บทที่ 231 ขอร้องให้ช่วยเธอ
“คุณยังไม่ได้ช่วยผมหาเงินที่เสียไปให้กับคุณคืนมาเลย ผมจะโง่ถึงขนาดหย่ากับคุณได้อย่างไร ยัยงั่ง”
น้ำเสียงของเขานั้นช่างแผ่วเบา แต่กลับทำให้จิ่งเสี่ยวหย่าสั่นสะท้าน
ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อได้ฟังคำพูดของเขา เธอมักจะรู้สึกเหมือนมีงูพิษที่เย็นเฉียบ เลื้อยขึ้นมาจากด้านหลังของตัวเอง โดยมีปากของมันคลอเคลียอยู่ใกล้กับคอของเธอ ราวกับเตรียมจะฝังเขี้ยวของมันลงไปในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
สีหน้าของเธอซีดเผือด รู้สึกถึงนิ้วของเขาที่เลื่อนจากศีรษะลงไปยังใบหน้าของเธอ เขาโน้มตัวเข้าใกล้ริมฝีปากของเธอ เธอรีบยกมือขึ้นเพื่อผลักเขาออกไป
พร้อมกับสบถออกมา “วิปริต!”
“เหอะ!”
มู่ยั่นเจ๋อหัวเราะเบา ๆ “ถ้าผมวิปริต งั้นคุณก็เป็นเมียของคนวิปริตเหมือนกัน เป็นอย่างไร?อยู่กับคนวิปริตแบบผม กลัวหรือเปล่า?”
จิ่งเสี่ยวหย่าพยายามอย่างเต็มที่ที่จะควบคุมของเธอ
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วหัวเราะขึ้นอย่างเย็นชา“ฉันสามารถแกล้งเป็นคู่สามีภรรยาจอมปลอมกับคุณต่อไปได้อีกแล้ว ฉันขอเตือนคุณไว้ก่อน ตั้งแต่วันนี้ห้ามคุณเข้าใกล้ฉัน และอย่าแตะต้องฉันอีก!”
หลังจากพูดเสร็จ เธอก็ลุกขึ้น เดินไปยังห้องน้ำ
มู่ยั่นเจ๋อยืนขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้า เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกง เช็ดนิ้วของตัวเองที่ได้สัมผัสกับจิ่งเสี่ยวหย่าเมื่อครู่ จากนั้นก็โยนผ้าเช็ดหน้าลงในถังขยะ
“ใครก็ได้มาที่นี่ที! เข้ามาช่วยคุณนายน้อยทำความสะอาดห้องนี้หน่อย ถ้าต้องการอะไรก็ซื้อใหม่ให้หมด”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินจากไป
ห้องน้ำใช้การไม่ได้
จิ่งเสี่ยวหย่าจึงล้างมืออย่างลวก ๆ จากนั้นเธอจึงตรงไปยังห้องพัก
ภายในห้องพักมีคนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดห้องให้เธอ จัดซื้อเฟอร์นิเจอร์และที่นอนใหม่ และทำความสะอาดห้องอย่างใหม่เอี่ยม
หลังจากรอให้คนรับใช้ทำความสะอาดให้เสร็จเรียบร้อย ก็ใช้เวลาถึงเย็น เธอจึงได้กลับเข้าไปภายในห้องพักอีกครั้ง
ในมื้อค่ำ ผู้ช่วยคนหนึ่งของมู่ยั่นเจ๋อโทรมา บอกว่าหลังจากนี้เขาจะพักอยู่ที่วิลล่าอีกหลังหนึ่ง และจะไม่กลับมาที่นี่อีกสักพัก
ตอนที่เธอรับโทรศัพท์ มีคนรับใช้สองคนอยู่ใกล้ ๆ หลังจากที่ได้ฟังพวกเขาก็อดเห็นใจเธอไม่ได้
แต่งงานได้เพียงไม่กี่วัน ก็แยกห้องกันอยู่แล้ว
เกิดเรื่องอะไรขึ้น! เป็นถึงสามีภรรยาจะคุยกันดี ๆ ไม่ได้เลยเหรอ?
อย่างไรก็ตาม จิ่งเสี่ยวหย่าตอบรับเพียงสั้นๆ จากนั้นเธอก็วางสาย และทานอาหารต่อ
เยือกเย็นราวกับไม่ใช่เธอเลย
ทุกคนในบ้านกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ แต่หลังจากได้เฝ้าสังเกตเธออยู่หนึ่งคืน นอกจากที่เธอจะไม่ช่างพูดเหมือนก่อน เธอก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
ดังนั้นทุกคนจึงพอจะคลายกังวลได้บ้าง
ในคืนนั้น จิ่งเสี่ยวหย่าที่กำลังรับลมเย็นอยู่นอกระเบียง
ทันใดนั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอเหลือบมองไปที่หน้าจอ แล้วรีบรับสายโทรศัพท์ทันที
“ในที่สุดเธอก็โทรหาฉัน”
ฝั่งตรงข้ามเป็นเสียงละมุนของผู้หญิง เธอไอเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนแรง:“ฉันขอโทษ ช่วงนี้ฉันสุขภาพไม่ค่อยดี ฉันเลยไม่ค่อยได้โทรหา”
ใบหน้าของจิ่งเสี่ยวหย่าเรียบนิ่ง“งั้นแสดงว่าตอนนี้ เธอคงจะมีเวลาช่วยฉันแล้วใช่มั้ย?”
อีกฝ่ายชะงักไปชั่วครู่ แล้วจึงรีบพูดขึ้น:“แน่นอน เธอมีเรื่องอะไรที่อยากให้ฉันช่วย พูดมาได้เลย”
“ฉันอยากให้เธอช่วยฉันฆ่าใครสักคน”
อีกฝ่ายถึงกับผงะ เห็นได้ชัดว่าเธอแปลกใจเล็กน้อย
“ใคร?”
“จิ่งหนิง”
…
ในช่วงนี้ลู่จิ่งเซินต้องออกไปสัมมนา
โปรเจ็กต์สำคัญในต่างประเทศกำลังมีปัญหา เกิดความขัดแย้งขึ้นเล็กน้อยระหว่างหุ้นส่วน ผู้รับผิดชอบทางฝ่ายนั้นก็ล้มป่วยชั่วคราว ไม่สามารถดูแลต่อได้ระยะหนึ่ง เขาจึงต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยด้วยตนเอง
จิ่งหนิงเคยทำงานโฆษณาชวนเชื่อกับหลินซูฝานมาแล้วหลายครั้ง คราวนี้เธอจึงค่อนข้างชำนาญ
ดังนั้นก่อนเดินทาง เธอจึงช่วยเขาจัดกระเป๋า และขับรถไปส่งเขาที่สนามบินด้วยตัวเอง
ลู่จิ่งเซินพอใจเป็นอย่างมาก ก่อนจากไป เขาได้กำชับโม่หนานให้ดูแลเธอให้ดี
หลังจากไปส่งลู่จิ่งเซินแล้ว จิ่งหนิงรู้สึกว่ายังเช้าอยู่ เธอจึงเข้าไปที่บริษัท
กล่าวโดยรวมแล้ว ในขณะนี้ซิงฮุยกำลังพัฒนาไปในทางที่ดี แม้ว่าขนาดของซิงฮุยจะยังค่อนข้างเล็ก แต่ศิลปินของบริษัทก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยิ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัทที่มีทรัพยากรมากมายอย่างอานหนิงกั๋วจี้ อนาคตคงไม่จำเป็นต้องพูดถึง
ถังลั่วเหยาถ่ายละครหลายเรื่องติดต่อกันในปีนี้ ชื่อเสียงโด่งดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเริ่มแรกที่มีแฟนคลับในเวยป๋อประมาณสามล้านกว่าคน จนถึงปัจจุบันจำนวนแฟนคลับของเธอได้เพิ่มขึ้นเป็น 10 ล้านกว่าคน
จิ่งหนิงตั้งใจจะให้บทดีขึ้นกับถังลั่วเหยาในปีนี้ ให้เธอได้รับบทเป็นนักแสดงนำหญิง
ส่วนคนอื่นๆ ที่ได้รับการตัดสินจากการเข้าร่วมรายการแข่งขันความสามารถเมื่อก่อนหน้านี้ แม้ว่าผู้ที่ถูกตัดสินให้อยู่ในอันดับท้ายๆ จะไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรมาก แต่ก็ถือว่าพวกเขายังพอเป็นที่น่าจดจำอยู่บ้าง
แม้จะไม่ได้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง แต่ก็เรียกยอดติดตามได้ไม่น้อย ซึ่งมียอดติดตามในเวยป๋อกว่าล้านคนเลยทีเดียว
แม้ว่าจำนวนแฟนคลับค่อนข้างน้อย แต่หากเทียบจากบุคคลธรรมดาที่ไม่เป็นที่รู้จักก่อนหน้านี้ เมื่อก้าวขึ้นมาได้ถึงจุดนี้ ถือว่ามาได้ไกลพอสมควร
หลังจากจิ่งหนิงได้ทำการสำรวจบริษัท เธอก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก จากนั้นเธอจึงวนกลับไปยังอานหนิงกั๋วจี้ เมื่อเห็นว่าเลยเวลามามากแล้ว เธอจึงพาโม่หนานออกมา
“หนิงหนิง พวกเราจะกลับบ้านกันตอนนี้เลยใช่ไหม?”
โม่หนานถามขณะขับรถ
“ยังไม่กลับ พวกเราออกไปกินข้าวกันเถอะ”
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เธอจะได้มีโอกาสออกมาเที่ยวข้างนอก จิ่งหนิงจึงไม่รอช้าที่จะคว้าโอกาสนั้น
ทั้งสองไปทานอาหารยังร้านเถาหรันจูที่อยู่ไม่ไกล หลังจากทานเสร็จ จึงไปเดินเล่นกันต่อที่ห้างสรรพสินค้า
จิ่งหนิงเคยได้ยินว่าโม่หนานเป็นเด็กกำพร้า นอกจากน้องชายที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย เธอก็ไม่มีญาติคนอื่นอีก
ตอนนี้ก็เข้าสู่ต้นเดือนกันยายนแล้ว เป็นช่วงเวลาเปิดเทอมของโรงเรียนมัธยมปลายพอดี จิ่งหนิงช่วยเธอเลือกซื้อของและเสื้อผ้ามากมายที่เด็กมัธยมน่าจะชอบ และอนุญาตให้เธอหยุดพักหนึ่งวัน เพื่อให้เธอไปส่งน้องชายของเธอในวันเปิดเทอม
โม่หนานดีใจเป็นอย่างมาก เธอออกเดินทางด้วยเที่ยวบินที่มีในเย็นวันนั้น
วันรุ่งขึ้น จิ่งหนิงไปทำงานที่บริษัทตามปกติ
ขณะที่เธอออกไปพบกับลูกค้าในตอนเที่ยง ฉันได้พบกับจิ่งเสี่ยวหย่าโดยบังเอิญ
ช่างบังเอิญเสียจริง ในตอนนั้นทั้งสองก็นัดพบกันในร้านกาแฟแห้งหนึ่งเช่นกัน และช่างบังเอิญอีกเช่นกัน ที่จิ่งเสี่ยวหย่าก็นั่งลงที่โต๊ะตัวตรงข้ามกับเธอพอดี
แม้ว่าเธอจะรู้สึกแปลก ๆ แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
แต่ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือไม่ เธอรู้สึกว่าแววตาของจิ่งเสี่ยวหย่าที่มองเธอในวันนี้ดูแปลกไปเล็กน้อย
มันแฝงไปด้วยความเกลียดชังและความเย็นชา
จิ่งหนิงคิดเอาเองว่าจิ่งเสี่ยวหย่าไม่ชอบเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้สนใจอะไร
หลังจากพูดคุยธุระเสร็จเรียบร้อย เธอไม่ได้ตรงเข้าบริษัท แต่นั่งแท็กซี่ไปยังร้านเครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียงในทางตะวันออกเมือง
จิ่งหนิงไม่รู้ว่าลู่จิ่งเซินกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อสองสามวันก่อน จู่ ๆ เขาก็มอบหม้อดินให้กับเธอ บอกว่าเขาทำขึ้นด้วยตัวเอง
บอกตามตรงว่า จิ่งหนิงรู้สึกขยะแขยงของขวัญชิ้นนี้เล็กน้อย
ไม่ใช่ว่าเธอไม่ชอบเครื่องปั้นดินเผา แต่หม้อใบนั้นทำออกมาได้แย่สุด ๆ
เธอลังเลที่จะบอกเขาไปตามตรงว่า ภาพที่วาดบนหม้อใบนั้นน่าเกลียดที่สุด
แต่ชายคนนั้นกลับบอกอีกว่า คนที่อยู่ในภาพนั้นคือเธอ ส่วนอีกคนคือตัวเขาเอง ตรงกลางยังมีเด็กน้อยอีกสามคน
เขาบอกว่านั่นคืออนาคตของเรา
จิ่งหนิงมองเด็กน้อยที่เบี้ยว ๆ บูดๆ ทั้งสามคนด้วยท่าทีเรียบเฉย
เขาทำหม้อดินแสนอัปลักษณ์ใบนั้นออกมาถือว่ายังพอรับได้ แต่สิ่งที่เธอรับไม่ได้ที่สุดก็คือ
เขาอยากให้เธอทำหม้ออีกใบหนึ่งคืนให้เขา บอกว่าเธอควรปฏิบัติกับคนอื่นให้เหมือนกับที่คนอื่นปฏิบัติต่อตัวเธอ เขาให้เธอ เธอควรให้อะไรเขาตอบแทนบ้าง
จิ่งหนิงถึงกับหมดคำพูด
เมื่อไม่มีทางเลือก เธอจึงต้องทำหม้อดินขึ้นมาอีกใบคืนให้กับเขา
เมื่อคิดได้แบบนี้ หลังจากขึ้นไปบนรถ เธอหลับตาหวังจะงีบหลับสักครู่ แต่ผ่านไปได้ไม่นาน เธอก็รู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ