บทที่ 261 หัวเหยาไปต่างประเทศ
และเด็กคนนี้ก็เป็นความทรงจำเดียวที่เขามอบให้กับเธอ
หัวเหยาไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอยิ้มออกมาเบาๆ มีความอ่อนโยนและสง่าปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่งดงามของเธอ
“ฉันคิดดีแล้ว ฉันจะคลอดลูกออกมาแล้วเลี้ยงดูลูกให้เติบโต ไม่ว่าในอนาคตจะต้องเจออุปสรรคอะไรก็ตาม ฉันก็จะไม่รู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจในวันนี้ อีกอย่างแม้ว่ามันจะลำบากมากแค่ไหน ฉันก็ยังมีคุณอยู่ไม่ใช่หรือ? การเป็นแม่บุญธรรมมันไม่ง่ายเลยนะ คุณจะคอยเป็นที่พึ่งให้เราสองแม่ลูกใช่ไหม?”
จิ่งหนิงรู้สึกโกรธจนพูดอะไรไม่ออก
เธอเผลอมองบนไปหนึ่งรอบ
“ใช่ๆๆๆ ฉันจะเป็นที่พึ่งให้พวกเธอเอง แต่ว่าเธอจะบอกกับคุณลุงหัวยังไง? ฉันได้ข่าวว่าพวกเธอแตกหักกันแล้ว เธอถึงได้ย้ายออกมาจากบ้าน เขาน่าจะไม่ยอมให้เธอคลอดลูกคนนี้นะ”
หัวเหยาเงียบไปครู่หนึ่ง
หลังจากนั้นเธอก็พูดด้วยเสียงเบาๆ “เรื่องนี้ฉันเองไม่สามารถยอมได้เหมือนกัน ในเมื่อเขาไม่ยอมให้อภัยฉัน ถ้าอย่างงั้นก็ทำได้แค่คิดซะว่าไม่เคยมีลูกสาวคนนี้แล้วกัน ถึงยังไงแล้ว……ถึงยังไงฉันเองก็ไม่เคยทำให้เขารู้สึกภูมิใจอยู่แล้ว”
จิ่งหนิงฟังแล้วรู้สึกปวดใจ
“เหยาเหยา”
หัวเหยาฝืนยิ้มออกมาแล้วเงยหน้าขึ้น
“ฉันไม่เป็นไร ไม่ต้องปลอบใจฉันหรอก จริงๆ นะ ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ฉันคิดทบทวนทุกอย่างแล้ว ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องดูแลลูกในท้องให้ดี สภาพแวดล้อมในประเทศนี้มันไม่ค่อยสงบเท่าไหร่ แม้ว่าฉันจะตัดสินใจแล้ว แต่เรื่องนี้ฉันยังไม่อยากให้คนนอกรับรู้ เพราะฉะนั้นฉันอาจจะไปต่างประเทศภายในเร็วๆ นี้แหละ ถ้าคุณคิดถึงฉันก็บินมาเยี่ยมฉันได้นะ รอให้ทุกอย่างมันสงบลงแล้วฉันจะกลับมา”
จิ่งหนิงรู้สึกหนักหน่วงใจและพูดอะไรไม่ออก
ในเมื่อหัวเหยาตัดสินใจแล้ว เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากคอยให้กำลังใจเธอ
เธอยืนขึ้นและเดินไปนั่งที่ฝั่งตรงข้ามแล้วจับมือของหัวเหยาไว้
“เหยาเหยา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อย่าลืมนะว่ายังมีฉันอยู่เสมอ”
หัวเหยาพยักหน้าพร้อมยิ้ม
………
สามวันผ่านไป หัวเหยาไปต่างประเทศแล้ว
วันนั้นจิ่งหนิงไปส่งเธอที่สนามบิน แถมยังเอาเบอร์โทรศัพท์ของคนที่ตัวเองเคยสนิทตอนอยู่ประเทศFให้เธอไป ถ้ามีเรื่องด่วนขึ้นมาก็ยังพอมีคนที่ติดต่อได้
หัวเหยาพูดหยอกล้อ 5ปีก่อนเธอเป็นคนมาส่งจิ่งหนิง ตอนนี้จิ่งหนิงเป็นคนมาส่งเธอ ทำไมดูแล้วรู้สึกเหมือนย้อนวันเก่าเลย
จิ่งหนิงทำได้แค่ยิ้ม แต่ภายในใจเธอนั้นรู้สึกไม่อยากให้เธอไป แม้ว่าอยู่ที่ประเทศ F อยากเจอเมื่อไหร่ก็ได้
แต่ว่ายังไงมันก็ไม่สะดวกเท่าตอนอยู่เมืองจิ้น และอีกอย่างหัวเหยาไม่ยอมพูดความลับนั้นออกมา มันทำให้เธอรู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อย
แต่ว่าจิ่งหนิงไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกมา หลังจากที่ส่งเธอเสร็จ เธอถึงกลับไปที่บริษัท
สองสามวันที่ผ่านมานี้ลู่จิ่งเซินกลับไปที่เมืองหลวง ถือว่าไปส่งนายหญิงและอานอาน
สุขภาพของอานอานไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ต้องคอยตรวจสุขภาพอยู่ตลอดเวลา แต่ทุกครั้งที่ไปทำการตรวจลู่จิ่งเซินก็จะอยู่กับเธอตลอด
เดิมทีจิ้งหนิงอยากจะไปกับพวกเขาด้วย แต่เธอต้องคอยให้ความร่วมมือเกี่ยวกับคดีของโม่ไฉ่เวยในเมืองจิ้นอยู่ตลอดเวลา เธอไปไหนไม่ได้จริงๆ คงต้องรอคราวหน้าถึงจะกลับไปได้
เหล่าลู่หยั่นจือและเหยียนซื่อหวาก็รู้สึกดีใจ เมื่อรู้ว่าเธอกลับมาอย่างปลอดภัย
ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ไม่เชื่อเรื่องที่จิ่งเสี่ยวหย่าพูดอยู่แล้ว ตอนนี้พิสูจน์ได้แล้วว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่อมันไม่ผิด แต่ว่าเมื่อได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคุณแม่ของจิ่งหนิงแล้ว ก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย
แต่เสียดายก็ส่วนเสียดาย งานที่ต้องทำก็ยังคงต้องทำเช่นเคย
คืนวันนี้ ลู่หยั่นจือจัดงานเลี้ยงขึ้นที่เซียนสุยเก๋อ เขาเชิญจิ่งหนิงไปด้วย
คนที่มาร่วมงานต่างก็เป็นรุ่นใหญ่ในวงการบันเทิง และด้วยเหตุที่ว่าเป็นงานเลี้ยงส่วนตัว คนที่มาร่วมงานไม่ได้เยอะมาก ไม่ถือว่าเป็นการทำงาน
ในเมื่อจิ่นหนิงอยู่ในวงการนี้ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทำความรู้จักกับคนเหล่านี้
เหตุผลที่ลู่หยั่นจือเชิญเธอมาร่วมงาน ก็เพราะอยากทำดีกับเธอ แน่นอนว่าเธอเองก็ไม่ควรทำลายความหวังดีของเขา
เวลาสองทุ่ม ภายในเซียนสุยเก๋อ นั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศน่าหลงใหลและผู้คนที่ดื่มด่ำกับงานในค่ำคืนนี้
ห้องที่ลู่หยั่นจือจองไว้เป็นห้องที่อยู่ชั้นสาม ข้างในนั้นเป็นห้องปาร์ตี้ ด้านนอกมีสวนดอกไม้เล็กๆ วิวดีพอสมควร
มาร่วมงานแบบนี้ก็หลีกเลี่ยงที่จะดื่มเหล้าไม่ได้อยู่แล้ว
แต่โชคดีที่จิ่งหนิงดื่มเก่ง เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องกังวลอะไรมาก
คนที่มาร่วมงานต่างก็เป็นรุ่นพี่ในวงการทั้งนั้น และส่วนใหญ่สนิทกับลู่หยั่นจือ
ตอนแรกทุกคนไม่รู้ว่าจิ่งหนิงคือใคร ยังไม่ค่อยสนใจเธอเท่าไหร่ แต่หลังจากผ่านเรื่องครั้งนี้มาแล้วได้ทราบว่าเธอเป็นภรรยาของลู่จิ่งเซิน แน่นอนว่าทุกคนต่างก็มาประจบเธอ
คืนนั้นบรรยากาศถือว่าเป็นมิตรและมีความสุขดี
พอเวลา11นาฬิกา ทุกคนดื่มกันได้ที่แล้ว
จิ่งหนิงไปเข้าห้องน้ำ ตอนที่เธอออกจากห้องน้ำ ลู่จิ่งเซินโทรมาพอดี
เสียงของผู้ชายคนนี้ใสและทุ้มต่ำเหมือนทุกๆ วัน เขาถามว่า “ทำอะไรอยู่?”
จิ่งหนิงเดินไปที่ระเบียง พูดไปและตากลมไปด้วย “ดื่มเหล้า”
“หื้ม?”
ไม่ต้องเห็นหน้า แค่ฟังจากเสียงก็รู้ว่าเขากำลังขมวดคิ้วอยู่
ลู่จิ่งเซินไม่ชอบให้เธอไปงานสมาคม และด้วยฐานะของเขา มันมากพอที่สามารถทำให้เธอไม่ต้องไปงานสมาคมก็ได้
จิ่งหนิงหัวเราะออกมา เธอไม่อยากให้เขาคิดมากอีกต่อไป เธอพูดพร้อมยิ้ม “ลู่หยั่นจือจัดงานเลี้ยง เป็นคนใหญ่คนโตในวงการทั้งนั้นเลย เขาให้ฉันมาทักทายรู้จักกันหน่อย”
เสียงของผู้ชายคนนี้ถึงจะอ่อนโยนลง “ดื่มไปเท่าไหร่แล้ว?”
“ก็ไม่เท่าไหร่นะ พวกเขาเป็นรุ่นพี่ทั้งนั้นเลย ก็ไม่กล้าให้ฉันดื่มเยอะเท่าไหร่ อีกอย่างมีคุณอยู่ยังไงเขาก็ต้องให้เกียรติคุณด้วย เพราะฉะนั้นฉันถือว่าโชคดี”
หลังจากที่ลู่จิ่งเซินฟังจบเขาเองก็หัวเราะออกมา “นี่ถือว่าโชคดีอะไรกัน? ถ้าเกิดว่าคุณไม่อยากดื่มกับพวกเขา ก็ไม่ต้องดื่มนะ มีผมอยู่ไม่มีใครกล้ารังแกคุณ”
คำพูดของเขาดูเหมือนจะพูดออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับทำให้คนฟังรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมาก
ริมฝีปากของจิ่งหนิงก็โค้งขึ้นด้วยความอ่อนโยน เธอพยักหน้า “อืม ฉันรู้แล้ว”
เมื่อเห็นว่าเธอเชื่อฟังขนาดนี้ ลู่จิ่งเซินเองก็อารมณ์ดีขึ้นอย่างมาก เขาพูดด้วยเสียงโทนต่ำ “ผมกลับพรุ่งนี้ช่วงเช้า จะมารับผมที่สนามบินไหม?”
จิ่งหนิงอึ้งทันที ไม่คาดคิดว่าครั้งนี้จะเร็วขนาดนี้ เธอพยักหน้าตอบรับไป
ทั้งคู่ก็คุยกันต่ออยู่สักพักแล้วถึงจะวางสาย
หลังจากที่วางสายไป จิ่งหนิงก็ยืนตากลมไปสักพัก พอรู้สึกว่าฤทธิ์แอลกอฮอล์จางลงเธอถึงจะเดินกลับไป
แต่ไม่คาดคิดว่า เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตรงมาทางเธอ
“เซ่เซียว? คุณอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
เซ่เซียวยังคงเป็นสภาพนักเลงที่หล่อๆ เช่นเดิม เขายกแก้วในมือขึ้น
“มีงานเลี้ยงก็เลยมานั่งเล่น พี่สะใภ้ครับ พี่ไม่กลับไปที่เมืองหลวงพร้อมพี่ชายผมแต่มาทำอะไรที่นี่ครับ?”
จิ่งหนิงยิ้ม “มีแค่นายที่มีงานสมาคมได้ ฉันมีไม่ได้หรือไง?”
เซ่เซียวจับไปที่จมูกของตัวเอง “ก็มีพี่ผมนี่ไงครับ พี่สะใภ้ไม่จำเป็นต้องมาร่วมงานสมาคมเลย”
โอเค สองพี่น้องนี้ถ้าไม่ใช่คนประเภทเดียวกันคงไม่ได้เป็นครอบครัวเดียวกันหรอก
จิ่งหนิงดูเวลาเริ่มสายมากแล้วก็เลยไม่ได้อยู่คุยกับเขาต่อ
“พอแล้ว ฉันจะกลับเข้าไปแล้ว นายดื่มน้อยๆ หน่อยเข้าใจไหม?”
เซ่เซียวพยักหน้า
จิ่งหนิงถึงจะเดินเข้าห้องไป
ทันใดนั้น ประตูของห้องข้างๆ ก็เปิดออกมาจากด้านใน ผู้ชายที่ดื่มจนเมาไม่ได้สติเอามือปิดปากไว้ออกมาจากห้อง
จิ่งหนิงตกใจมาก บังเอิญเหลือเกิน เธอเดินไปถึงหน้าประตูห้องนั้นพอดีเลย ชายคนนั้นเดินโซเซออกมาแล้วชนเธอ