าพี่สาวน้อยหน้าตาสวยงามขนาดไหน ค่าเฉลี่ยความงามดีขนาดไหน แต่บุคลิกลักษณะประจำตัวนี้ใช้ไม่ได้ล่ะ!

แทรกเข้าในความรักระหว่างน้องสาวกับแฟนก็แล้วกันไป แต่ก็ยังจะกลับย้อนมาเล่นงานฝ่ายตรงข้ามอีก จิตใจนี้ต้องโหดเหี้ยมขนาดไหนจึงสามารถทำออกมาได้ล่ะ?

แต่ก็มีแฟนคลับซื่อสัตย์กลุ่มใหญ่มากกลุ่มหนึ่ง เฝ้ารักษาสนามรบ

นอกจากจิ่งหนิงออกมาเอ่ยปากยอมรับด้วยตนเอง ไม่งั้นจะไม่เชื่อข่าวลือใดๆอย่างง่ายดายเด็ดขาด

ยิ่งกว่านั้น คำพูดเหล่านั้นก็ยังพูดออกจากปากของจิ่งเสี่ยวหย่า นั่นก็ยิ่งเชื่อไม่ได้แล้ว

สำหรับคนสัญจร ในนั้นมีคนที่เชื่อจิ่งหนิง ก็มีคนเชื่อจิ่งเสี่ยวหย่าด้วย

คนทั้งสองกลุ่มถือว่าการโต้แย้งกันเป็นข้าวกิน ทุกวันล้วนโต้แย้งกันอยู่บนอินเทอร์เน็ตจนเป็นเรื่องน่ายินดี

และในเวลานี้ ตระกูลจิ่ง

พ่อลูกมู่ซื่อกรุ๊ปกับตระกูลจิ่งทั้งครอบครัวนั่งอยู่ในห้องรับแขก บรรยากาศจริงจังหนักแน่นเหลือเกิน

มู่โหงเอ่ยปากพูดว่า “เงื่อนไขผมพูดกับพวกคุณอย่างชัดเจนแล้ว ส่วนที่จะรับปากหรือไม่ ล้วนอยู่ที่ตัวพวกคุณเองชื่อเสียงของเสี่ยวหย่าสำหรับเธอสำคัญมากขนาดไหน ผมเชื่อว่าพวกคุณไม่น่าที่จะไม่เข้าใจ เรื่องนี้ พวกคุณใช้ดุลยพินิจพิจารณาเองเถอะ!”

หวังเสว่เหมยโมโหจนโยนแก้วน้ำชาอันหนึ่งแตก

“คนต่ำต้อยที่ไม่มีสัจจะสลัดทิ้งซึ่งคุณธรรมคนนี้!”

จิ่งเซี่ยวเต๋อก็เอ่ยตามด้วย

“ใช่สิ ในตอนต้นคุณมู่รับปากให้บริษัทสามแห่งแก่อีนังเด็กคนนั้น ไม่ใช่จะให้เธอหุบปากหรือ? ทำไมตอนนี้เธอยังสามารถเอาสิ่งนี้มาขู่เข็ญพวกเราล่ะ?

ถ้าหากว่าครั้งนี้พวกเราประนีประนอมแล้ว งั้นแสดงว่าคราวหน้าเธอยังสามารถโลภไม่รู้จักพอขู่เข็ญต่อใช่หรือไม่?”

มู่โหงดูเหมือนมองคนปัญญาอ่อนจ้องมองเขาหนึ่งที สายตาแสดงความไม่พอใจ

ในใจพูดว่าก็ไม่รู้ว่าเป็นใครก่อเรื่องขึ้นมาก่อน

ถ้าไม่ใช่จิ่งเสี่ยวหย่าพูดสุ่มสี่สุ่มห้าตอนที่ให้สัมภาษณ์ จิ่งหนิงก็ไม่จำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้เช่นกัน

แต่ว่าคำพูดเหล่านี้ อยู่ต่อหน้าคนตระกูลจิ่ง เขาย่อมไม่เหมาะที่จะพูดออกมาอยู่แล้ว

สุดท้าย ได้เพียงแค่เสียงเข้มพูดว่า “อย่างอื่นอย่าเพิ่งพูดก่อน ตอนนี้เธอก็บอกแค่เงื่อนไขนี้ ข้อเสนอของผมว่าดีที่สุดพวกคุณปรึกษาหารือให้ได้ผลสรุปออกมาเร็วที่สุด ถึงยังไงก็เป็นแค่หุ้น 10% เท่านั้น จิ่งหนิงก็แซ่จิ่งเช่นกันก็เป็นคนของตระกูลจิ่งด้วย พูดตามหลักการแล้วหุ้นนี้แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่เธอควรได้รับ”

อีกทั้งแม้ว่าเธอได้รับหุ้นก้อนนี้ ก็ไม่สามารถตัดสินอะไรได้เลยสักนิด กลับกันพูดว่าแท้ที่จริงแล้วสำหรับพวกคุณตระกูลจิ่งไม่มีผลกระทบใดๆเลย แต่เสี่ยวหย่าเป็นบุคคลสาธารณะคนหนึ่ง ถ้าหากว่าถูกคนว่าโทษฐานเป็นเมียน้อยจริงๆ งั้นผลลัพธ์ก็อยากที่จะคิดแล้ว”

จิ่งเซี่ยวเต๋อยังมีความไม่สมัครใจเล็กน้อย

“เธอพูดอะไรก็จะเป็นอย่างนั้นหรือ? งั้นก็ต้องมีคนเชื่อเธอจึงใช้ได้ด้วยล่ะ! ในมือเธอก็ไม่มีหลักฐานอะไรอีก แม้แต่ทะเบียนสมรสล้วนคืนไปแล้ว เพียงแค่คุณชายมู่ปิดปากไม่ยอมรับ หรือว่าเธอยังสามารถทำอะไรพวกเราได้หรือ?”

มู่โหงเงียบไปแล้ว ไม่ได้พูด

ผ่านไปสักพัก มู่ยั่นเจ๋อจึงเอ่ยปากพูดว่า “ถึงยังไงพวกเราก็อยู่ด้วยกันหกปี ถ้าหากว่าเธอตั้งใจจริงๆจะหาหลักฐานได้อย่างง่ายดายมากอยู่แล้ว ข้อความ โทรศัพท์ ยังมีของขวัญจากเมื่อก่อนที่ส่งและ……คุณนายยู่ทั้งครอบครัว ล้วนสามารถเป็นพยานให้เธอได้”

จิ่งเซี่ยวเต๋อ “……..”

หยูซิ่วเหลียนขมวดคิ้ว ขมวดแล้วขมวดอีก

“แม้ว่าคุณนายยู่ครั้งก่อนถูกพวกเราตบตาไปแล้ว แต่จากนั้นเพียงแค่คิดให้ละเอียด คงจะสามารถย้อนนึกถึงขึ้นมาได้ ถ้าหากว่าจิ่งหนิงเข้าไปขอร้องเธอ เธอจะต้องช่วยอย่างแน่นอน”

จิ่งเสี่ยวหย่าได้ยินคำพูด ว้าวุ่นในฉับพลัน

“งั้นทำยังไงดีล่ะ? แม่ ให้เธอพูดความจริงออกมาไม่ได้! ฉันไม่อยากให้อนาคตของฉันก็ถูกเธอทำร้ายเช่นนี้ล่ะ!”

หยูซิ่วเหลียนปลอบใจตบมือของเธอตบแล้วตบอีก จนใจจนถอนหายใจหนึ่งที

ก็อยู่ในเวลานี้ หวังเสว่เหมยจ้องมองมู่โหงหนึ่งที

แม้ว่าเธอไม่มีคำพูดที่จะพูด แต่เป็นคนมาถึงอายุป่านนี้แล้ว ทั้งนั่งอยู่ตำแหน่งสูงมานาน บนกายย่อมมีลักษณะที่มีพลัง

มู่โหงไม่ได้สบสายตาโดยตรงกับเธอ แต่เป็นหลบหนีเล็กน้อย นัยน์ตาลึกๆกวาดผ่านสีหน้าที่ไม่เป็นธรรมชาติหนึ่งที

อยู่ดีๆหวังเสว่เหมยยิ้มแล้ว

“ประธานมู่ คิดเพื่อเสี่ยวหย่าของพวกเราขนาดนี้ พวกเราย่อมจะไม่รู้ดีชั่ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นเงื่อนไขนี้ พวกเรารับปากก็ได้”

“แม่!”

จิ่งเซี่ยวเต๋อรีบออกเสียง ก็อยากจะห้ามเธอ กลับถูกสายตาที่ดุเดือดรุนแรงของหวังเสว่เหมยห้ามไว้แล้ว

เธอพูดต่อว่า “อย่างนี้เถอะ พรุ่งนี้เป็นวันดีวันหนึ่ง ก็ให้เธอมะรืนนี้เข้ามา พวกเราโอนหุ้นต่อหน้าต่อตา แถมยังถือโอกาสจดทะเบียนสมรสของเสี่ยวหย่ากับคุณชายมู่ไปด้วย เป็นอย่างนี้แล้วก็ถือว่าเรื่องนี้ตกลงใจเป็นที่แน่นอนโดยสิ้นเชิง ประธานมู่ คิดว่ายังไงล่ะ?”

กระดูกสันหลังของมู่โหงตึงขึ้น

มู่ยั่นเจ๋อที่อยู่ข้างๆสีหน้าเย็นชาเล็กน้อย

ผ่านไปสักพัก มู่โหงจึงยิ้มแห้งๆหนึ่งที

“นายหญิง การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ฉุกละหุกขนาดนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ใช่หรือไม่?”

“ก็ไม่มีอะไรที่ไม่ดีนะ ล้วนเป็นคนหนุ่มสาว คนอื่นที่แต่งงานแบบสายฟ้าแลบก็ยังมี นี่พวกเขาก็อยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว ก็ไม่ถือว่าฉุกละหุกด้วย แต่งงานเร็วหน่อย ก็จะจบเรื่องความในใจของยายเฒ่าอย่างฉันเรื่องหนึ่งด้วย พวกคุณคิดว่ายังไงล่ะ?”

ในห้องรับแขกตกเข้าสู่ความเงียบนิ่งดั่งตายไปหมดทันที

สีหน้าของจิ่งเสี่ยวหย่าซีดขาวเล็กน้อย เรื่องที่เธอแตกคอกันกับมู่ยั่นเจ๋อ คนอื่นๆของตระกูลจิ่งอาจจะไม่รู้ แต่หวังเสว่เหมยกลับสังเกตออกมาได้เล็กน้อย

อาจจะเพราะเหตุนี้ เธอจึงรีบร้อนให้คนทั้งสองจดทะเบียนสมรสแต่งงาน ให้เรื่องกำหนดลงมาโดยสิ้นเชิง

จิ่งเสี่ยวหย่าตื่นเต้นจ้องมองมู่ยั่นเจ๋อ คนหลังสีหน้าเย็นชาราบเรียบ ไม่มีสีหน้าเบิกบานใจแม้แต่นิด

ในใจของเธออดไม่ได้ที่จะเกิดรสขมฝาดเล็กน้อยขึ้นมา กำลังคิดที่จะพูดคำพูดที่ว่าในเมื่อไม่ยอมงั้นก็ไม่ต้องฝืนใจ

อยู่ดีๆกลับคาดไม่ถึงก็ได้ยินมู่โหงพูดว่า “ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นมะรืนก็แต่งงานกัน”

จิ่งเสี่ยวหย่าอึ้งชะงักไปแล้ว

มู่ยั่นเจ๋อก็อึ้งชะงักไปด้วย

คนทั้งสองล้วนจ้องมองไปยังมู่โหงอย่างไม่กล้าเชื่อ

มู่โหงลุกขึ้นมา ยื่นมือต่อกับนายหญิง “ในเมื่อเรื่องตกลงเรียบร้อยแล้ว งั้นพวกเราเจอกันมะรืน เรื่องแต่งงานฉุกละหุก ทำให้เสี่ยวหย่าน้อยเนื้อต่ำใจแล้ว พวกคุณวางใจรอเรื่องผ่านไปแล้ว พวกเราตระกูลมู่จะชดเชยงานแต่งงานที่ได้หน้าได้ตายิ่งใหญ่งานหนึ่งให้เธออย่างแน่นอน”

หวังเสว่เหมยกับจิ่งเซี่ยวเต๋อและคนอื่นๆล้วนดีใจจนลุกขึ้นมาเช่นกัน จับมือกับเขาจับแล้วจับอีก

“ประธานมู่ เกรงใจเกินไปแล้ว วันหลังทุกคนล้วนเป็นญาติกัน ยังต้องรบกวนพวกคุณช่วยฉันดูแลเสี่ยวหย่าให้มากหน่อยจึงจะใช่”

“งั้นสมควรอยู่แล้ว”

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset