บทที่229 ฉันไม่เกลียดคุณ
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อยและพูดอย่างผิดหวัง: “เพราะผมหักหลังและทำเรื่องที่ต้องรู้สึกผิดต่อคุณมากมาย อีกทั้งยังเคยร่วมมือกับคนอื่นรังแกคุณ คุณจะยังเกลียดผมไปตลอดไหม?”
จิ่งหนิงเลิกคิ้ว
เขาก้มหน้าแบบนี้เพราะรู้สึกผิดเหรอ?
เธอยิ้มเล็กน้อยและส่ายหน้า
“ไม่ ฉันไม่เกลียดคุณ”
มู่ยั่นเจ๋อสั่นเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นและมองเธอด้วยความไม่เชื่อสายตาและตาโตเล็กน้อย
“เพราะอะไร?”
“เพราะว่าความเกลียดเป็นตัวแทนของความจำฝังใจ ฉันไม่จำเป็นต้องเกลียดเพื่อจดจำคนที่ไม่สำคัญสำหรับฉัน”
เธอพูดจบแล้วจึงยกมุมปากเล็กน้อยแล้วจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
มู่ยั่นเจ๋อยืนอยู่ตรงนั้นอย่างว่างเปล่า มองดูเธอที่จากไป หัวใจของเขาสั่นไหว สมองของเขาราวกับถูกฟ้าผ่าและตัวก็แข็งทื่อเล็กน้อย
เธอพูดอะไร?
เธอไม่ได้เกลียดเขา แต่มันเป็นเพราะเขาเป็นเพียงคนที่ไม่มีความสำคัญในชีวิตของเธอ
เขาไม่สำคัญ?
หึ! หึ ๆ ฮ่า ๆ ๆ ๆ…
หกปีแห่งความรัก เธอใช้เวลาหกปีและตอนนี้เธอสามารถโยนมันได้อย่างอิสระและง่ายดายงั้นเหรอ?
บอกว่าไม่เอาก็ไม่เอาแล้วงั้นเหรอ?
บอกว่าไม่ชอบก็ไม่ชอบแล้วงั้นเหรอ?
บอกว่าไม่ต้องการก็ไม่ต้องการแล้วงั้นเหรอ?
ใครให้สิทธิ์นั้นกับเธอ?
เธอเอาอะไรมาพูดว่าไม่สำคัญ?
หรือว่าเวลาหกปีนั้นไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอ?
แม้ว่าเวลาจะเปลี่ยนแปลงเรื่องราวจะเปลี่ยนไป แม้ว่าตอนนี้เธอจะมีคนอื่นอยู่ข้างกาย ก็เขาไม่ควรจะถูกจัดอยู่ในประเภทคนไม่สำคัญนี่!
ในเมื่อเขาคือรักแรกของเธอ รักแรกพบควรจะเป็นแสงจันทร์สีขาวในหัวใจซึ่งเป็นความลับที่สำคัญที่สุดในหัวใจไม่ใช่หรือ?
ไม่ เขาไม่เชื่อ
เขาไม่มีทางเชื่อ
เหมือนมู่ยั่นเจ๋อจะคิดอะไรได้และดวงตาของเขาก็ลุกเป็นไฟ
เขาสะกดรอยและไล่ตามออกไป
……
จิ่งหนิงไม่ได้อยู่ที่งานปาร์ตี้อีกต่อไป
ไม่มีเหตุผลอะไรและเวลาก็ดึกแล้ว เจ้าปีศาจตัวเขื่องที่บ้านก็กำลังเร่งแล้ว
ลู่จิ่งเซินกังวลมาตลอดเกี่ยวกับการที่เธอออกไปสังสรรค์ แต่ปฏิเสธที่จะพาเขาไปด้วย
เขาสาบานว่าขอเพียงวันไหนที่เธอยอมเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคน เขาจะต้องป่าวประกาศให้โลกรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายของเธอ และความสัมพันธ์ที่แท้จริงของพวกเขา!
หึ!
มีผู้ชายบางคนนั่งไม่ติดอยู่บ้านแล้ว เพียงได้ยินเสียงรถจากด้านนอกก็ต้องเลิกคิ้วแล้วลุกขึ้นไปดู
แต่ว่าไม่นานเขาก็ต้องกลับไปนั่งที่
ตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น?
ก็แค่มีคนกลับมา?
ช้าเร็วยังไงเขาก็ต้องกลับมานะ!
หึ!
เขานั่งลงบนโซฟาหนังอย่างมั่นเหมาะและเพื่อแสดงถึงการพักผ่อนเขาจึงยกขาเรียวขึ้น
จากนั้นเท่านั้นยังไม่พอเขาหยิบนิตยสารการเงินเล่มหนึ่งจากด้านข้างขึ้นมา และแสร้งทำเป็นว่ากำลังอ่านมัน
จิ่งหนิงเข้าประตูมาและเห็นฉากนี้
ในห้องนั่งเล่นที่กว้างขวางและหรูหราชายหนุ่มรูปหล่อที่นั่งอยู่บนโซฟาโดยไขว้ขาเรียวถือนิตยสารการเงินไว้ในมือกำลังอ่านหนังสือด้วยความเพลิดเพลิน
เธออดไม่ได้ที่จะอมยิ้มแล้วถอดรองเท้าและเดินเข้าไป
“สามีคะ ฉันกลับมาแล้วค่ะ”
ลู่จิ่งเซินไม่ยอมถอนสายตาขึ้นมอง
เพียงแต่ส่งเสียง “อืม” รับเรียบ ๆ
จิ่งหนิงวางกระเป๋าแล้วเดินเข้าไปนั่งข้างเขาแล้วคล้องแขน
“ที่รัก ไม่ได้เจอตั้งหลายชั่วโมง คิดถึงฉันไหมคะ? อยู่บ้านคนเดียวเป็นเด็กดีรึเปล่า?”
ใบหน้าของลู่จิ่งเซินเย็นชาและเขาดึงแขนออกจากแขนของเธอ
สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลงและพูดขึ้น: “ไม่เลย”
จิ่งหนิงมองเขาดึงแขนออกไปแล้วเลิกคิ้ว
หึ ผู้ชายที่ยิ่งยโสคนนี้!
เธอลุกขึ้นแล้วเดินลงไปข้างล่าง
ลู่จิ่งเซินผงะไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงจากไปอย่างกะทันหัน
ในเวลานี้เขาไม่ควรตั้งอกตั้งใจง้อเขาเหรอ?
เขาหงุดหงิดแบบนี้ ง้อนิดหน่อยเขาก็หายแล้ว ง้อเขาอีกนิดไม่ได้เหรอ?
หรือว่าสำหรับผู้คนนี้ในตอนนี้ ไม่มีแรงดึงดูดแล้วเหรอ?
ง้อเขาแค่ไม่ถึงห้านาทีก็หงุดหงิดแล้ว?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผู้ชายคนหนึ่งที่อารมณ์ไม่ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปอีก!
เขาวางนิตยสารในมือลงบนโต๊ะกาแฟเสียงดังแล้วถอนหายใจแรงและนั่งอารมณ์เสียอยู่ตรงนั้น
ไม่ง้อก็ไม่ง้อ เขาไม่แคร์หรอก!
ว่ากันว่าผู้หญิงชินกับมันไม่ได้ ยิ่งคุณชินก็ยิ่งแย่ ดูเหมือนว่าเขาจะตามใจเธอมากเกินไปซึ่งทำให้ตอนนี้เธอให้ความสำคัญกับเขาน้อยลง!
ท่านประธานลู่นั่งงอนตุ๊บป่องอยู่ตรงนั้นต่อไป
ในตอนนั้นเอง จิ่งหนิงเดินถือแก้วอะไรบางอย่างเดินมาจากข้างบน
“เอาล่ะ ไม่ต้องงอนแล้ว ฉันรู้ว่าฉันไม่พาคุณไปด้วยคุณเลยไม่มีความสุข ฉันผิดไปแล้วโอเคไหมคะ? มา เด็กดีมากินยา”
ช่วงสองวันนี้ลู่จิ่งเซินเป็นหวัด หมอจ่ายยาแก้หวัดมาให้ทานก่อนนอนวันละเม็ด
ลู่จิงเฉินมองไปที่เม็ดยาที่ส่งมาโดยมือเล็ก ๆ ตรงหน้าเขาจากนั้นมองไปที่น้ำอุ่นที่ถือด้วยมืออีกข้างของเธอและในที่สุดดวงตาก็มองไปที่หน้าเธอ
ความหดหู่ในใจของเขาถูกทำลายลงในทันที
ปรากฏว่าเธอไม่ได้ละเลยตัวเขา
เพียงแต่เธอแค่ไปหยิบยามาให้
เป็นห่วงเขามากขนาดนี้แสดงว่าในใจของเธอยังมีเขาอยู่เต็มหัวใจ
ลู่จิ่งเซินมีความสุขในทันที
แต่ว่าBOSSลู่คือใคร? ต่อให้ดีใจก็แสดงออกมาไม่ได้
เขาจึงได้ “อือ” ออกมาอย่างไร้อารมณ์ และรับยาและกลืนลงคอไปแล้วดื่มน้ำตาม จากนั้นจึงพูดขึ้น “เมื่อไหร่พวกเราถึงจะเปิดเผยความสัมพันธ์ได้เสียที?”
จิ่งหนิงยิ้มแห้ง ๆ “อันที่จริงตอนนี้ที่เราเป็นอยู่มันก็ดีมากแล้วนี่คะ!”
“ดีกับผีอะสิ!”
ผู้ชายบางคนถึงกับสบถออกมา
จิ่งหนิง: “…”
“ผมมันน่าอับอายมากเหรอ? คุณถึงไม่อยากบอกใคร หือ?”
จิ่งหนิงรีบส่ายหน้า
“ฉันไม่ได้มีความหมายแบบนั้นเลยนะ นี่…สำคัญคือ มันยังไม่ถึงเวลา”
“หึ!” ลู่จิ่งเซินทำหน้าเยาะเย้ย “คุณคิดว่าผมจะเชื่อเหรอ? พูดสิ! คุณอยากจะปิดเรื่องแต่งงานไปตลอดชีวิต? หือ?”
จิ่งหนิงรีบปฏิเสธ
“ไม่มีทาง ฉันสาบาน”
“ถ้าสาบานมันช่วยได้ จะมีตำรวจไว้เพื่อ?”
จิ่งหนิง: “…”
“ผมไม่สน คุณบอกเวลาผมมา”
จิ่งหนิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งโดยพิจารณาถึงความหึงหวงของชายคนนี้และความจริงที่ว่าทั้งสองคนแต่งงานกันแบบปิดบัง
จึงได้พูดขึ้น: “ให้ผ่านไปอีกสักระยะเถอะ ให้ฉันจัดการเรื่องของแม่ฉันให้เสร็จสิ้น คุณจะทำยังไงฉันก็จะไม่ขัดเลย”
แบบนี้ลู่จิ่งเซินถึงพอใจ
จิ่งหนิงถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าในที่สุดเขาก็ทำให้ราชาปีศาจสงบลง
ทันทีที่คิดถึงสิ่งที่ฉันเห็นในงานเลี้ยงการกุศลวันนี้และพบว่ามันน่าสนใจดังนั้น จึงคุยกับลู่จิ่งเซิน
หลังจากลู่จิ่งเซินฟังแล้วก็หัวเราะเยาะขึ้น
“คนทุเรศอย่างมู่ยั่นเจ๋อคู่ควรจะมาคุยเรื่องความรัก? เรียกว่าดูถูกชัด ๆ”
จิ่งหนิงเลิกคิ้ว
“เขาไม่คู่ควรแล้วคุณคู่ควร?”
“แน่นอน”
ชายคนหนึ่งไม่คิดว่าจะมีปัญหากับสิ่งที่เขาพูดเขาจึงกอดเธอแน่นจับเธอไว้ในอ้อมแขนและกระซิบ: “ก่อนจะพบคุณ ผมเองก็คิดว่าผมไม่คู่ควร แต่พอพบคุณแล้วจึงรู้ว่าผมต้องตื่นเสียที”
จิ่งหนิง: “อือ…คุณอย่า…ขึ้นข้างบน…”