บทที่ 248 คอยผสมโรง
เมื่อเดินได้ครึ่งทาง จู่ๆจิ่งเสี่ยวหย่าก็หยุดนิ่งลง
เธอหันหน้ามองตำรวจคนหนึ่ง และพูดว่า : “ฉันอยากโทรศัพท์หน่อย”
ตำรวจคนนั้นจ้องมองเธอด้วยสีหน้ารำคาญใจ “วันนี้คุณใช้โทรศัพท์กี่ครั้งแล้ว? คิดว่าจะมีคนมาช่วยคุณหรอ? หยุดเพ้อฝันได้แล้ว พูดความจริงและยอมรับโทษแต่โดยดีดีกว่า เข้าใจไหม?”
จิ่งเสี่ยวหย่ายิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย
จากนั้นจู่ๆเธอก็ขยับตัวไปด้านข้างเล็กน้อย แล้วเอาหัวชนกับผนังกำแพงอย่างแรง
ตำรวจทั้งสองคนถึงกับตกใจค้าง จนแทบไม่ทันดึงเธอกลับมา
“คุณเป็นบ้าแล้วหรอ? คุณคิดจะทำอะไร?”
“ฉันต้องการใช้โทรศัพท์!”
ตำรวจทั้งสองคน : “……”
สุดท้ายตำรวจคนหนึ่งก็โบกมือด้วยท่าทางเหนื่อยใจขึ้น
“เอาล่ะ เอาล่ะ ให้เธอไปเถอะ! เป็นบ้าจริงๆ!”
จิ่งเสี่ยวหย่ายื่นมือรับโทรศัพท์
เธอกำโทรศัพท์ไว้อย่างแน่น ทั้งที่มือกำลังสั่น
หลังจากตำรวจออกไป เธอถึงจะโทรหาใครบางคน
ฝ่ายตรงข้าม เมื่อรับสายก็มีเสียงผู้หญิงอ่อนโยนขึ้น
“ฮาโหล ใครค่ะ?”
“ฉันเอง”
ฝ่ายตรงข้ามนิ่งเงียบทันที
จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ฉันนึกว่าเธอจะถูกขังแล้วเสียอีก คิดไม่ถึงยังสามารถใช้โทรศัพท์? ดูเหมือนว่าเธอจะมีอิทธิพลมากเหมือนกันนะ”
จิ่งเสี่ยวหย่าพูดขึ้นว่า : “เรื่องนี้เธอก็มีส่วนเกี่ยวข้องเหมือนกัน ถ้าหากฉันไม่ถูกช่วยออกมา เธอก็อย่าหวังมีความสุขเลย”
“เห่อ นี่เธอกำลังข่มขู่ฉันหรอ?”
“ทั้งที่เธอพูดเองว่าไม่มีเรื่องเกิดขึ้นแน่นอน ตอนนี้กลับให้ฉันรับผิดคนเดียวหรอ ในฐานะพันธมิตร เธอควรช่วยฉันออกมาไม่ใช่หรอ?”
“พันธมิตรหรอ? พันธมิตรอะไรหรอ? ทำไมฉันถึงไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด? จิ่งเสี่ยวหย่า เธอมีหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ว่าฉันช่วยเธอเรื่องนี้ไหม? ฉันแค่พูดคุยกับเธอไม่กี่วันเอง และโทรศัพท์คุยกับเธอไม่กี่ครั้งเท่านั้น อย่างอื่นฉันไม่ได้ทำอะไรเลยทำไมเธอถึงใส่ร้ายป้ายสีฉันแบบนี้ด้วยล่ะ?”
เมื่อได้ยินฝ่ายตรงข้ามพูดด้วยท่าทางสูงส่ง แถมพูดยั่วโมโหด้วย จิ่งเสี่ยวหย่าก็รู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้น
“เธอเป็นคนของตระกูลกวนในเมืองหลวง หรือว่าเธอไม่กลัวว่า หากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป ต่อไปเธอจะไม่สามารถเงยหน้าสู้ผู้คนได้?”
ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะประชดขึ้น
“ฉันเป็นผู้หญิงเรียบร้อย อ่อนโยน เชื่อฟังจากตระกูลผู้ดี เป็นที่รักและเอ็นดูของคุณหญิงกวนด้วย ทุกคนล้วนรู้กันหมดว่าฉันมีสุขภาพร่างกายไม่ค่อยดี เลยไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายนอก
ส่วนเธอเป็นคนขี้โกหก หลอกลวง ทำร้ายพี่สาว เหมือนกับหมาบ้าที่คอยกัดคนอื่นไปทั่ว เช่นนี้เธอคิดว่าพวกเราสองคน ใครน่าเชื่อถือมากกว่ากันหรอ?”
“นี่เธอ!”
ฝ่ายตรงข้ามพูดว่า “อ๋อ ลืมบอกเธอไปเลยว่า อันที่จริงฉันรู้สึกชื่นชมพี่สาวของเธอมาก นานมากแล้ว ฉันเคยเจอเธอ เธอช่วยชีวิตฉันครั้งหนึ่ง แต่ต่อมาเธอจำฉันไม่ได้แล้ว
ฉันคิดว่า คนเราควรรู้จักกตัญญูรู้คุณ ดังนั้นครั้งนี้ฉันเลยช่วยเธอเล็กน้อย ไม่ถือว่ายิ่งใหญ่อะไรหรอก ก็แค่คอยผสมโรงเท่านั้น
เธอไม่จำเป็นต้องเคียดแค้นขนาดนี้หรอก ถ้าหากเธอไม่มีเจตนาร้ายก่อน ก็คงไม่ถูกฉันหลอกใช้หรอก จิ่งเสี่ยวหย่า เธอควรขอบคุณจิ่งหนิงที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่เช่นนั้น วันนี้เธอคงไม่มีโอกาสโทรมาหาฉันหรอก
เอาล่ะ งั้นแค่ล่ะกันนะ ทางข้างหน้าเธอต้องช่วยตัวเองแล้วล่ะ”
หลังจากฝ่ายตรงข้ามพูดจบก็วางสายลงทันที
จิ่งเสี่ยวหย่าโมโหเดือดดาลทันที
คิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะกล้าปั่นหัวเธอเล่นแบบนี้!
จู่ๆเธอนึกถึงคำพูดทั้งหมดเมื่อกี้ของฝ่ายตรงข้ามขึ้น
นานมากแล้ว จิ่งหนิงเคยช่วยเธอครั้งหนึ่ง…..
กตัญญูรู้คุณ คอยผสมโรง…..
จู่ๆเธอก็รู้สึกลุกลี้ลุกลนขึ้น!
เหมือนกับงูพิษตัวหนึ่งค่อยๆเลื้อยขึ้นมาบนตัวเธอช้าๆ จนทำให้เธอรู้สึกเสียวสันหลัง และตัวสั่นเทา
เธอเข้าใจแล้ว!
เธอเข้าใจหมดแล้ว!
ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนเป็นแผนการของจิ่งหนิง
ทุกคนที่อยู่ข้างใน แม้กระทั่งบอดี้การ์ดรูปร่างกำยำที่ผู้หญิงแซ่กวนแนะนำให้กับเธอไม่กี่คน ไม่แน่เป็นคนที่จิ่งหนิงรู้จัก
ไม่เช่นนั้น เธอไม่มีทางมีรูปภาพของห้องใต้ดินแน่!
เธอแค่รู้สึกแปลกใจ ในตอนนั้นจิ่งหนิงถูกเธอฉีดยาชนิดหนึ่ง แต่ทำไมถึงยังสามารถหนีไปจากผู้ชายที่ผ่านการฝึกฝนสี่คนได้
ตอนนี้เธอเข้าใจทุกอย่างแล้ว ไม่กี่คนเหล่านั้นไม่ได้ถูกเธอเล่นงานหรอก แต่ตั้งใจปล่อยเธอหนีไป!
เมื่อเข้าใจเรื่องทุกอย่าง จิ่งเสี่ยวหย่าก็นิ่งอึ้งเหมือนกับน้ำแข็ง และรู้สึกเย็นยะเยือกตามร่างกาย
เธอกอดอกอย่างแน่น แล้วพิงหลังกับผนังกำแพง พร้อมปล่อยตัวไถลลงมา ขณะเดียวกันร่างกายก็สั่นเทาจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
ด้านนอก เมื่อตำรวจสองคนเห็นท่าทางของเธอผ่านทางกระจกก็ตกใจ นึกว่าเธอเกิดปัญหาขึ้น เลยรีบวิ่งเข้าไปหา
เมื่อเห็นเธอไม่เป็นอะไร เพียงแค่มีสภาพจิตใจไม่ค่อยดีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วพาเธอกลับเข้าห้อง
ตอนกลางคืน
ขณะที่จิ่งหนิงนอนหลับอยู่นั้น จู่ๆโทรศัพท์ก็ดัง”ติ่ง”ขึ้น
เธอค่อยๆลืมตาขึ้นมา แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
และเห็นข้อความหนึ่งส่งมาจากหมายเลขโทรศัพท์แปลก ข้างบนเขียนไว้ว่า
“ไม่เจอกันนานเลย เจ็ด”
จิ่งหนิงนิ่งอึ้งชั่วขณะ
พร้อมรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมา
เธอกำโทรศัพท์ไว้อย่างแน่น และจ้องมองหมายเลขข้อความข้างบน ครุ่นคิดอยู่สักพัก แต่ก็คิดไม่ออกว่าคนๆนี้คือใคร
เธอเป็นคนมีความจำดีมาตลอด แถมจำหมายเลขได้แม่นยำด้วย แต่ตอนนี้กลับจำหมายเลขนี้ไม่ได้ นั้นแสดงว่าเป็นคนที่ยังไม่เคยติดต่อแน่
ฝ่ายตรงข้ามคือใคร?
ด้านข้าง ลู่จิ่งเซินตื่นขึ้นเพราะการเคลื่อนไหวของเธอ เขายื่นมือโอบกอดเธอ และซักถามว่า : “เป็นอะไรครับ? ภรรยา”
จิ่งหนิงเปลี่ยนสีหน้า และส่ายหน้าเล็กน้อย
“ไม่มีอะไรค่ะ”
เธอหันหน้ามองเธอแวบหนึ่ง ภายใต้แสงไฟ ผู้ชายหลับตาและนอนหลับอยู่
เธอเม้มปากเล็กน้อย และพูดว่า : “ฉันไปเข้าห้องน้ำแปบหนึ่งนะคะ”
ขณะที่พูดก็เดินลงจากเตียง
คิดไม่ถึงว่าลู่จิ่งเซินก็จะลุกขึ้นมานั่งเหมือนกัน
“เดียวผมไปเป็นเพื่อน”
จิ่งหนิงเก็บรอยยิ้ม
ห้องน้ำอยู่ภายในห้องไม่ไกล แต่ผู้ชายคนนี้…..
เธอกดผู้ชายกลับไปนอน
“คุณนอนเถอะ เดียวฉันมา”
พูดจบก็ไม่รอเขาตอบกลับ แต่เดินจากไปเลย
เมื่อเข้าห้องน้ำ จิ่งหนิงก็ล็อกประตู แล้วเปิดข้อความขึ้น และกดหมายเลขโทรศัพท์ขึ้น
เมื่อโทรแล้วกลับเป็นเสียงปิดเครื่อง ติดต่อไม่ได้
จิ่งหนิงนิ่งอึ้ง
เจ็ดชื่อนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่รู้
ซึ่งไม่กี่คนนั้นไม่มีทางส่งข้อความแบบนี้มาในเวลานี้
อีกอย่างเธอจากไปหลายปีมากแล้ว แม้แต่ตาK เพราะช่วงนี้ก่อตั้งแผนกภายใน ไม่อยากให้เธอเข้ามายุ่งเกี่ยว ด้วยเหตุนี้ไม่ติดต่อมาหาเธอ
แล้วเป็นใครกัน?
ขณะที่เธอครุ่นคิดอยู่นั้น ข้างนอก เมื่อผู้ชายเห็นเธอตั้งนานไม่ออกมาเลยเรียกขานหาเธอ
“ที่รัก ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
จิ่งหนิงรีบตอบว่า : “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกำลังออกไปแล้ว”
เธอหยิบโทรศัพท์ ล้างมือ แล้วเดินเปิดประตูออกไป แต่คิดไม่ถึงว่ามีผู้ชายบางคนยืนอยู่นอกประตูแล้ว
จิ่งหนิงเห็นเขาถึงกับสะดุ้งตกใจ และซักถามว่า : “คุณทำอะไร?”
ลู่จิ่งเซินเผยสายตาสงสัยขึ้น
“ผมแค่กลัวคุณพลัดตกในชักโครก ดังนั้นหากคุณยังไม่ออก ผมเตรียมตัวเข้าไปดึงคุณออกมา”
จิ่งหนิง : “…….”
คนมีปัญหาทางสมอง!